Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 354 ดาบมังกรสึกรม

อ่านนิยายจีนเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ ตอนที่ 354 ดาบมังกรสึกรม อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 354 ดาบมังกรสึกรม

“หลงเอ่อร์ เจ้ารอข้าอยู่ด้านนอกก็แล้วกัน”

เยี่ยฉวนออกคําสั่งก่อนย่องเบาเข้าไปในห้องโถงมังกรนภาอย่างเงียบเชียบ

ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสถึงขอบเขตป้องกันจํานวนนับไม่ถ้วนทว่าทําการหลบเลี่ยงแต่ละด่านมาได้โดยราบรื่น จนกระทั่งบุกรุกเข้ามาภายใน กลิ่นอายของความอันตรายจึงเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี

ความรู้สึกอันตรายนี้ไม่ได้แผ่มาจากศัตรูคู่แค้นเช่นองค์ชายหลีก่วงซ่านหรือเจ้าสํานักมังกรนภาผู้ทรงพลานุภาพแต่อย่างใด ทว่ามาจากอาณาเขตห้องโถงใหญ่ซึ่งเจ้าถิ่นใช้สําหรับเป็นที่รับรองแขก โดยเฉพาะศิลาสีฟ้าครามรูปมังกรซึ่งสลักอยู่บนผนังที่กระจายกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายกดดันเขาอย่างหนักหน่วง ความรู้สึกดังกล่าวไม่ต่างอะไรจากสัตว์อสุรกายซึ่งเคยมีตัวตนในยุคโบราณที่กําลังจับจ้องผู้บุกรุกด้วยแรงอาฆาต

นี่เป็นอีกหนึ่งปราการที่โอบล้อมบริเวณดังกล่าวไว้… อาณาเขตมังกรนภา

จิตสัมผัสของเยี่ยฉวนเฉียบแหลมยิ่ง ทันทีที่ตระหนักถึงอันตรายดังกล่าวจึงพยายามโคจรพลังปราณซึ่งแปรปรวนอยู่ในร่างสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตน จากนั้นจึงย่องเบาขึ้นไปห้อยหัวบนชายคาประหนึ่งค้างคาวเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้พิทักษ์ด้านนอก

ภายในห้องโถงมังกรนภาปรากฏชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ประจําตําแหน่ง ชายผู้นั้นล่วงเข้าประมาณวัยกลางคน สันกรามมีหนวดเคราขึ้นครื้ม ความแปรปรวนของพลังปราณนั้นทรงพลังกว่าปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยินอยู่หนึ่งระดับ ดูจากลักษณะท่าทางคาดเดาว่าคงเป็นเจ้าสํานักมังกรนภา ส่วนสตรีอีกคนมีผืนผ้าปิดบังใบหน้า สังเกตจากเครื่องแต่งกายแล้วไม่ใช่เด็กสาววัยละอ่อน ทว่าท่วงท่าอันสง่างามของนางกลับส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ดูทรงเสน่ห์ นางต้องเป็นคุณหญิงทูนหัวของสาวใช้จ้าวชูหยาไม่ผิดแน่

องค์ชายหล็กวงฮ่านยืนอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสองโดยมียอดฝีมือซึ่งเป็นทหารอารักขาคอยประกบขนาบข้าง ฐานการฝึกตนของพวกเขาบรรลุประมาณขั้นปรมาจารย์แห่งเต่ระดับที่หก

“ท่านเจ้าสํานักมังกรนภา เรื่องที่ข้าสนทนากับท่านเมื่อสองวันก่อน ท่านได้พิจารณาอย่างถ่องแท้แล้วใช่หรือไม่?” องค์ชายหลีก่วงซ่านเอ่ยถามขณะจับจ้องไปยังเจ้าสํานักหลงเฟยอย่างรอคอยคําตอบ ชายวัยกลางคนผู้นี้มีฐานการฝึกตนสูงส่งจึงถูกขนานนามว่า “ไวเวิร์น ตํานานเล่าสืบต่อกันมาว่าหนึ่งร้อยปีที่แล้วหลงเฟยเคยต่อสู้กับผู้ฝึกตนซึ่งบรรลุขันปรมาจารย์แห่งเต๋ระดับสูงสุดที่มาจากทวีปไร้แสงจันทร์ ผลก็คืออีกฝ่ายไม่สามารถแตะต้องร่างกายของเขาได้เพียงปลายเล็บแม้ต่อสู้กันนับสามร้อยกระบวนท่า ทําให้คนผู้นั้นได้รับความอับอายจนต้องล่าถอยกลับไปยังทวีปไร้แสงจันทร์ดังเดิม

“ทลฝ่าบาท แม้สํานักหมอกเมฆาเสื่อมโทรมลงทุกขณะ ทั้งยังเพิ่งเผชิญหน้ากับกองกําลังของท่านจนต้องสูญเสียไพร่พลและทรัพย์สมบัติไปเป็นจํานวนมาก ทว่าพวกเขามีมรดกล้ําค่าซึ่งสืบทอดมาแต่สมัยโบราณอยู่มากมายก่ายกอง นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องมีความสามารถที่ไม่ธรรมดาเกินกว่าจะทําลายล้างในคราวเดียว แม้แต่กองทัพของท่านซึ่งมีไพร่พลกว่าสองแสนนายยังล้มเหลวในการกวาดล้าง เช่นนั้นสํานักมังกรนภาของข้าที่มีอิทธิพลต่ากว่าจะเอาชนะฝ่ายนั้นได้อย่างไรกัน? ยากนัก…เป็นไปได้ยากยิ่ง!” เจ้าสํานักหลงเฟยส่ายหน้าพร้อมปฏิเสธโดยใช้วาทศิลป์

แม้ฐานันดรศักดิ์ขององค์ชายหลีก่วงซ่านสูงส่งเพียงนี้ ทั้งยังออกปากรับค่าด้วยตนเองว่ายินดีมอบรางวัลชิ้นใหญ่และให้ความเอื้อเฟื้อแก่สํานักมังกรนภาอย่างจริงจัง หากเป็นเรื่องไหว้วาน ทั่วไปเขาย่อมไม่บังอาจปฏิเสธ ทว่าการเข้าโจมตีสํานักหมอกเมฆาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หลงเฟยไตร่ตรองอยู่นานจึงไม่กล้ากระทําการหุนหันพลันแล่น

“เช่นนั้นรางวัลยังคงเดิม ทว่าเพิ่มเงินเป็นหนึ่งล้านเหรียญทอง ม้าศึกห้าหมื่นตัว เสบียงสําหรับกองทัพ อาวุธยุทโธปกรณ์ ชุดเกราะ และรถม้าอีกสองพันคันเป็นอย่างไร?” ดวงตาขององค์ชายหลีก่วงซ่านเปล่งประกายจรัสจ้าขณะเสนอของรางวัลที่ยิ่งใหญ่กว่า แม่ใบหน้านั้นจะถูกผืนผ้าสีดําคลุมไว้มิดชิดจนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน หรือต่อให้ร่างกายสลายหายเป็นขี้เถ้าเยี่ยฉวนก็ยังจําศัตรผู้นี้ได้อย่างแม่นยํา

“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกินกําลังความสามารถของสํานักเรา ใช่ว่าข้าไม่ต้องการช่วยเหลือ… หากแต่เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้”

เจ้าสํานักหลงเฟยโคลงศีรษะพลางเผยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ในยุคสมัยที่ประเทศเกิดความขัดแย้งในราชสํานัก ข้าราชบริพารรวมถึงขุนนางต่างสร้าง ญหา สมบัติมูลค่าหนึ่งล้านเหรียญทองและม้าศึกถึงห้าหมื่นตัวถือเป็นของกํานัลที่ยิ่งใหญ่มหาศาล ผู้ใดบ้างจะไม่ต้องการสมบัติเช่นนั้น แม้แต่อุดมการณ์แน่วแน่ของเจ้าสํานักหลงเฟยยังต้องสั่นคลอน

สํานักมังกรนภาแตกต่างจากสํานักผู้ฝึกตนอื่นๆ รากฐานของพวกเขาแผ่ขยายไปจนสุดขอบโลก เป็นสํานักร่ําเรียนวิชายุทธ์ซึ่งมีเหล่าขุนนางและทหารชั้นยอดฝากตัวเป็นศิษย์ไม่ต่ํากว่าหนึ่งแสนแปดหมื่นคน พรมแดนทางใต้นี้มีสภาพภูมิอากาศร้อนและมีฝนตกบ่อยครั้งซึ่งไม่เหมาะกับการเพาะพันธุ์ม้า ดังนั้นทหารอารักขานับแสนนายล้วนเป็นทหารราบ หากต่อสู้กับเหล่ากองทัพหลักอย่างไรย่อมเสียเปรียบ ทว่าหากมีม้าศึกจํานวนห้าหมื่นตัวในครอบครองสถานการณ์ทั้งหมดจ แปรเปลี่ยน พวกเขาสามารถสร้างทัพทหารม้าชั้นยอดได้ในชั่วพริบตา

สมองของหลงเฟยเกิดความสับสนอย่างหนักเมื่อคิดถึงรางวัลที่น่าเย้ายวนใจ แต่เมื่อนึกภาพความแข็งแกร่งของสํานักหมอกเมฆาจึงตัดใจยอมแพ้ให้กับกิเลสนั้น

ได้รับม้าศึกห้าหมื่นตัวเพื่อแลกกับการต่อสู้จนตัวตายกับสํานักผู้ฝึกตนซึ่งเป็นตํานานเก่าแก่นับล้านปี ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะคุ้มค่าหรือ? แน่นอนว่าไม่! ครั้นชั่งน้ําหนักอยู่ครู่หนึ่งระหว่างผลดีและผลเสีย เจ้าสํานักหลงเฟยก็ยังยืนกรานที่จะปฏิเสธอีกฝ่ายเช่นเดิม

“ท่านเจ้าสํานักโปรดพิจารณาให้รอบคอบอีกครั้ง ดูสิ่งนี้เสียก่อน…ไม่แน่ท่านอาจเปลี่ยนใจ”

องค์ชายหลีก่วงซ่านไม่คิดละความพยายาม เวลานี้ความหวังหนึ่งเดียวของเขาคือการพึ่งพาความสามารถจากเจ้าสํานักหลงเฟยเท่านั้น องค์ชายหยิบใบมีดทรงพระจันทร์เสี้ยวออกมา ความยาวตลอดอันของมันประมาณสามฟุต ความหนาประมาณท่อนแขนหนึ่งข้าง สันมีดหนาเตอะกว่าปลายบางเฉียบ เมื่อมองเพียงปราดเดียวอาจไม่สามารถระบุว่ามันคืออาวุธสังหารที่คมกริบเพียงใด เพียงโบกมือเบาๆ หนึ่งครั้งใบมีดโลหะพลันสะท้อนแสงวาววับและพุ่งทะยานแหวกอากาศด้วยความเร็วสูง

“ดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภางั้นรึ?”

เจ้าสานักหลงเฟยอุทานออกด้วยความตระหนกพร้อมผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว สตรีที่นั่งอยู่เคียงข้างก็อยู่ในอาการตกตะลึงไม่แพ้กัน

ดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภาเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนของสมบัติล้ําค่าที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษสํานักมังกรนภารุ่นสู่รุ่น มันเป็นที่รู้จักในฐานะอาวุธสังหารขนาดใหญ่ที่กาหนดชะตากรรมของสํานักมาแต่ครั้งโบราณ น่าเสียดายที่ประมาณสองร้อยปีก่อนอาวุธชิ้นนี้ได้หายสาบสูญไปพร้อมกับท่านเจ้าสํานักคนก่อน ตํานานกล่าวว่ามันหายไปยังอาณาเขตลางร้ายลึกลับ เหล่าสาวกทําการเสาะหาไปทั่วทุกหนแห่งตลอดระยะเวลาสองร้อยปีทว่ากลับไร้ข่าวคราว ในที่สุดมันกลับปรากฏขึ้นบนฝ่ามือขององค์ชายหลีก่วงซ่านผู้นี้ ความเป็นจริงตรงหน้าทําให้เขารู้สึกสงบลง

“ถูกแล้ว นี่คือสมบัติล้ําค่าประจําสํานักมังกรนภา หลายปีก่อนมีใครบางคนถวายสิ่งนี้ให้เป็นของราชบรรณาการแก่องค์จักรพรรดิ ตั้งแต่นั้นมามันจึงถูกเก็บรักษาไว้ในคลังมหาศาสตราวุธของราชวังเป็นอย่างดี” องค์ชายพยักหน้าก่อนกล่าวเสริม “ท่านเจ้าสํานัก ข้ายินดีคืนอาวุธชนิดนี้ให้ท่านหากท่านยินยอมรับคําช่วยเหลือข้ากวาดล้างสํานักหมอกเมฆาและหาทางสังหารไอ้สารเลว เยี่ยฉวนนั่นซะ! ว่าอย่างไร?”

องค์ชายหนุ่มเตรียมข้อต่อรองอันเลอค่าไว้พร้อมแล้ว ความตั้งใจที่จะสังหารเยี่ยฉวนให้แหลกลาญคามือแน่วแน่ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงกระทําการอุกอาจเช่นฉกฉวยสมบัติชิ้นนี้มาจากคลังมหาศาสตราวุธของพระราชวัง

เจ้าสํานักมังกรนภานิ่งเงียบ ครั้งนี้ท่าทีของเขายังคงแบ่งรับแบ่งสู้ไร้การตอบรับหรือคําปฏิเสธจิตใจของเขาเกิดความลังเลขึ้นทันใด

การส่งกําลังทหารเข้าโจมตีสํานักหมอกเมฆาถือเป็นการสู้รบที่หวังผลชนะได้ยากยิ่ง หากพวกเขาประมาทเพียงเล็กน้อยอาจล้มเหลวตามรอยกองทัพแห่งจักรวรรดิต้าฉันไปอีกราย ทั้งยังต้องประสบความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ตอนนี้เขาตกที่นั่งลําบากโดยสมบูรณ์ หากเขาให้คํามั่นกับองค์ชายนั่นหมายความว่ากองกําลังของสํานักจะล้มตายได้ไม่คุ้มเสีย แต่หากเขาคิดปฏิเสธอีกครั้ง ดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภาซึ่งพวกเขาตามหาอย่างยากลําบากก็จะหลุดลอยไปตลอดกาลโดยที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

เข้าไปพัวพันกับการทําสงครามครั้งนี้ดีหรือไม่?

เจ้าสํานักหลงเฟยลังเลเสียจนไม่กล้าตัดสินใจอย่างเฉียบขาด

“ท่านเจ้าสํานัก ข้าจะบอกความลับแก่เจ้าประการหนึ่ง… พระราชบิดาของข้าเกิดภาวะกระแสพลังปราณเบี่ยงเบน ซึ่งพระองค์เพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะแก้ไขมันให้จงได้ นั่นอาจทําให้พระองค์สวรรคตไวกว่ากําหนดในไม่ช้านี้ ในเวลานั้นผู้ที่จะได้ขึ้นครองราชย์เป็นรายต่อไปก็คือข้า! ดังนั้นสิ่งที่ท่านพึงกระทําในตอนนี้คือควรพิจารณาให้ถ้วนถี่”

องค์ชายหลีก่วงซ่านใช้วิธีตีเหล็กในขณะที่ยังร้อนผสมผสานกับการข่มขู่ทางอ้อม คําพูดของเขาแฝงความนัยที่ชัดเจนยิ่ง

ตอนนี้หากเจ้าสํานักหลงเฟยยังคิดปฏิเสธข้อเสนอของเขา ในอนาคตทันทีที่เขาขึ้นครองราชย์เถลิงถวัลย์เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป สํานักมังกรนภาย่อมตกอยู่ในสถานะย่าแย่อย่างไม่ต้องสงสัย

“ฝ่าบาท สํานักมังกรนภาของข้าไม่มีกําลังมากพอที่จะทําลายสํานักหมอกเมฆาให้ราบคาบได้ข้าอาจทําได้เพียงรวบรวมบรรดายอดฝีมือและเสี่ยงชีวิตเพื่อสังหารเยี่ยฉวนเพียงผู้เดียว เช่นนี้เป็นอย่างไร?” เจ้าสํานักหลงเฟยก้าวถอยหลังและตัดสินใจเจรจาเพื่อประนีประนอมคนละครึ่งทาง

ครั้งนี้องค์ชายหลีก่วงซ่านเป็นฝ่ายเงียบ…

แม้เขาเพียรวางแผนทุกวิถีทางเพื่อทําลายล้างสํานักหมอกเมฆาแต่กลับต้องคว้าน้ําเหลวทุกครั้ง ซึ่งเหตุการณ์ที่ผ่านมาทําให้โทสะของเขาพุ่งทะยานถึงขีดสุดจนยากระงับเสียแล้ว การสังหารเยี่ยฉวนเพียงคนเดียวก็ไม่สามารถผ่อนความเกลียดชังจากหนักให้กลายเป็นเบาได้

“เช่นนั้นก็ย่อมได้ ข้อตกลงถือเป็นที่สิ้นสุด ท่านจะเริ่มดําเนินการเมื่อไร?” องค์ชายหลีก่วงซ่านแค่นเสียงตอบรับข้อเสนอดังกล่าวด้วยน้ําเสียงแหบแห้ง เวลานี้เขาไร้ทางเลือกอื่นจึงจําเป็นต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรการสังหารเยี่ยฉวนถือเป็นสิ่งที่สําคัญยิ่งในยามนี้!

“สามวัน…ข้าต้องการเวลาอย่างน้อยสามวัน ข้าจําเป็นต้องเรียกหาศิษย์พี่ศิษย์น้องให้มารวมตัวกันเพื่อการนี้ ฝ่าบาท พระองค์น่าจะทรงทราบว่าพวกเขาเหล่านั้นอาศัยอยู่ที่… นั่นใคร?!”

เจ้าสํานักหลงเฟยตะคอกเสียงดังลั่นก่อนกระโจนเข้าหาแขกไม่ได้รับเชิญที่หลบซ่อนอยู่ใต้ชายคาทันที!

ครั้นเยี่ยฉวนได้ยินชัดเจนว่าหลงเฟยยินยอมตอบรับที่จะโจมตีด้วยตนเอง หัวใจของเขาพลันสั่นสะท้านกระทั่งเผลอถอยชนเข้ากับแผ่นกระเบื้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ส้มเสียงที่เกิดขึ้นทําให้เจ้าสํานักวัยกลางคนหันขวับด้วยสังเกตถึงความผิดปกติ ฐานการฝึกฝนอันทรงพลังและเฉียบแหลมทํา ให้หลงเฟยกระโจนเข้าหาคนแปลกหน้าด้วยความเร็วสูงเสียยิ่งกว่าการเคลื่อนที่ของกระบบิน ทันใดนั้นเขาจึงเงื่อฝ่ามือขึ้นสูงพร้อมโจมตีอย่างร้ายกาจ!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด