Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 325 ออกจากความสันโดษ

อ่านนิยายจีนเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ ตอนที่ 325 ออกจากความสันโดษ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 325 ออกจากความสันโดษ

เยี่ยฉวนออกจากห้องโถงมังกรสวรรค์หลังพํานักอย่างสันโดษเป็นเวลาครึ่งเดือน

การแยกตัวออกมาอยู่อย่างสันโดษในครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อเพิ่มพูนขั้นการฝึกตน หากแต่เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ เขาเพิกเฉยต่อเรื่องราวภายนอกเพื่อกล่อมเกลาจิตใจให้สงบลงโดยปล่อยให้จูซื้อเจียและปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยินเป็นผู้จัดการทุกสิ่งแทน การทําเช่นนี้ถือเป็นวิธีฝึกตนอีก ทางหนึ่งเช่นกัน

ในฐานะผู้กุมอํานาจสูงสุดในสํานัก เขาไม่เพียงต้องปกครองอย่างมั่นคงและเด็ดขาด แต่ยังต้องเข้าใจหลักการกระจายอํานาจอีกด้วย ไม่เช่นนั้นเขาจะมีเพียงบริวารที่แข็งที่อไม่ยึดหยุ่นราวกับหุ่นเชิด โดยทั่วไปแล้วในการกระจายอํานาจย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย เพราะอาจมีผลกระทบในระยะแรก แต่จะคุ้มค่าในระยะยาวอย่างแน่นอน

ขณะนี้ยอดเขามังกรสวรรค์รกร้างไร้ผู้คนเนื่องจากปีศาจเพลิง ปีศาจเขาโค้ง และคนอื่นๆ ออกไปต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่จซื้อเจียและปีศาจเฒ่าหลัวเต่อ แม้แต่ทหารอารักขาที่มีอยู่น้อยนิดก็ออกไปร่วมรบจนหมดเช่นกัน เยี่ยฉวนเดินสํารวจโดยรอบจึงพบว่ามีเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในบริเวณนี้ นั่นคือภูตทะเลสาวไหลี่ลี่ นางยังคงดูแลตันเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์และไผ่สายหมอกอย่างตั้งอกตั้งใจ

เขาไม่ได้ตรวจดูพืชเหล่านี้มาระยะหนึ่งแล้ว กิ่งก้านและใบของต้นมังกรสวรรค์หนาแน่นขึ้นทั้งยังมียอดอ่อนสีเขียวสดแตกหน่อออกมามากมาย บางที่อาจสามารถเก็บเกี่ยวได้ในปีหน้า ส่วนไผ่สายหมอกก็เจริญสูงขึ้นเช่นกัน กิ่งก้านของมันก่อเกิดกลุ่มหมอกบางเบาที่มอบกลิ่นหอมอ่อนจางยามสูดดม

“คุณชายเยี่ยเจ้าคะ!”

ไหลี่ลี่ที่กําลังรดน้ําหันมามองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก่อนตรงรี่เข้ามาต้อนรับเมื่อเห็นว่า เป็นเยี่ยฉวน นางแลดูสวยสะพรั่งมีชีวิตชีวาและมีความสุขกว่าที่เคย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะในที่สุดนางก็มีความหวังที่จะได้เก็บเกี่ยวเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์ที่สําคัญต่อเผ่าของนาง หรือเป็นเพราะนางชอบทํางานประเภทนี้โดยกําเนิด

“ไหลี่ลี่ เจ้าไม่ออกไปฝึกปรือวิชากับเจียเจียและคนอื่นๆ หรอกหรือ?” เยี่ยฉวนเอ่ยถาม

ขั้นการฝึกตนของภูตทะเลสาวตนนี้ไม่สูงมากนัก นางอยู่ขั้นปรมาจารย์แห่งเต่ระดับสองหาก แต่มีทักษะติดตัวที่ไม่ธรรมดา พลังสะกดดวงวิญญาณของผู้คนนั้นถือเป็นกระบวนท่าไม้ตายที่สําคัญยิ่งในสมรภูมิ

“พี่หญิงเจียเจียให้ข้าอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางต้องการให้ข้าอยู่อารักขาสํานักยามเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายไม่อยู่” ไหลี่ลี่เสริม “ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่พึงใจการรบราฆ่าฟันเท่าใดนัก ให้ข้าอยู่ดูแลต้นมังกรสวรรค์และไผ่สายหมอกที่นี่จะดีกว่า”

“เข้าใจแล้ว”

เยี่ยฉวนพยักหน้า ทักษะโดยกําเนิดของภูตทะเลเป็นกระบวนท่าสังหารอันทรงพลังก็จริง แต่ไม่สามารถใช้งานได้โดยเร็วทั้งยังอาจเกิดผลสะท้อนกลับได้หากใช้งานมากเกินไป มิหนําซ้ําสถานการณ์ยังไม่เข้าสู่จุดคับขัน การเก็บไพ่ตายไว้ใช้ในโค้งสุดท้ายย่อมดีกว่า เพราะการหงายไพ่ออกไป ก่อนจะทําให้กองทัพต้าฉันเตรียมการรับมือได้ทันท่วงที เยี่ยฉวนนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “อ้อ แล้วเรื่องที่ข้าถามไป… ได้ความว่าอย่างไรบ้างหรือไม่?”

“ไม่เลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ยังไม่ได้ยินข่าวใดเกี่ยวกับโท่วป่าเซียงเนียวและบิดาของนางเลย แต่ข้าได้บอกต่อพวกพ้องของข้าแล้ว พวกเขากําลังลอบเสาะหาอย่างลับๆ อีกอย่าง…”

ภูตทะเลไหลลี่ช่อนตามองเยี่ยฉวน “หลังได้ยินว่าเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์หยั่งรากและเติบโตขึ้นเป็นต้นมังกรสวรรค์ ท่านปู่และคนอื่นๆ ล้วนอยากมาเห็นด้วยตาตนเอง บางที… บางทีพวกเขาอาจมาถึงที่นี่ในอีกไม่ช้า คุณชายเยี่ย ท่านอนุญาต…”

“ได้ ให้พวกเขามาเถิด ข้าจะให้เจียเจียเตรียมจัดแจงต้อนรับเมื่อถึงเวลานั้น”

เยี่ยฉวนยกยิ้มด้วยคิดว่าการมาเยือนของเผ่าภูตทะเลถือเป็นเรื่องดีก่อนหันหลังจากไป ริมฝีปากของไหลี่ลี่ขยับราวกับต้องการเอ่ยบางสิ่ง แต่ก็ต้องล้มเลิกเมื่อเยี่ยฉวนเดินจากไปไกลเสียแล้ว

หลังออกจากยอดเขามังกรสวรรค์ เยี่ยฉวนเดินทางออกจากสํานักและตามกระแสพลังงานของจูซื้อเจีย ปีศาจเฒ่า และคนอื่นๆไปเพียงลําพัง
แม้ว่าการโต้กลับรุนแรงจากจักรวรรดิต้าฉันและเหตุการณ์อันน่าสยดสยองจะอยู่ในความคาดหมายของเขาทั้งหมด แต่ถึงเวลาแล้วที่เขาจะทําความเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ให้มากขึ้น และดูว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงใดหรือไม่หลังเวลาล่วงเลยไปกว่าครึ่งเดือน

เยี่ยฉวนออกวิ่งท่ามกลางภูมิประเทศของดินแดนรกร้างที่เต็มไปด้วยภูเขาสลับทับซ้อนอย่างว่องไวราวกับติดปีกบิน

บัดนี้ชายหนุ่มสามารถขึ้นเหยียบกระบี่บินได้หลังขัดเกลากระบบินสะบั้นมังกรที่อาวุโสเพิ่งฉีมอบให้ แต่เขายังคงชื่นชอบการวิ่งมากกว่า เยี่ยฉวนชอบความรู้สึกยามฝ่าเท้าเหยียบย่าบนพื้นแข็งและออกวิ่งอย่างอิสระ จนกว่าจะพอใจซึ่งเป็นนิสัยที่ติดตัวมาจากภพชาติก่อน

การเอาชนะการต่อสู้ด้วยกําปั้นเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องพึ่งของวิเศษ อาณาเขต หรือวิธีการอื่นใดเป็นเป้าหมายที่เยี่ยฉวนปรารถนาจะพิชิตมาโดยตลอด ร่างกายของตนเองเป็นสิ่งที่สําคัญ และไว้วางใจได้มากที่สุดไม่ว่าในกรณีใดของวิเศษอาจสูญหายหรือถูกทําลายได้ อาณาเขตก็อาจเสื่อมสภาพไปได้ แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายไม่เป็นเช่นนั้น การพึ่งพาร่างกายของตนเอง จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด

แนวคิดนี้เป็นแนวคิดพื้นฐานเมื่อหลายล้านปีที่แล้วยามเหล่ามหาปราชญ์อุบัติขึ้นมากมายราวกับกระแสน้ําที่ไม่มีวันสิ้นสุด ผู้ฝึกตนส่วนมากรู้จักแนวคิดนี้เป็นอย่างดี น่าเสียดายที่ความรู้พื้นฐานด้านการฝึกตนได้เลือนหายไปตามกาลเวลา ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ล้วนใฝ่ฝันถึงสมบัติอันทรงพลังหรือเคล็ดวิชาสุดลึกล้ําที่ช่วยเพิ่มพูนพละกําลังอย่างรวดเร็ว พวกเขาต้องการสัมผัสท้องนภาในอดใจเดียวโดยไม่ได้พยายามเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายเลยแม้แต่น้อย

ผู้ฝึกตนจําต้องขัดเกลาจิตใจและทําความเข้าใจความรู้พื้นฐานเสียก่อนจึงจะเริ่มฝึกตนได้ เคราะห์ร้ายที่ผู้ฝึกตนในยุคนี้ต่างหลงลืมสิ่งที่จําเป็นไปทําให้สํานักฝึกตนต่างๆ เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ จนยอดฝีมือขั้นกึ่งปราชญ์นั้นหาได้ยากยิ่ง อีกทั้งยังถูกจักรพรรดิแห่งโลกฆราวาสกดขี่ข่มเหง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในหลายล้านปีก่อน ไม่ว่าจักรพรรดิแห่งโลกฆราวาสจะทรงอํานาจสักเท่าใดก็เป็นได้เพียงมดตัวจ้อยในสายตาของผู้ฝึกตนยุคนั้นเท่านั้น

เยี่ยฉวนรวดเร็วมากจนมาถึงหุบเขาในยามเที่ยงตรง

ศิษย์สํานักหมอกเมฆาที่ล่าถอยจากแนวหน้ารวมตัวพักผ่อนอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ บ้างนอนพิงหน้าผาและหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน บ้างใช้เศษผ้าที่ฉีกออกมาจากเสื้อเช็ดคราบเลือดบนกระบี่ บ้างนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นรอความช่วยเหลือ ศิษย์หญิงจํานวนมากต่างยุ่งวุ่นวายกับการรักษาผู้บาดเจ็บ

“พี่น้อง ข้าไม่ได้โม้ แต่เมื่อครู่นี้ หากเจียเจียไม่ห้ามข้าไว้ ข้าคงใช้กระบี่ปลิดชีพผู้บัญชาการอีกฝ่ายไปแล้ว!”

เสียงของจ้าวต้าจ่อดังแว่วมาจากในถ้ํา ดูเหมือนว่าเขาจะภูมิใจในความสําเร็จของตนเป็นอย่างมาก เยี่ยฉวนเดินตรงเข้าไปในถ้ําจึงพบเจ้าอ้วนกําลังคุยโวน้ําลายกระเด็นกระดอนโดยมีคนกลุ่มใหญ่นั่งล้อมวงอยู่รอบตัว เขาพล่ามต่อ “ศึกในวันนี้ช่างยาวนานและน่าหฤหรรษ์เป็นที่สุด เริ่มจากซุ่มโจมตีพวกสุนัขก่อนจับกุมและสังหารยอดฝีมือกว่าสามพันคน ช่างน่าพึงพอใจยิ่งนัก! หากเจียเจียไม่หยุดข้าไว้เสียก่อน ข้าคงนําศีรษะของไอ้หัวหน้ากลับมาได้แล้ว!”เสียงทุ่มของจ้าวต้าจื่อดังแว่วมาจากภายในถ้ํา ฟังดูภาคภูมิใจกับความสําเร็จของตนเสียเต็มประดา เยี่ยฉวนเดินตรงเข้าไปจึงพบเจ้าอ้วนกําลังคุยโวจนน้ําลายกระเด็นกระดอนโดยมีคนกลุ่มใหญ่นั่งรายล้อมอยู่ เขายังคงพูดต่อไป “ศึกในวันนี้นับว่ายาวนานหากแต่น่าหฤหรรษ์เป็นที่สุด เริ่มจากดักซุ่มโจมตีเจ้า พวกหมาขี้เรื้อน ก่อนเข้าจู่โจมและสังหารยอดฝีมือกว่าสามพันคน! ช่างน่าพึงพอใจเสียจริง! หากเจียเจียไม่เข้ามาห้ามข้าไว้คงได้นําศีรษะไอ้หัวหน้านั่นกลับมาเป็นแน่”

“จริงหรือศษย์พี่อ้วน?”จริงหรือศิษย์พี่อ้วน?”

“นั่นสิศิษย์พี่อ้วน… ท่านไม่ได้หลอกพวกเราใช่หรือไม่?”นั่นสิศิษย์พี่อ้วน ท่านคงไม่ได้กําลังหลอกพวกเราใช่หรือไม่?”

ศิษย์สํานักหมอกเมฆาที่รายล้อมอยู่เคลือบแคลงใจด้วยจ้าวต้าจ่อขึ้นชื่อบรรดาศิษย์สํานักหมอกเมฆาที่นั่งฟังอยู่ต่างเคลือบแคลงใจขึ้นมาด้วยจ้าวตาจอนั้นขึ้นชื่อเรื่องความขี้ขลาดตาขาว มาแต่ไหนแต่ไร เพียงแค่เข้าจู่โจมด้วยตนเองก็นับว่าไกลเกินเอื้อมสําหรับเขาแล้ว นับประสาอะไรกับการจวนเจียนจะปลิดชีพผู้บังคับบัญชาป้อมปราการหิน ศิษย์พี่อ้วนกล้าหาญถึงเพียงนั้น ตั้งแต่เมื่อใดกัน?

“ดูนี่สิ นี่คือป้ายห้อยประจําตัวทหารของจักรวรรดิต้าฉินที่ข้าฉกชิงมาจากร่างของหัวหน้าผู้นั้น”

เจ้าอ้วนชูแผ่นป้ายขึ้นอวดอย่างภาคภูมิใจ เสียงอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจดังขึ้น ผู้คนพร้อมใจกันหันมาจับจ้องเขาด้วยแววตาตกตะลึง ร่างอวบอ้วนของจ้าวต้าซื้อชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสีแดงฉานแลดูเจ็บหนัก ทว่าใบหน้ายังเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นที่ได้คุยโวต่อหน้าฝูงชน

เยี่ยฉวนสั่นศีรษะพลางยกยิ้มขณะมองดูท่าทางของเจ้าอ้วนจากนอกถ้ํา เจ้าอ้วนก็ยังคงเป็นเจ้าอ้วนอยู่วันยังค่ํา… นิสัยขี้โม้โอ้อวดไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เพียงแค่บังเอิญเจอป้ายห้อยเข้ายังคุยโวว่าเกือบฆ่าผู้บัญชาการป้อมปราการได้สําเร็จ หากเขาฆ่าอีกฝ่ายได้โดยบังเอิญจริงๆ จะไม่พูดพล่ามไปถึงสรวงสวรรค์ว่าเกือบฆ่าองค์รัชทายาทหลีก่วงซ่านได้แล้วหรอกหรือ?

เยี่ยฉวนหมดหนทางจะดัดนิสัยของเจ้าอ้วน แต่เขาก็รู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่าจซื้อเจียและปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยินมีชัยเหนือกองทัพจักรวรรดิต้าฉรอีกครั้ง ระยะทางจากที่แห่งนี้ไปสู่สํานักหมอกเมฆายังเหลืออีกแปดร้อยล์ซึ่งเพียงพอจะทําให้องค์ชายรัชทายาทปวดประสาทได้ไม่น้อย ขณะที่เยี่ยฉวนกําลังครุ่นคิดว่าจะเข้าไปมอบบทเรียนให้แก่เจ้าอ้วนดีหรือไม่นั้น เสียงฝีเท้าแผ่วเบาประ หนึ่งเกรงว่าผู้อื่นจะได้ยินพลันดังขึ้นจากเบื้องหลัง มิหนําซ้ํายังแตกต่างจากเสียงฝีเท้าของคนธร รมดาโดยสิ้นเชิง!

เยี่ยฉวนหันกลับไปมองจึงเห็นคนผู้หนึ่งกําลังเดินตรงมาทางเขา อีกฝ่ายสวมใส่ชุดคลุมสีขาว เรียบง่ายแลดูเหมือนศิษย์สํานักหมอกเมฆา ทว่าบนศีรษะกลับสวมหมวกไม้ไผ่ใบใหญ่เพื่ออําพรางใบหน้า เยี่ยฉวนรู้สึกไม่ชอบมาพากลทันทีที่มองแวบแรก อีกทั้งยังรู้สึกคุ้นชินอย่างประหลาด

สายลับจากจักรวรรดิตฉันหรือมือสังหารชั้นเลิศที่หลีก่วงซ่านส่งมากันนะ?

ดวงตาของเยี่ยฉวนเบิกกว้างขณะโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ภายในร่าง

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด