Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 242 ข้าไม่ต้องการสมบัติ แต่ต้องการ วิตของเจ้า!

อ่านนิยายจีนเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ ตอนที่ 242 ข้าไม่ต้องการสมบัติ แต่ต้องการ วิตของเจ้า! อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 242 ข้าไม่ต้องการสมบัติ แต่ต้องการ วิตของเจ้า!

“ฮ่าๆๆ! มันเป็นของข้าแล้ว…มันเป็นของข้า!”

อาวุโสเฟิงเหรินคํารามกลั้วหัวเราะดังลั่น เมื่อสัมผัสถึงพลังงานหนาแน่นที่บรรจุอยู่ภายในผลึกศิลามังกรสีทอง

ตอนนี้เขามีสมบัติล้ําค่าอยู่ในมือแล้ว ต่อให้ในที่นี้ไม่มีผู้ใดมีทักษะขัดเกลาก้อนผลึกศิลามังกรได้รวดเร็วเท่าเยี่ยฉวนทั้งยังไม่รู้คุณสมบัติด้านการใช้งาน แต่ก็ตระหนักโดยสัญชาตญาณว่า สมบัติดังกล่าวต้องมีมูลค่ามหาศาลเป็นแน่ รอให้เขาหาทางออกจากอาณาจักรสวรรค์แห่งนี้และกลับไปยังสํานักเบญจลักษณ์เสียก่อนเถิด เขาจะค่อยๆ ทําการขัดเกลาและทําความเข้าใจก่อนฝึกฝนจนบรรลุในคราวเดียว ถึงเวลานั้นพลังอํานาจของทั้งสํานักคงอยู่ไม่ไกลเกินไขว่คว้า!

นับตั้งแต่เจ้าสํานักเบญจลักษณ์ถูกพลังเร้นลับ ดึงดูดเข้าสู่ห้วงแห่งอาณาจักรสวรรค์ก็ไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าเขาตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่หลายปี ที่ผ่านมาเขาเฝ้ามองบัลลังก์สูงสุดนั้นมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อโอกาสอันดีกองอยู่ตรงหน้าชายชราไม่มีทางปล่อยให้มันหลุดลอยไปอย่างแน่นอน!

บรรดายอดฝีมือจากสํานักอื่นรวมถึงผู้ฝึกตนไร้สังกัดที่อยู่ในบริเวณนั้นมองดูผลึกศิลามังกรสีทองในมือเฟิงเหรินด้วยแววตาร้อนจัดราวเปลวเพลิง แต่ละคนเตรียมพร้อมต่อการแย่งชิง ทว่ารอบกายชายชรากลับมีเหล่าศิษย์ชั้นเลิศของสํานักเบญจลักษณ์คอยคุ้มกันอย่างแน่นหนา ทําให้แผนการช่วงชิงโดยใช้กําลังเป็นอันพับเก็บไปโดยปริยาย

ในบรรดาคนเหล่านั้นบ้างมีระดับการฝึกตนทัดเทียมกับเฟิงเหรินบ้างมีระดับขั้นสูงกว่าเล็กน้อย แต่เมื่อพวกเขารวมตัวกันเป็นหนึ่งย่อมทรงพลังหาใดเปรียบ แม้แต่จอมมารที่โหดเหี้ยมทารุณยังไม่อาจต่อกรกับเฟิงเหรินได้โดยราบรื่น

ชายชรากวาดสายตามองเพื่อสังเกตท่าทีของผู้คนที่ยืนอยู่โดยรอบ จากนั้นจึงระเบิดเสียงหัวเราะดังกว่าเดิมเมื่อรู้สึกว่าตนปลอดภัยจากกองกําลังสนับสนุนอันแข็งแกร่งที่คอยปกป้อง

ก่อนหน้านี้เขามักคิดว่าตนเป็นคนนอกรีตที่ไร้อํานาจ แต่เมื่อผ่านเข้ามาในครรลองมังกรปีศาจ เขาจึงได้พบบรรดาศิษย์ของสํานักเบญจลักษณ์ โดยบังเอิญทําให้กลายเป็นประมุขสูงสุดของกลุ่มชนในครั้งนี้ หลังจากนี้หากเจอของดีเขาคงมีความกล้ามากพอในการเข้าแย่งชิง ใครเล่าจะกล้าเหิมเกริมต่ออาวุโสผู้ยิ่งใหญ่?!

“ตาเฒ่านั่นเร็วกว่าไปก้าวหนึ่งอีกแล้ว! มันได้รับโชคอสุนัขมาจากหนใดกัน!?”

โท่วป่าเชียงมองเฟิงเหรินด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่ต้องการให้ผลึกศิลามังกรสีทองตกไปอยู่กับอีกฝ่าย ทว่าศิษย์ชั้นเลิศของสํานักเบญจลักษณ์ประมาณห้าสิบถึงหกสิบคนที่รายล้อมรอบกาย มีจํานวนมากกว่าคนของสํานักเครื่องนิลในที่นี้เกือบสองเท่า ดังนั้นเขาจําต้องอดทนไม่ทําการบุ่มบ่าม บนครรลองมังกรปีศาจที่คดเคี้ยวยังมีหนทางอีกยาวไกล แม้ไม่อาจล่วงรู้ว่ามีอันตรายใดรออยู่ แต่ก็ยังมีโอกาสอีกนับไม่ถ้วนเช่นกัน เจ้าสํานักชราจึงตัดสินใจไม่ต่อสู้กับเฟิงเหรินในตอนนี้

“เฮ้อ… โชคชะตาช่างเข้าข้างข้าเสียจริง! แม้อยากผลักไสเพียงใดแต่กลับทําไม่สําเร็จ สมบัติชิ้นนี้เป็นของข้า! ผู้กล้าท่านใดต้องการแย่งชิงมันไปจากข้าหรือไม่?!”

อาวุโสเฟิงเหรินสังเกตเห็นความไม่สบอารมณ์บนใบหน้าของโท่วป่าเชียงผู้เป็นศัตรูเก่าอย่างชัดเจน ทําให้ความสาแก่ใจเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี! ทั้งยังใช้ประโยชน์จากสมบัติในมือเพื่อโอ้อวดฝูงชนโดยรอบ ฝ่ายโท่วป่าเซียงเมื่อได้ยินคํายุยงที่กระตุ้นความโมโหเช่นนั้นก็เกือบพุ่งเข้าโรมรันเสียแล้ว แต่เมื่อสูดลมหายใจลึกจึงยังระงับโทสะของตนไว้ได้ ถึงกระนั้นเสียงหัวเราะของเฟิงเหรินยังคงลอยมากระทบโสตประสาทอยู่เนืองๆ

“ตาเฒ่ากะโหลกกะลา! กล้าดีอย่างไรจึงประกาศว่าสมบัติชิ้นนี้เป็นของเจ้า?!”

ทันใดนั้นเสียงเย็นเยียบพลันดังขึ้นขัดจังหวะการหัวเราะของชายชรา สุ่มเสียงนั้นไม่ดังมาก ทว่ากังวานในแก้วหูของทุกคนอย่างชัดเจน

เยี่ยฉวนที่เดินมาจากด้านหลังถอดหน้ากากที่สวมอยู่ออกก่อนก้าวไปด้านหน้าอย่างใจเย็น

ศิษย์ชั้นเลิศของสํานักเบญจลักษณ์ขยับเขาล้อมเฟิงเหรินไว้อย่างหนาแน่นกว่าเก่า แม้เยี่ยฉวนเร่งร้อนเดินออกจากหมอกพิษ ทว่ายังไม่อาจฉกฉวยผลึกศิลามังกรสีทองมาโดยง่าย หลังประเมินสถานการณ์อยู่พักใหญ่จึงตัดสินใจเปิดเผยตัวตนให้เป็นที่ประจักษ์

เสียงหัวเราะของเฟิงเหรินหยุดชะงักโดยพลัน ครั้นหันไปเห็นเยี่ยฉวนเชิดคางเดินตรงมา…ความรู้สึกวิตกกังวลราวเคี้ยวซากแมลงวันก่อตัวขึ้นในจิตใจอีกครั้ง! แต่เมื่อคิดว่าการจับตัวเยี่ยฉวนไว้คงมีค่ากว่าการได้รับสมบัติอื่นใด รอยยิ้มเย็นชาจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้า พลังปราณในร่างปะทุออกอย่างเดือดดาลเมื่อเขาผลักศิษย์ชั้นเลิศที่รายล้อม ให้หลีกทางก่อนก้าวตรงไปทางเยี่ยฉวน จิตสังหารรุนแรงพุ่งทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“อะไรน่ะ?! เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นใครกัน?”

“ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆาแต่บรรลุเพียงขั้นซิวฉือเท่านั้น! เห็นที่เด็กคนนี้คงเบื่อหน่ายชีวิตเต็มทน!”

ความกระสับกระส่ายบังเกิดขึ้นในกลุ่มชน ขณะพวกเขาชี้ชวนกันให้จับตามองเยี่ยฉวน

ปัจจุบันนี้ ในบรรดาสามสํานักใหญ่ที่ตั้งรกรากอยู่บนเทือกเขาหมอกเมฆา…เยี่ยฉวนเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ส่องสว่างยามเที่ยงที่ทุกคนล้วนรู้จัก มีเพียงศิษย์จากสํานักอื่นในแดนไกลที่ไม่คุ้นหูในชื่อเสียงเรียงนาม แม้แต่เจ้าสํานักเครื่องนิลโท่วป่าเซียงจอมทะเยอทะยานผู้นี้ยังไม่กล้าแย่งชิงสมบัติชิ้นนั้นในเวลากลางวันแสกๆ ทว่า เยี่ยฉวนกลับท้าทายอาวุโสเฟิงเหรินด้วยตัวคนเดียวอย่างอาจหาญ นี่ไม่ใช่การเอาชีวิตตนเข้าเสี่ยงหรืออย่างไร?!

ผู้ฝึกตนบางรายที่ยืนอยู่แถวหน้าต่างชะงัก ฝีเท้าและรอคอยให้การต่อสู้แบบตัวต่อตัวเริ่มขึ้นอย่างจดจ่อ เพื่อที่ตนจะได้ใช้โอกาสนี้ในการพักผ่อน

โท่วป่าเซียงหันไปมองตามเสียง เมื่อร่างของเยี่ยฉวนปรากฏชัดต่อสายตาคิ้วทั้งสองข้างจึงขมวดมุ่นอย่างไม่อยากเชื่อ!

ด้วยระดับขั้นการฝึกตนของเขายังฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้ยากยิ่ง ซ้ําร้ายยังสูญเสียศิษย์ชั้นเลิศของสํานักไปหลายราย ทว่าเยี่ยฉวนซึ่งบรรลุเพียงขั้นซิวฉือกลับมาถึงที่นี่โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน! นั่นเป็นไปได้อย่างไรกัน?!

“ไอ้เด็กเหลือขอ! ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นในเวลาที่ข้ารอคอยเหมาะเจาะทีเดียว! หากสมบัติชิ้นนี้ไม่ใช่ของข้าแล้วจะเป็นของเจ้ากระนั้นรึ?! ฮ่าๆๆ…”

เฟิงเหรินเดินไปด้านหน้าพร้อมเผยสีหน้าดุดัน เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งอย่างไม่อาจหักห้าม แม้ยังไม่ทันเคลื่อนไหวโจมตีแต่เมื่อจินตนาการถึงภาพลําคอของอีกฝ่ายที่ถูกเขาหักโดยง่ายจิตใจก็กระตือรือร้นขึ้นเป็นทวีคูณ!
นิยาย เรื่องนี้อัพเดตก่อนที่อื่น เว็ปแรกที่ลง
การหยิบยกสมบัติล้ําค่าที่ได้รับมาวางไว้เบื้องหน้าศัตรูช่างให้ความรู้สึกวิเศษเกินบรรยาย แต่หากได้รับทั้งสมบัติล้ําค่าและสามารถสังหารเยี่ยฉวนให้ตายตกไปในเวลาเดียวกันต่อหน้าสาธารณชน คงเป็นความอิ่มเอมที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง!

“สมบัติชิ้นนี้ไม่ใช่ของเจ้า แต่เป็นของข้า! รวมถึงชีวิตเจ้าก็เป็นของข้าเช่นกัน!”
เยี่ยฉวนรุดไปด้านหน้าด้วยความเร็วราวก้าวกระโดด กระทั่งร่างของชายต่างวัยทั้งสองเผชิญหน้ากันใกล้ยิ่งขึ้น!

สิ่งที่เยี่ยฉวนคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าถูกต้อง การวิ่งออกมาจากหมอกพิษอย่างกะทันหันและฝ่าวงล้อมศิษย์สํานักเบญจลักษณ์ไปแย่งชิงผลึกศิลามังกรเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อเขาถอดหน้ากากออก และเปิดเผยตัวตนโดยตรงชายชราย่อมออกจากวงล้อมเพื่อต่อสู้กับเขาตัวต่อตัว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังปฏิบัติต่อเขาในฐานะผู้ฝึกตนขั้นซิวฉือที่บรรลุระดับที่ต่ํากว่า ดังนั้นการแย่งชิงสมบัติจากมืออาวุโสเฟิงเหรินโดยตรงจึงนับว่าเป็นสิ่งที่พึงกระทําในเวลานี้!
ชายคนหนึ่งดํารงตําแหน่งอาวุโสแห่งสํานักเบญจลักษณ์ผู้บรรลุขั้นการฝึกตนขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋า ส่วนชายอีกคนเป็นเพียงศิษย์ชั้นสามัญของสํานักหมอกเมฆา ผลลัพธ์จากการต่อสู้ในครั้งนี้จะเป็นอื่นไปได้อย่างไร?!

แน่นอนว่าฝ่ายเยี่ยฉวนย่อมพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย ผู้คนต่างส่ายศีรษะด้วยความสมเพช และรอคอยอย่างจดจ่อว่าเด็กหนุ่มที่มีความมั่นใจเปี่ยมล้นผู้นี้จะตายอย่างไร?

ครั้นฝีเท้าของทั้งสองมีระยะห่างกันไม่ถึงเจ็ดเมตร เยี่ยฉวนจึงชะงักฝีเท้าก่อนกล่าวออก “ตาเฒ่า…เราทั้งคู่มาเดิมพันกันเถิด หากฝ่ายใดทําสมบัติชิ้นนั้นสูญหายจะถือเป็นผู้แพ้ทันที…ว่าอย่างไร?

“ผู้ใดใคร่เดิมพันกับเจ้ารี?! ไอ้เด็กเหลือขอถือ ดีอย่างไรจึงกล้ายกตนมาเดิมพันกับข้า?!”

เฟิงเหรินแสยะยิ้มก่อนก้าวไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง ความแปรปรวนของพลังปราณในร่างเดือดพล่านขณะเรียกเคล็ดวิชาวายุสังหารจนมวลอากาศบนท้องฟ้าแปรเปลี่ยน จิตสังหารอันรุนแรงพุ่งทะยานขึ้นสูงอีกครั้ง “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาถูกเถียงว่าสมบัติชิ้นนี้เป็นของผู้ใด ไอ้เด็กสารเลว! ข้าต้องการชีวิตของเจ้า! ก่อนหน้านี้เจ้าเอาแต่ยืนหยัดอย่างกล้าหาญ แต่เห็นเช่นนี้คงกลัวจนหัวหดแล้วสิท่า! ฮ่าๆๆ…”

ชายชราแสยะยิ้มบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวอีกครั้ง จากนั้นจึงเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วหมายสังหารเยี่ยฉวนให้สิ้นภายในกระบวนท่าเดียว! เคล็ดวิชาวายุสังหารสําแดงฤทธิ์โดยพลัน…ใบมีดลมที่คมกริบยิ่งกว่ากระบี่บินหลายเท่าพุ่งเข้าหาร่างศัตรูก่อนห่อหุ้มไว้

“ฆ่า!”

เขาร้องตะโกนสุดเสียงขณะทําการโจมตีอย่างสุดกําลังโดยไร้ความลังเล!

ฝูงชนที่เฝ้าสังเกตการณ์เผลอยกฝ่ามือขึ้นป้องปากอย่างไม่รู้ตัว แม้แต่โท่วป่าเชียงยังเผยสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อตระหนักถึงแรงกดดันมหาศาลจากการเคลื่อนไหวเพียงกระบวนท่าเดียวของเฟิงเหริน ต่อให้เขาเป็นปรมาจารย์เจ้าสํานักผู้สง่างามแห่งสํานักเครื่องนิลทั้งยังบรรลุการฝึกตนขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ระดับที่ห้า ถึงกระนั้นยังไม่กล้ามีส่วนร่วมกับพลังทําลายล้างของอีกฝ่ายในครั้งนี้!

หลงเอ๋อร์น้อยที่ซ่อนกายอยู่ในหมอกพิษซึ่งแผ่ปกคลุมฝั่งขวาของครรลองมังกรปีศาจรู้สึกประหม่าเมื่อเห็นอันตรายที่กําลังจะเกิดขึ้นกับเยี่ยฉวน เขาอ้าปากกว้างเตรียมเปล่งเสียงร้องตะโกน ทว่า คํากําชับของพี่ใหญ่กลับแวบขึ้นมาในห้วงคํานึงเสียก่อน เขาจึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบ เพื่อรอคอยโอกาสขั้นต่อไป…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด