Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 312 ศัตรูประชิดชายแดน

อ่านนิยายจีนเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ ตอนที่ 312 ศัตรูประชิดชายแดน อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 312 ศัตรูประชิดชายแดน

อาวุโสล่าดับเจ็ดชุดคลุมสีฟ้าเร้นกายหายไปแล้ว ทว่าเยี่ยฉวนยังคงยืนนิ่ง…

“มหาปราชญ์ล่วงลับไปแล้ว รอยปริแยกระหว่างห้วงเวลาและจักรวาลปรากฏขึ้นโลกเหนือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์…”

เยี่ยฉวนพึมพํากับตัวเองขณะคาดเดาบางอย่างได้ คําบอกกล่าวของอาวุโสล่าดับเจ็ดเมิงทําให้เขายิ่งตกตะลึง!

ช่วงเวลาที่เขาติดอยู่ในสุสานเทพเจ้านับหลายล้านปีมีหลายสิ่งหลายอย่างแปรเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน!

โดยพื้นฐานแล้วอารยธรรมความเจริญในหน้าประวัติศาสตร์ยิ่งนานยิ่งต้องรวมเป็นหนึ่งสามัคคียิ่งนานยิ่งต้องแบ่งเบา สมัยที่เขามีตําแหน่งมหาปราชญ์ซ่อนเร้นสวรรค์เป็นประหนึ่งเสาหลักสูงสุดครองดินแดนรกร้างว่างเปล่า ฝูงชนทุกหมู่เหล่าไม่กล้ากระทําการอุกอาจจนก่อเกิดสงครามทว่าหลังจากเขาติดอยู่ภายในสุสานดินแดนกว้างใหญ่กลับอยู่ในสภาวะยากเข็ญราวมังกรไร้หัวผู้คนต่างหันหน้าเข้าหนั่นกันเองและรบราฆ่าฟันจนนองเลือดเป็นเวลาเดียวกันกับที่ดินแดนใหม่เช่นโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ปรากฏขึ้น

เป็นไปได้ไหมว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังทุกการกระทําหยาบช้าและวางแผนกักขังดวงวิญญาณของเขาไว้ในสุสานเทพเจ้าถูกยุยงโดยกองกําลังของดินแดนใหม่ที่เพิ่งปรากฏขึ้นอย่างเร้นลับนั้น? คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเขายังไม่ปรากฏกายให้เห็นกระนั้นหรือ?

เมื่อใคร่ครวญเช่นนั้นดวงตาของเขาจึงเปล่งประกายแสงสีซีด

“พี่ใหญ่…เกิดสิ่งใดขึ้นหรือขอรับ?” หลงเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยสัมผัสถึงความวิตกในตัวอีกฝ่าย

“เปล่าหรอก หลงเอ๋อร์ กลับกันเถิด!”

เยี่ยฉวนระงับความคับแค้นทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนกระโดดขึ้นขี่หลังของมังกรน้อยหลงเอ๋อร์กลับขึ้นสู่ปากเหว

เริ่มแรกเขาคิดบ่มเพาะขั้นการฝึกตนและสาแดงเคล็ดวิชาล้ำเลิศที่เคยบรรลในภพชาติก่อนหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อประกาศการกลับมาของอดีตมหาปราชญ์ซ่อนเร้นสวรรค์อย่างเป็นทางการแต่ดูเหมือนตอนนี้เขาคงต้องปกปิดตัวตนที่แท้จริงและทําการฝึกตนต่อไปศัตรูที่แท้จริงของเขามีแนวโน้มว่าจะแข็งแกร่งกว่าตนในเวลานี้หลายเท่าหรืออาจอยู่เหนือความคาดหมายแม้ขั้นการฝึกตนในภพชาติที่แล้วจะสูงส่งเพียงใดทว่ายังเพลี่ยงพล้ำถูกศัตรูจัดการจนติดอยู่ระหว่างความเป็นตายดังนั้นเขาต้องเปิดเผยเรื่องราวทุกอย่างให้น้อยที่สุดเพื่อป้องกันตนเองสาเหตุที่เขาถูกโค่นในอดีตนั่นก็เพราะเขาทระนงตนจนเกินควรกระแสลมแรงมักมีเป้าหมายพัดทําลายต้นไม้ใหญ่ให้ล้มโค่น และด้วยการที่เขาอยู่ในจุดสูงสุดจึงมีความเอ็กเกริกกระทั่งไม่อาจซ่อนเร้นจากศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ในมุมมืด

อสรพิษยักษ์ที่ขดตัวเฝ้าอยู่บริเวณทางเข้าสู่ถ้ําใต้ดินอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอยบางทีมันอาจเลื้อยหลบหนีเอาชีวิตรอดเมื่อตระหนักว่าข้อจํากัดโบราณเสื่อมสลายลงเสียแล้วหรือบางทีอาจเป็นเพราะอาวุโสลําดับเจ็ดเพิ่งฉีขับไล่มันออกไป

เมื่อไร้สัตว์อสูรกายดุร้ายซึ่งมีล่าตัวใหญ่มหึมาขวางทาง เยี่ยฉวนและหลงเอ๋อร์จึงทะยานขึ้นสู่เบื้องบนและจากไปอย่างรวดเร็ว โดยลืมการแปรผันร่างกายของมังกรปีศาจลําตัวสีแดงเพลิงไปเสียสนิทตอนนี้ร่างกายที่เคยมีสีสว่างเจิดจ้ากลับมืดมนลง รูปร่างเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องบางครั้งมันกลับกลายร่างเป็นบุคคลนิรนามที่ไม่เคยคุ้นบางครั้งกลับกลายร่างเป็นหนานเทียนโตวเช่นเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตแต่แล้วกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นมังกรตัวใหญ่อีกครั้งสลับกันไปเช่นนี้ตลอดเวลาจากนั้นมันจึงลดขนาดหดเล็กลงเรื่อยๆกลายเป็นสัตว์อสุรกายประหลาดที่มีท่อนบนคล้ายหนูและท่อนล่างคล้ายมังกรอีกทั้งพลังปราณในร่างยังเกิดความแปรปรวนขึ้นและ ลงอย่างไม่รู้จบ

การหลอมรวมดวงวิญญาณนั้นให้ผลข้างเคียงที่อันตรายและซับซ้อนยิ่ง!ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นกระบวนการที่ไร้การสนองตอบและไม่อาจคาดเดาได้แม้แต่เยี่ยฉวนหรืออาวุโสเพิ่งฉีก็ไม่สามารถช่วยเหลืออย่างไรได้นอกจากปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิตหลังทั้งสองจากไปแล้วดวงจิตของหนานเทียนโตวและมังกรปีศาจเพิ่งเอ๋จึงค่อยผสานกันอย่างช้าๆ

ครั้นเยี่ยฉวนกลับไปถึงยอดเขามังกรสวรรค์จึงประกาศคําสั่งให้กระจายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็วเพื่อให้พื้นที่บริเวณหุบเขามังกรปีศาจกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามอย่างเป็นทางการและห้ามมิให้ศิษย์คนใดเฉียดเข้าไปใกลโดยเด็ดขาดหลังเสร็จสิ้นภารกิจทั้งหมดเขาจึงเข้าสู่สมาธิฝึกตนอย่าง สันโดษอีกครั้ง

คําบอกกล่าวจากปากของอาวุโสเพิ่งทําให้ชายหนุ่มตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงทุกประการที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่สิ่งที่เขารับรู้ส่งผลให้จิตใจบังเกิดความกดดันอย่างหนักหน่วงตอนนี้เขาสามารถกําจัดศัตรูใกล้ตัวเช่นสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ทิ้งไปก่อนรวมอํานาจให้เป็นปึกแผ่นได้สําเร็จเขากลายเป็นประมุขสูงสุดของเทือกเขาหมอกเมฆาซึ่งทอดยาวกว่าหลายหมื่นลี้นอกจากนี้ขั้นการฝึกตนของเขายังเกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเขาประสบความสําเร็จในการควบแน่นยันต์กลืนกินสวรรค์ใบที่เจ็ดในจุดตันเถียนทําให้ความ แข็งแกร่งของหมัดสังหารเพิ่มขึ้นจนเป็นหนึ่งแสนสองหมื่นหกพันจินหากต้องการครอบครองใต้หล้านี้อีกครั้งระดับขั้นของเขาก็ยังนับว่าห่างไกลจากยอดฝีมือนัก

เยี่ยฉวนสลัดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นทิ้งไปชั่วคราวและจมดิ่งสู่ห้วงสมาธิอย่างรวดเร็วเพื่อทําความเข้าใจเกี่ยวกับเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์ทว่าฝึกตนไปไม่ทันไรกลับถูกขัดจังหวะอีกครั้ง

ช่วงเย็นของวันที่สามนับตั้งแต่เขาทําการฝึกตน เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้นจากด้านนอก

“พี่ใหญ่ขอรับ! ศิษย์พี่อ้วนต้องการเข้าพบท่าน…” เสียงของหลงเอ๋อร์ดังขึ้นหลังจากสิ้นเสียงเคาะประตู

“ให้เขาเข้ามาเถิด”

เยี่ยฉวนค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในใจคิดสับสนว่าศิษย์พี่อ้วนที่หลงเอ๋อร์กล่าวถึงคือผู้ใดกันแน่?

ร่างของเด็กชายวัยเจ็ดขวบก้าวเข้ามาภายใน ตามด้วยเจ้าอ้วนจ้าวต้าจอซึ่งมีพุงยื่นออกมาจนชายเสื้อปิดบังไว้ไม่มิด ดูเหมือนไม่กี่วันมานี้น้ําหนักตัวของเขาจะเพิ่มขึ้นมากโข

เป็นเขานี่เอง! จากเด็กหนุ่มร่างเตี้ยมกลับขยายขนาดตัวออกเรื่อยๆ ตามอายุขัยและกลายเป็นศิษย์พี่อ้วนของทุกคนเป็นที่เรียบร้อย!

เยี่ยฉวนหลุดหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน ช่วงแรกที่เขากลับมาจุติใหม่บนโลกมนุษย์และเดินทางมาพํานักยังสํานักหมอกเมฆา เขาเคยแบกร่างของอีกฝ่ายจนตัวลอยและฟาดบั้นท้ายจนปริแตกภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงแจ่มชัดไม่เสื่อมคลาย

“ศิษย์พี่ใหญ่! ข่าวร้ายขอรับ! พวกจักรวรรดิต้าฉัน มะ..มัน มา…” เจ้าอ้วนพูดพลางหอบเหนื่อยใบหน้าซีดเซียวด้วยความประหม่าจนพูดไม่จบประโยค

“พวกมันมีกันกี่คน?!” เยี่ยฉวนไม่รอให้อีกฝ่ายพูดแต่ถามกลับอย่างรวดเร็ว

“มากมายเลยขอรับ! อย่างน้อยคาดว่ามีทหารประมาณสองแสนนาย กองทัพของพวกมันบุกเข้ามาอย่างกะทันหันโดยไร้สาส์นประกาศแจ้ง พะ…พวกมันกะเล่นงานเราโดยไม่ให้เตรียมตัว!”เจ้าอ้วนปาดหยดเหงื่อเย็นเฉียบซึ่งผุดขึ้นบนหน้าผากทิ้งไปอย่างไม่แยแสก่อนกล่าวเสริม “ทหารลาดตระเวนหน่วยสอดแนมรายงานว่ากองทัพทหารของจักรวรรดิต้าฉันเดินทางมาถึงบริเวณรอบนอกของสํานักหมอกเมฆาแล้วกองกําลังพื้นเมืองด่านหน้าที่แข็งข้อถูกพวกมันกวาดล้างเสียจนสิ้นซากพวกมันบ้าระห่าจนกระทั่งสังหารชาวเมืองที่ไม่รู้เรื่องราว

“ขอแผนที่ให้ข้า!”

เยี่ยฉวนลุกพรวดอย่างรวดเร็ว หลงเอ๋อร์เร่งหยิบม้วนกระดาษขนาดใหญ่ซึ่งวาดแผนที่ภูมิประเทศของเทือกเขาหมอกเมฆากว่าหลายร้อยล์ไว้โดยละเอียดออกกางก่อนทําเครื่องหมายไว้บนตําแหน่งสําคัญทุกจุดบนเส้นทางการยาตราทัพของฝ่ายศัตรู

ชายหนุ่มเผยสีหน้าเคร่งขรึมขณะที่สายตาจับจ้องไปยังแผนที่อย่างถี่ถ้วน

คนของราชวงศ์ต้าฉันพยายามแทรกแซงอํานาจของสํานักผู้ฝึกตนในยุทธภพบัดนี้ความลับนั้นถูกเปิดเผยอย่างชัดแจ้งเมื่อสํานักหมอกเมฆาของพวกเขาไม่สามารถกลั่นโอสถถวายให้ราชสํานักตามพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิได้อย่างทันเวลาพวกเขาจึงใช้ข้ออ้างดังกล่าวเพื่อฉวยโอกาสโจมตี…นับเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูโดยแท้!อันที่จริงเยี่ยฉวนคาดเดาเหตุการณ์นี้ไว้อยู่แล้วทว่าที่เหนือความคาดหมายคือฝ่ายนั้นกลับส่งกองทัพเข้าโจมตีโดยไม่มีการเอ่ยเตือนใดๆทั้งสิ้นอีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ไม่มีตัวแทนมาติดตามเรื่องการส่งมอบโอสถหรือประกาศสงครามอย่างเป็นทางการสิ่งนี้คือความเหี้ยมโหดขององค์จักรพรรดิแห่งต้าฉันอย่างแท้จริง เขาแสดงให้เห็นถึงพลังอํานาจอันเกรียงไกรและความป่าเถื่อนที่ต้องการครอบครองดินแดนทั้งหมด

“พวกเชลยของสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ที่เราขับออกไปจากเทือกเขาได้รับการอุปถัมภ์ไว้โดยพวกเราไม่ใช่หรือ?”เยี่ยฉวนเอ่ยถามจ้าวต้าจ่อโดยไม่ละสายตาไปจากแผนที่

“แม่นางเจียเจียได้รับศิษย์ที่มีวรยุทธ์พอใช้ไว้ในอุปถัมภ์สองสามรายขอรับส่วนคนอื่นๆได้กระจายตัวหาพื้นที่จับจองในดินแดนหลายแห่งที่ใกล้เคียงกับเทือกเขาหมอกเมฆาทําให้เกิดเป็ นอาณาเขตติดต่อโดยปริยายครั้นกองทัพแห่งจักรวรรดิต้าฉันเดินทางมาถึงคนเหล่านั้นจึงถูกสังหารหมู่บางส่วนไม่คิดสู่จึงเลือกที่จะยอมจํานนหรือหลบซ่อน” จาวตาจ่อเอ่ยตอบพลางเผยสีหน้าหวั่นวิตก

กองทัพของศัตรูกว่าสองแสนนายเข้าประชิดชายแดนซ้ำร้ายพวกเขาล้วนเป็นนายทหารมากฝีมือที่ส่งตรงมาจากเมืองหลวงด้วยความสามารถอันมากล้นและจํานวนคนอาจบดขยี่สํานักผู้ฝึกตนทั้งหมดได้โดยง่ายคงเหลือเพียงสํานักอสูรเมฆาซึ่งเปรียบเสมือนพญายักษ์ที่ยังยืนหยัดต่อต้านไว้อย่างแข็งแกร่งแม้สํานักหมอกเมฆาได้เตรียมการไว้อย่างเต็มกําลังและผนึกอีก สองสํานักจนกลายเป็นหนึ่งเดียวได้แล้ว ทว่าสถานการณ์ยังนับว่าน่าเป็นห่วง… ไม่อาจคาดเดา ได้ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะฝ่ายจักรวรรดิต้าฉันได้หรือไม่

“พวกเราหลงเหลือเวลาไม่มากนัก ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างกระชั้นชิดเกินไป!”

เยี่ยฉวนโคลงศีรษะด้วยความหนักใจพร้อมผ่อนลมหายใจยาว ศัตรูประชิดชายแดนใกล้เคียงกับเทือกเขาหมอกเมฆาและใกล้เข้ามาทุกทีเช่นนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินรับมือพวกเขาไม่มีเวลาเพียงพอที่จะหยั่งปราการให้ลงรากลึกอย่างที่ควรจะเป็นหากประมาทเพียงนิดอีกฝ่ายอาจถอนรากถอนโคนพวกเขาได้โดยง่าย

“เจ้าพอรู้หรือไม่ว่าใครคือแม่ทัพผู้บัญชาการใหญ่ของจักรวรรดิต้าฉันในครั้งนี้?”เยี่ยฉวนเอ่ยถามอีกครั้งสายตาคมกริบไล่มองทุกจุดสําคัญบนแผนที่เพื่อให้จดจําทุกตําแหน่งบนเทือกเขาได้อย่างแม่นยํา

เจ้าอ้วนส่ายหน้าพลางกล่าวตอบ “ข้าไม่รู้ลึกถึงเพียงนั้นหรอกศิษย์พี่ใหญ่ แต่มีคนรายงานว่าชายผู้นั้นเป็นที่รู้จักกันในฉายาแม่ทัพโลหิตกล้าอายุอานามของเขายังไม่เข้าขั้นชราภาพทั้งยังเป็นนายพลที่ยอดเยี่ยมการสังหารหมู่ถือเป็นสัญชาตญาณกระหายเลือดอย่างหนึ่งที่เขามีตลอดระยะทางที่ผ่านมาเขาสังหารผู้คนไปนักต่อนักแล้วขอรับ”

“แม่ทัพโลหิตกล้างั้นรึ?!”

เยี่ยฉวนยกยิ้มมุมปากพลางแค่นเสียงหัวเราะเย้ยหยันเขาใคร่รู้เสียเหลือเกินว่าคนประเภทใดจึงถูกขนานนามด้วยฉายาพิลึกเช่นนี้และระหว่างเขากับอีกฝ่ายที่ว่าโหดเหี้ยมนักหนาผู้ใดกันคือฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่า?!

ในช่วงชีวิตก่อนหน้าเขาเคยเป็นประมุขปกครองเหนือดินแดนรกร้างกว้างใหญ่ไม่ว่าบรรดาขุนนางรวมถึงยอดมหาปราชญ่มากฝีมือที่มีชื่อเสียงระบือไกลล้วนถูกสังหารด้วยน้ํามือของเขาทั้งสิ้น!คงเหลือไว้เพียงซากศพที่ทับถมเป็นกองพะเนินและพื้นดินที่เพิ่งนองไปด้วยเลือดราวทะเลสาบไม่เคยมีผู้ใดถูกเรียกขานด้วยฉายาโลหิตกล้าเช่นนี้แม้แต่องค์จักรพรรดิแห่งต้าฉันผู้ครองนครและแว่นแคว้นในเขตร้อยล้านล้ำอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ําสมเนื้อสําหรับเขาด้วยซ้ำ!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด