Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 302 เปิดเผยตัวตนมาร

อ่านนิยายจีนเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ ตอนที่ 302 เปิดเผยตัวตนมาร อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 302 เปิดเผยตัวตนมาร

ทันทีที่เยี่ยฉวนกลับมายังสํานักหมอกเมฆาจึงเร่งทําการฝึกตนอย่างสันโดษทันที

ด้วยความช่วยเหลือจากบรรดาบริวารเช่นปีศาจเพลิง ปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยิน รวมถึงผู้ติดตามที่มีวรยุทธ์สูงส่งรายอื่นและจซื้อเจียซึ่งมีไหวพริบการแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาด ทําให้เขาใช้เวลาสะสางเรื่องต่างๆ ในแต่ละวันน้อยลงและทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการเข้าสู่สมาธิฝึกตน

การแข่งขันกับฝ่ายศัตรูสามารถเอาชนะได้อย่างไม่ยากเย็นเพียงใช้ไหวพริบในการต่อสู้เท่านั้น ทว่าการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของการฝึกตนกระทั่งมีสติปัญญารอบรู้ทุกสรรพสิ่งถึงขั้นนักปราชญ์จําต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวดในการฝึกตนโดยไม่เกียจคร้าน ถึงเวลานั้นไหวพริบล้ําเลิศอาจไม่เพียงพอ…กลยุทธ์อันแยบยลก็ล้วนไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด ความแข็งแกร่งด้านพลัง ยุทธ์เท่านั้นจึงเป็นสิ่งที่จีรัง ฝูงชนล้วนตื่นเต้นอย่างหาใดเปรียบหลังสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ถูกกําจัด สํานักหมอกเมฆาสามารถรวบรวมเทือกเขาให้กลายเป็นปึกแผ่น ทว่าทั้งหมดนั้นยังไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงสําหรับเขา…

ชายหนุ่มมีวิสัยทัศน์ว่าสถานการณ์บนเทือกเขาหมอกเมฆาควรจะเป็นเช่นนั้นมานานโขแล้ว สายตาเฉียบแหลมของเขายังมองการณ์ไกลถึงดินแดนรกร้างกว้างใหญ่ซึ่งเขาเคยเป็นประมุขสูงสุดในภพชาติก่อน เมื่ออดีตเคยยิ่งใหญ่…เช่นนั้นจะให้เขาเป็นเพียงประมุขสูงสุดในพื้นที่เล็กๆเช่นนี้ไปตลอดได้อย่างไรกัน?!

ขณะนั่งขัดสมาธิฝึกตนอยู่ในห้องโถงหมอกเมฆา ปราณจิตวิญญาณแห่งโลกที่บริสุทธิ์พลันหลั่งไหลลงสู่เบื้องล่างอย่างต่อเนื่องและซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของเขา ยันต์กลืนกินสวรรค์ทุกใบภายในจุดตันเถียนหมุนเวียนพลางดูดซับพลังปราณยิ่งใหญ่เหล่านั้นอย่างกระตือรือร้น ทันใดนั้น ภาพเลือนรางของยันต์กลืนกินสวรรค์ใบใหม่จึงปรากฏขึ้นและทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทว่ายังไม่อาจควบแน่นกลายเป็นรูปร่างที่สมบูรณ์ ถึงกระนั้นเยี่ยฉวนก็ไม่ใส่ใจและทําการฝึกตนต่ออย่างเงียบเชียบ จากนั้นความแปรปรวนของมวลพลังปราณจึงค่อยสงบลง เขาตื่นฟื้นจากห้วงสมาธิก่อนหยิบแหวนสีด่าขึ้นพิจารณาโดยละเอียด

ในมือของเขาคือแหวนแห่งโลกันตร์ซึ่งเขาแย่งชิงมาจากนิ้วของเฒ่าโหว มีลักษณะภายนอกดูเรียบง่ายทว่ากลับแฝงด้วยพลังของทูตแห่งโลกันตร์อย่างเต็มเปี่ยม ชายหนุ่มตระหนักทันทีว่าสิ่ง นี้ไม่เป็นเพียงเครื่องประดับสามัญทั่วไปเพราะมีพลังลึกซึ้งและแฝงความเร้นลับ เป็นไปได้ว่านี่คือ สมบัติแทนตัวของจอมมารแห่งโลกันตร์ที่มอบไว้แก่เฒ่าโหว

เยี่ยฉวนนึกย้อนกลับไปตอนที่เขาเกิดเรื่องวิวาทกับเหล่ายอดฝีมือตระกูลหลงในอาณาจักรสวรรค์ เขาคิดว่าเฒ่าโหวคงอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยและหนีตายกลับไปยังเมืองหลวงแล้ว แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกลับแตกต่างจากสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้มากนัก บางทีเฒ่าโหวอาจกระจายตัวสาวกเพื่อ หาจังหวะในการโจมตี หรืออาจกลับเมืองหลวงไปแล้วแต่ทราบข่าวว่ามีช่องโหว่ให้ฉวยโอกาสจึงเร่งร้อนกลับมาเพื่อจัดการกับสํานักหมอกเมฆา ตําแหน่งทูตแห่งโลกันตร์อาจไม่ได้มีเพียงคนเดียว…จอมมารอาจลอบส่งสาวกที่ไว้ใจได้ไปรักษาการยังภูมิภาคต่างๆ เพื่อสร้างความปั่นป่วน และแหวนแห่งโลกันตร์วงนี้คงเป็นสิ่งเดียวที่สามารถระบุข้อเท็จจริงเหล่านั้นได้

ชายหนุ่มวิเคราะห์ความเป็นไปได้ออกเป็นหลายทางอย่างเงียบเชียบ จากนั้นจึงตัดข้อที่ไม่สมเหตุสมผลออกไปที่ละข้อ…

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเขาควรขัดเกลาวงแหวนดังกล่าวหรือไม่?

ความลังเลก่อตัวขึ้นในจิตใจของเยี่ยฉวน หากเขาทําการขัดเกลาแหวนวงนี้ไม่แน่ว่าภายในอาจมีชิ้นส่วนย่อยของสมบัติที่มีโลหะชั้นนอกห่อหุ้มไว้เป็นอย่างดี เขาสามารถแปลงกายเป็นทูตแห่งโลกันตร์เพื่อเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของจอมมารสูงสุดผู้อยู่เบื้องหลัง ทว่าหากทําเช่นนั้นจริง ในทางลบอาจเป็นการดึงดูดมือสังหารยอดฝีมือที่มีทักษะท้าทายสวรรค์ให้เข้าใกล้และพยายามก่าจัดทิ้ง และที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือเขาอาจประสบอุบัติเหตุไม่คาดฝันในระหว่างขั้นตอนการขัดเกลา

ยอดฝีมือชั้นเลิศผู้มีทักษะสูงส่งทุกคนต่างมีวิธีลับเฉพาะอันทรงพลังแตกต่างกัน ถือเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะทิ้งตราวิญญาณไว้ใช้สมบัติประจํากายของพวกเขา ต่อให้คนทั่วไปพบเจอมัน แต่ไม่อาจขัดเกลาก็ไร้ประโยชน์ หรือหากเป็นผู้ฝึกตนที่ขัดเกลามันอย่างไม่ถูกวิธีก็อาจประสบภัยจากการถูกวิญญาณร้ายสังหาร ทว่าเยี่ยฉวนกลับได้เปรียบเพราะในชาติภพที่แล้วเขาชํานาญการใช้เคล็ดวิชาประเภทนี้เป็นอย่างดี

หลังไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่เขาจึงเดินออกจากห้องโถงหมอกเมฆาและเร่งรุดไปยังหน้าผาข้าง หุบเขามังกรปีศาจอย่างรวดเร็ว เขาเรียกใช้ค่ายกลสยบมารซึ่งอาวุโสล่าดับเจ็ดเสื้อคลุมสีฟ้าทิ้ง ไว้เบื้องหลังอย่างไม่รอช้า พระพุทธรูปขนาดใหญ่ค่อยๆ โผล่พ้นขึ้นจากใต้ผืนดิน

หลังเตรียมการแล้วเสร็จเปลวเพลิงแผดเผาซึ่งมีรัศมีประมาณสามนิ้วพลันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ ทําให้แหวนแห่งโลกันตร์หลอมละลายลงอย่างช้าๆ

เตาหลอมระดับสวรรค์ที่เขาเคยนํามาใช้เป็นเครื่องมือขัดเกลาสมบัติล้ําค่าพังทลายเป็นเศษเหล็กไปเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องเร่งอุณหภูมิของเปลวไฟให้สูงขึ้นด้วยตนเอง ครั้นแหวนแห่งโลกันตร์หลอมละลายแปรสถานะเป็นของเหลวแล้วจึงทําการเสริมปราณหยวนพร้อมหยุดโลหิตบริสุทธิ์ลงไปอีกขั้นตามกระบวนการลับ

ก่อนหน้านี้ทุกสิ่งยังคงราบรื่นไร้สิ่งผิดประหลาด กระทั่งเยี่ยฉวนกลั่นโลหิตให้หยดซึมซาบลงไปบนตัวแหวน พลังปราณมหาศาลจึงปะทุออกมาโดยแรง!

เสียงคํารามเสียดโสตประสาทดังกัมปนาทไปทั่วบริเวณ!

กระจกและแก้วทุกใบบนยอดเขามังกรสวรรค์สั่นสะเทือนจนแตกออกเป็นเสี่ยง ผู้พิทักษ์สองสามคนที่กําลังเดินลาดตระเวนตรงเชิงเขารีบยกมือขึ้นปิดหูและทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น โลหิตแดงสดไหลรินลงจากหูทั้งสองข้างประหนึ่งแก้วหูถูกทําลายกระทั่งไม่ได้ยินเสียงใดอีก เมื่อมองจากระยะไกลจึงพบว่าสุ่มเสียงมรณะนั้นมีศูนย์กลางเกิดจากยอดเขามังกรสวรรค์ คลื่นลมพายุโหมกระหน่ําแผ่กระจายไปทั่วสารทิศด้วยความเร็วสูงก่อนก่อตัวกลายเป็นกระแสน้ําวนขนาดใหญ่บนท้องฟ้า

“เป็นเช่นนี้นี่เอง!”

เยี่ยฉวนยังคงรักษาท่าที่นิ่งสงบโดยไร้ความเคลื่อนไหว สองมือพยายามขัดเกลาแหวนแห่งโลกันตร์ต่อไปอย่างไม่ลดละ

ผู้พิทักษ์สองสามคนที่ลาดตระเวนอยู่บริเวณเชิงเขาได้รับผลกระทบร้ายแรงจากเหตุดังกล่าว โดยไม่ทันระวังตัวใดๆทั้งสิ้น ทว่าเยี่ยฉวนเตรียมการตั้งรับไว้ก่อนแล้วจึงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่าที่ควรจะเป็น ถึงกระนั้นเขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าพลังของมันจะทรงพลังเพียงนี้!

กระแสพลังปราณเย็นเยียบจับขั้วกระดูกราวธารน้ําแข็งหลั่งไหลจากวงแหวนเข้าสู่ร่างกายของเยี่ยฉวน

ผิวหนังทั่วร่างกายเกิดเสียงปริแตกราวเคลือบด้วยชั้นน้ําแข็งบางๆ ทว่ากระแสความเย็นยังคงไหลเวียนอยู่ภายในราวต้องการแช่แข็งให้เลือดและอวัยวะภายในจับตัว แม้เขาพยายามโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ด้วยพลังปราณทั้งหมดก็ยังไม่อาจต้านทานความเหน็บหนาวนั้นได้ ทั่วสรรพางค์กายค่อยๆแข็งที่อและชาวาบไร้ประสาทสัมผัส

ทรงพลังยิ่ง!

สิ่งนี้หรือคือลักษณะจําเพาะของทูตแห่งโลกันตร์!?

เยี่ยฉวนแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกตะลึงโดยพลัน ครั้นได้สติจึงขยับกายเคลื่อนไหว…เขา รวบรวมกําลังเพื่อสร้างค่ายกลซ่อนเร้นสวรรค์ให้แผ่ครอบคลุมทั่วสํานักหมอกเมฆาและควบคุมกระแสความเย็นที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ค่ายกลอันยิ่งใหญ่ดังกล่าวเคยถูกเรียกใช้ เพื่อสังหารผู้ฝึกตนขั้นนักปราชญ์มาแล้วนับไม่ถ้วนเมื่อครั้งอดีตกาล ความแข็งแกร่งของมันสามารถเคลื่อนย้ายหอคอยสูงตระหง่านได้ถึงหนึ่งร้อยแปดแห่ง บัดนี้มันกลับผงาดแสดงอานุภาพร้ายแรงออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นกระแสน้ําเย็นเยียบในร่างจึงถูกระงับอย่างสมบูรณ์และเลือนหายออกไปอย่างช้าๆ

“ผู้ใดบังอาจท้าทายอานาจอันแข็งแกร่งของข้า?! ใครกันกล้าขัดขวางการฝึกตนอย่างสันโดษจนพินาศเช่นนี้?!”

