Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 288 ฝึกฝนเคล็ดวิชายามราตรี
บทที่ 288 ฝึกฝนเคล็ดวิชายามราตรี
หลังไฟราคะในอารมณ์ที่คุกรุ่นสงบลงทั้งสองที่นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นตรงข้ามกันจึงวางฝ่ามือของตนไว้บนฝ่ามือของอีกฝ่ายเพื่อทําความเข้าใจเนื้อหาในคัมภีร์มังกรอีกครั้ง…
เยี่ยฉวนโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งหกใบในจุดตันเถียนและถ่ายเทพลังปราณจํานวนมหาศาลเข้าสู่ร่างของหญิงสาว กระแสพลังบริสุทธิ์ค่อยๆซึมซาบเข้าไปทั่วสรรพางค์กายจนเกิดการ เปลี่ยนแปลงบางอย่างส่วนพลังที่ไหลออกจากนางสู่ฝ่ามือของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำอุ่นช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บทั้งมวลให้มลายลงครั้นหลอดเลือดระเบิดโลหิตและชั้นผิวหนังจึงทําการขัดเกลาด้วยตนเองกระทั้งกระดูกและกล้ามเนื้อในส่วนอื่นลดอุณหภูมิลงฉับพลัน
เยี่ยฉวนและสตรีพรหมจรรย์หงจือเซียนั่งหันหน้าเข้าหากันโดยประสานฝ่ามือเพื่อฝึกฝนยอดวิชาผสานการฝึกตนของเผ่ามังกรปีศาจให้บรรลุถึงระดับสูงสุด
ทิวทัศน์อบอุ่นราวบรรยากาศช่วงฤดูใบไม้ผลิบังเกิดขึ้นภายในห้องนอนเล็กๆ และเริ่มแผ่คลื่นความร้อนจนระอุไปทั่วท้องฟ้า
สายเลือดมังกรปีศาจในร่างกายของพวกเขาที่ผ่านการขัดเกลาทยอยสําแดงอานุภาพที่แท้จริง หลังร่วมกันฝึกตนไปได้สักระยะเส้นเลือดในร่างกายก็เพิ่มอุณหภูมิขึ้นอย่างต่อเนื่องแบ่งสรรไปขัดเกลาส่วนอื่นๆเช่นชั้นผิวหนัง กระดูกกล้ามเนื้อและระบบไหลเวียนโลหิตส่งผลให้สิ่งสกปรก ทั้งหมดถูกขับออกสู่ภายนอกทีละน้อย ตอนนี้ผู้ที่เข้าสู่สภาวะกิ่งมังกรไม่ได้มีเพียงเยี่ยฉวนแต่หงจ่อเซียเองก็เข้าสู่สภาวะนี้เช่นกัน!ร่างกายปรับสภาพสู่การเป็นมนุษย์ที่มีสัญชาตญาณมังกรอยู่ในตัวอีกครึ่งส่วนจากนั้นพลังปราณในร่างทั้งสองจึงหลอมรวมกลายเป็นหนึ่ง
“โอ้…”
หงจือเซียอุทานออกเมื่อรู้สึกว่าร่างกายกลับโหยหาสัมผัสอันนิ่มนวลชวนฝันอีกครายิ่งหักห้ามยิ่งต้องการที่จะลิ้มรส ทว่าไม่นานความรู้สึกเหล่านั้นกลับจางหายร่างกายของนางสั่นสะท้าน เพราะพลังปราณยิ่งใหญ่ภายในทวีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!
เยี่ยฉวนสั่นสะท้านเมื่อสัมผัสถึงมันเช่นกัน รูขุมขนในร่างกายยืดขยายออก จิตใจสับสนราวหลงมัวเมาอยู่ในห้วงแห่งการฝึกตน
เมื่อระดับขั้นการฝึกตนของทั้งสองมีการพัฒนาก้าวหน้าโดยพร้อมเพรียงกันเช่นนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนคัมภีร์มังกรยิ่ง!
หากเปรียบเทียบระหว่างหงจือเซียและเยี่ยฉวนแล้วเขาได้รับผลประโยชน์อันดีมากกว่าอีกฝ่ายในการฝึกฝนยอดวิชาผสานการฝึกตนครั้งนี้เพราะหญิงสาวบรรลุการฝึกตนถึงขั้นปรมาจารย์แห่งเต่ระดับสูงสุดแล้วทว่าตัวเขาเพิ่งบรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ระดับที่หนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ดังนั้นการเพียรฝึกฝนอย่างเต็มที่จึงเสมือนการให้ยอดฝีมือวรยุทธ์สูงส่งช่วยเหลือเขาด้านการชําระขัดเกลาเส้นเอ็นและไขกระดูกอย่างสุดความสามารถทําให้ขั้นการฝึกตนเกิดความก้าวหน้าเป็นเท่าทวี
เส้นผมยาวสลวยของนางเปียกโชกไปด้วยหยดเหงื่อจากไอความร้อนเหงื่อหยดหนึ่งไหลลงผ่านล่าคอระหงสู่แนวกระดูกสันหลัง
ครั้นเวลาผ่านไปทั้งสองจึงคลายมือออกจากกันและเปลี่ยนท่าทางโดยไม่รู้ตัวสองหนุ่มสาวโผเข้ากอดรัดแนบชิดเยี่ยฉวนอ้าแขนออกรับร่างเย้ายวนของหญิงสาวที่โถมเข้าหาปลายนิ้วลากไล้ผ่านแนวกระดูกสันหลังเพื่อเช็ดหยดเหงื่อที่ไหลลงอุณหภูมิภายในเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแรงปรารถนาโหมกระหน่ารวมไฟสุมอารมณ์ของหงจือเซียค่อนข้างสับสนเมื่อถูกปลุกเร้าอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เมื่อทั้งสองร่วมกันฝึกฝนยอดวิชาผสานการฝึกตนพวกเขามักยึดมั่นในขั้นตอนและหลักการอย่างเคร่งครัดแต่ครั้งนี้ต่อให้แยกห่างจากกันนานสองสามวันกลับตระหนักถึงแก่นแท้ของมันอย่างชัดแจ้งหญิงสาวไม่สามารถควบคุมแรงพิศวาสได้อีกต่อไปแม้แต่เยี่ยฉวนก็ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ลึกซึ้งเช่นกันกระทั่งเสียงระฆังดังกระทบกันประสานเป็นเสียงกังวานก้องทั้งสองจึงยุติการฝึกฝนเคล็ดวิชาในทันใดหงจือเซียตื่นฟื้นจากห้วงภวังค์อย่างเงียบเชียบด้วยท่าที่มึนงง
“เยี่ยฉวน เจ้าช่างหยาบช้าเลวทรามนักไม่ว่ากี่ครั้งก็ลงเอยเช่นนี้”แววตาหงจอเซียวบไหวขณะตําหนิเขา
ทันทีที่หลุดจากห้วงภวังค์นางก็รู้สึกอับอายไม่น้อยมือเรียวรีบหยิบเสื้อคลุมขึ้นปิดบังเรือนร่างงดงามหมดจดดังเดิมด้วยไม่อยากเปล่าเปลือยต่อหน้าชายหนุ่มให้นานกว่านี้ พวงแก้มผุดผ่องแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อราวลูกท้อท่าทางเขินอายนั้นเปี่ยมไปด้วยจริตแห่งสตรีผู้ทรงเสน่ห์
“เสื้อผ้าของข้าก็ถูกปลดเปลื้องจนเปล่าเปลือยไม่แพ้เจ้าตอนแรกผู้ใดกันที่ต้องการฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ ให้จงได้?”
เยี่ยฉวนยกยิ้มมุมปากเมื่อสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของตนเขาใช้เวลฝึกฝนยอดวิชาผสานการฝึกตนเพียงสี่ชั่วโมงกลับเทียบเท่าการเก็บตัวฝึกตนอย่างสันโดษร่วมปียามนี้พลังยุทธ์ของเขามีความก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมากทั้งยังบ่งบอกสัญญาณคลุมเครือสู่กา รบรรลุสู่ขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ระดับที่สองหนําซ่ำยังก่อเกิดกระแสพลังปราณมหาศาลที่ไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งอยู่ในจุดตันเถียนประหนึ่งยันต์กลืนกินสวรรค์ใบใหม่กําลังจะควบแน่น
ยอดวิชาผสานการฝึกตนส่งผลให้พลังยุทธ์ของเขาพัฒนาขึ้นรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์!
ถึงกระนั้นในความตื่นเต้นในจิตใจเยี่ยฉวนก็ยังแฝงความหวั่นวิตกอยู่บ้าง หากผู้ใดสามารถบรรลุขั้นการฝึกตนในระยะแรกอย่างรวดเร็วและราบรื่นอาจทําให้การบรรลุเข้าสู่ช่วงตีบตันในอนาคตเกิดอุปสรรคที่ฝ่าฟันได้ยากยิ่งเขายื่นแขนออกไปโอบกอดสตรีพรหมจรรย์หงจือเซียอีกครั้งพร้อมรวบเอวบางของนางเข้าแนบชิด“จอเซียมาเถิด…เราสองคนผสานการฝึกตนจนรุ่งสางเลยดีหรือไม่?”
“หากฝึกตนร่วมกันต่อไปเจ้าไม่กลัวหรือว่าข้าจะสูบเลือดเนื้อของเจ้าให้ซูบผอม?” หงจือเซียเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่ออยู่กับเยี่ยฉวนเพียงสองต่อสองเช่นนี้นางกลับรู้สึกผ่อนคลายหาใดเปรียบเป็นช่วงเวลาที่นางได้ถอดหน้ากากเกียรติยศที่มักสวมใส่อยู่เป็นนิจออกเวลานี้ไม่มีสตรีพรหมจรรย์ผู้วางตนสูงส่ง…มีเพียงหญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก
“หากเจ้ามีความสามารถถึงเพียงนั้นข้าก็ยินดี”
เยี่ยฉวนยกยิ้มก่อนกล่าวต่อด้วยเสียงแหบพร่าที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง “จอเซียเจ้าเคยกล่าวว่าหากเราสองฝึกฝนเช่นนี้ต่อไปอาจแปลงกายเป็นมังกรปีศาจในสักวันหนึ่งใช่หรือไม่? แต่ข้าเห็นต่างออกไป…เราสองอาจกลายร่างเป็นมังกรขณะเกี่ยวกระหวัดกันแนบสนิทระหว่างเรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง
“ใครกันจะอยากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเจ้า?!”
หงจือเซียทุบหน้าอกเยี่ยฉวนด้วยท่าที่เหนียมอายใบหน้างดงามแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มแสนหวานทว่าไม่นานสีหน้าของนางกลับแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดพร้อมถอนหายใจ
“เป็นอย่างไรบ้าง? สํานักอสูรเมฆารับรู้ข่าวเกี่ยวกับเตาหลอมระดับสวรรค์แล้วใช่หรือไม่?”เยี่ยฉวนคาดเดาความคิดของหญิงสาวได้อย่างรวดเร็ว เขาพอรู้อยู่บ้างว่าต้องมีเหตุสําคัญบางสิ่งนางจึงดั้นด้นมาพบถึงที่นี่เหตุผลเพราะนางไม่สามารถต้านทานแรงปรารถนาจากยอดวิชาผสานการฝึกตนเป็นอีกเรื่องหนึ่งทว่าสิ่งที่สําคัญยิ่งกว่าคือการแจ้งข่าวให้เขารับรู้
“ใช่ สํานักอสูรเมฆารับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว”
สตรีพรหมจรรย์เอ่ยตอบด้วยสีหน้าคล่ําหม่น ครั้นกล่าวถึงเรื่องจริงจังสีหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นสงบเยือกเย็นตามเดิม “ทันทีที่เตาหลอมระดับสวรรค์ถูกทําลายกลายเป็นเศษเหล็กป้อมปราการแข็งแกร่งของสํานักกลับปริร้าวและพังทลายนับเป็นสัญญาณแห่งลางร้ายอันใหญ่หลวงเรื่องที่เกิดขึ้นทําให้ข้าไม่สามารถซ่อนเร้นความจริงจากอาวุโสเถียนชิงและคนอื่นๆ ได้อีกต่อไป”
“เช่นนั้นสํานักอสูรเมฆามีท่าทีอย่างไรบ้าง?” เยี่ยฉวนเอ่ยถามน้ำเสียงเคร่งขรึม
“สถานการณ์เลวร้ายลงทุกขณะ ทุกคนต่างรู้ว่าเจ้าได้หยิบยืมเตาหลอมระดับสวรรค์ไปจากส่านักในคราวก่อน ครั้นมันพังทลายลงด้วยน้ำมือเจ้าจึงไม่มีใครยอมปล่อยผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นยอดฝีมือจํานวนมากที่รู้ข่าวแห่กันไปยื่นคําร้องเพื่อทําสงคราม พวกเขาต้องการจัดกองทัพจํานวนมหาศาลเพื่อปราบปรามเจ้าและกวาดล้างสํานักหมอกเมฆาให้สิ้นซากแม้ราชินีอสูรเกศาขาวยังไม่ประกาศเจตจํานงที่ชัดเจนแต่อาวุโสเถียนชิงซึ่งมีอํานาจปกครองสานักก็ประกาศจุดยืนแข็งกร้าวยิ่งกว่านั้นยังมีบางคนต้องการเติมพื้นลงในเปลวเพลิงเพื่อให้เรื่องยิ่งย่าแย่เพราะต้องการผนวกสํานักของเจ้าเข้าเป็นหนึ่งและหมายช่วงชิงสมบัติเก่าแก่ทั้งหมดเยี่ยฉวนเจ้าต้องเตรียมรับมือเสียตั้งแต่ตอนนี้หากท่านอาจารย์ออกคําสั่งเมื่อไรแม้แต่ข้าก็ไม่อาจยับยั้ง!”
หงจือเซียเล่าความจริงทั้งหมดพลางพ่นลมหายใจหนักหน่วง
แม้นางมีฐานันดรสูงส่งเป็นถึงสตรีพรหมจรรย์รุ่นปัจจุบัน ทว่านางไร้อํานาจมากพอที่จะระงับพายุโหมกระหน่ําดังกล่าวด้วยตนเองได้ อย่างดีที่สุดนางทําได้เพียงถ่วงเวลาให้ล่าช้าสองถึงสามวันเท่านั้น
“เช่นนั้นเจ้าพยายามถ่วงเวลาไว้ให้นานที่สุดก็แล้วกัน ข้าเข้าใจดีว่าเจ้ามีตําแหน่งและความรับผิดชอบอันสูงส่งทั้งยังไม่อาจสร้างความหายนะแก่สํานักของเจ้าตัวข้าเองก็มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ…ไม่อาจยืนหยัดเคียงข้างเจ้า” เยี่ยฉวนกอดปลอบประโลมนางอย่างแนบแน่น ภายนอกเขา แสดงท่าที่ผ่อนคลายทว่าภายในใจกลับรู้สึกกดดันอย่างมหาศาลเมื่อรู้ว่าสํานักอสูรเมฆากําลังเตรียมแผนการเข้าโจมตีหัวสมองยิ่งตึงเครียดหนักหน่วง
“ข้าพอรู้ว่าควรจัดการอย่างไร แต่เยี่ยฉวน…เจ้าพึงระวังอาวุโสเถียนไว้ให้ดีเขายังไม่ตาย!เขาเอาชีวิตรอดออกจากอาณาจักรสวรรค์แห่งมังกรปีศาจได้หวุดหวิดทั้งบังเอิญได้รับสมบัติค่าซึ่งเพิ่มพลังให้แก่เขาหลายเท่าตอนนี้เขาบรรลุเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ระดับสูงสุดเสียแล้วหากเขาและอาวุโสเถียนชิงทําการโจมตีพร้อมกันละก็เจ้าทําได้เพียงหลบหลีกไปให้ไกลแสนไกลเท่านั้นทุกคนในสํานักหมอกเมฆาย่อมไม่คณามือต่อทักษะสูงส่งเหล่านั้น”หญิงสาวแจ้งข่าวร้า ยอีกประการด้วยใจหม่นเศร้า
ยอดฝีมือผู้บรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ระดับสูงสุดสองคนผนึกกําลังเพื่อโจมตีอย่างนั้นหรือ?!
เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าลึกขณะไตร่ตรองว่าควรวางแผนการอย่างไรต่อไป ทันใดนั้นเสียงฝีเท้ากลับดังขึ้นจากด้านนอกและคืบเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ มีใครบางคนกําลังมุ่งหน้ามาที่นี่!
คอมเม้นต์