กระแสความหนาวเหน็บที่คลายออกจากร่างของเยี่ยฉวนก่อตัวกลายเป็นภาพนิมิตขนาดใหญ่ ซึ่งมีรายละเอียดบนใบหน้าไม่ชัดเจน ทว่าพลังปราณโดยรอบกลับสูงส่งกระทั่งปลุกสวรรค์สยบปฐพี ปราณปีศาจซึ่งลอยคลุ้งม้วนตัวเดือดพล่าน ดวงวิญญาณประหลาดส่งเสียงร้องคํารามอย่างโกรธเกรี้ยวก่อนฟาดฝ่ามือไปทางเยี่ยฉวนอย่างเดือดดาล กระแสลมซึ่งหอบพัดเข้าปะทะร่างของอีกฝ่ายสร้างแรงระเบิดที่มองไม่เห็นครั้งแล้วครั้งเล่า!

เยี่ยฉวนยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นด้วยท่าทีสงบนิ่งทว่าร่างกายกลับโอนเอนไปมาทั้งซ้าย และขวา เขายังไม่ทันเรียกใช้เคล็ดวิชาไร้เทียมทานเพื่อหลบหลีก จู่ๆ พระพุทธรูปองค์หนึ่งพลัน ฟื้นคืนชีพ เสียงสวดมนต์กระชั้นที่ต่ําทุ่มดังขึ้นเป็นอาวุธใช้โจมตีศัตรู

วิญญาณร้ายซึ่งเป็นร่างแยกของจอมมารแห่งโลกันตร์ถูกปราบปรามด้วยมนต์ขลังของ พุทธศาสนา ค่ายกลสยบมารซึ่งอาวุโสล่าดับเจ็ดเสื้อคลุมสีฟ้าสร้างขึ้นกําลังสําแดงอภินิหารที่แท้จริง เป้าประสงค์ของการก่อตั้งก็เพื่อกําจัดภูตผีนอกรีตรวมถึงปีศาจร้ายทั้งหมด

“อ๊าก! ค่ายกลสยบมารกระนั้นรี?! ไอ้เด็กเมื่อวานซึน! เจ้าเป็นทายาทของนิกายพุทธโบราณหรือนี่?!”

เสียงแผดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังกึกก้องกระทั่งใบหน้ามหึมาของวิญญาณร้ายนั้นสลายไปอย่างไร้ร่องรอยเพราะถูกค่ายกลสยบมารโจมตี

“ติ้ง!” เสียงแว่วคล้ายเสียงระฆังกังวานขึ้นพร้อมกับเสียงสวดมนต์ที่เงียบลง บรรยากาศโดยรอบหวนคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง พระพุทธองค์แปรสภาพกลับคืนเป็นพระพุทธรูปดังเดิมก่อนจมหายลงสู่พื้นพิภพ ส่วนแหวนแห่งโลกันตร์ที่อยู่ในมือของเยี่ยฉวนกลับเปลี่ยนแปลงลักษณะจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม

ชายหนุ่มรีบสวมแหวนเข้าที่นิ้วมือก่อนมันจะพาเขาจมดิ่งสู่ห้วงภวังค์อันมืดมิด ทว่าสติปัญญานึกคิดของเยี่ยฉวนยังคงรุ่งโรจน์ ทันทีที่ได้สติรู้ตัวจึงถ่ายเทพลังปราณลงบนนิ้วมืออย่างไม่รอช้า ทําให้หมอกสีดําสนิทแผ่โอบล้อมรอบกายเขาจนทุกสรรพสิ่งมืดมนลงยิ่งกว่าเก่าพร้อมกับร่างของวิญญาณร้ายที่ปรากฏขึ้น โดยปกติแล้วคงเป็นการยากที่เขาจะรับมือกับยอดฝีมือมากความสามารถผู้นี้เพียงลําพัง แต่ด้วยเคล็ดวิชาพิเศษที่เขาได้รับทําให้บังเกิดความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้นว่า สามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน

หยดเหงื่อเย็นเฉียบไหลลงบนใบหน้าของเขาจนเปียกชุ่ม สถานการณ์ตรงหน้าเต็มไปด้วยความอันตรายถึงแก่ชีวิต ด้วยตัวคนเดียวเช่นนี้มองอย่างไรก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ําสมเนื้อแม้อีกฝ่าย เป็นเพียงภาพมายา ทว่าตอนนี้เขามีสมบัติล้ําค่าที่คอยปกป้องร่างกายอีกหนึ่งสิ่ง ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อต่อสู้ก็นับว่าคุ้มค่ายิ่ง!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด