ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 127-4 ใจมารและการเคลื่อนไหวภายนอกที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อที่จะชดใช้กรรมของตัวเองที่ติดค้างกับนางในชาติที่แล้ว ที่เคยติดหนี้ทรยศหักหลังนาง!
มู่หรงไท่กอดนางแน่นเสียจนขยับตัวไม่ได้ อวิ๋นหว่านเฟยพูดถูก ขอเพียงแค่ได้ครอบครองนางก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา! นางเข้ามาด้วยตนเอง ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักสองคนที่ยังไม่ได้แต่งงานกันได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ถึงเวลาปล่อยข่าวลือให้ผู้คนข้างนอกเดาว่าคนทั้งสองรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่าและเป็นชู้กัน! ไม่ว่าอย่างไรตราบใดที่ยังมีข่าวลือนี้อยู่ แม้นางจะเป็นผู้บริสุทธิ์แต่คนของราชวงศ์ก็จะไม่ต้องการนางอีกต่อไป อวิ๋นเสวียนฉั่งจอมขี้เห่อผู้นั้นจะต้องตกอยู่ในตกอยู่ในความโกลาหลเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเขาค่อยมาถึงหน้าประตูอีกครั้ง อวิ๋นเสวียนฉั่งจะทำได้แค่ยกลูกสาวให้กับตนและนางจะมีทางเลือกเพียงทางเดียวเท่านั้น!
ส่วนเรื่องอื่น อย่างเช่นในอนาคตหากเขามีความสัมพันธ์กับองค์หญิงที่พร้อมจะวางแผนแต่งงาน ราชวงศ์จะโทษโกรธตัวเองหรือไม่ มู่หรงไท่พิจารณาแล้วว่าอย่างไรเสียเขาก็เป็นนายน้อยคนที่สองของจวนกุยเต๋อโหว ทั้งท่านย่าซิ่งยังเป็นพยาบาลผู้โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้หนิงซี ถึงตอนนั้นหากถูกตำหนิขึ้นมา ท่านย่าก็สามารถช่วยเขาไกล่เกลี่ยได้ ไหนท่านย่าจะยังมีตำรายาที่สามารถช่วยชีวิตผู้คน วิเศษไปเลย! อวิ๋นหว่านเฟยยังเคยพูดว่าหากคนในราชวงศ์ตำหนิเขา นางจะขอร้องท่านป้าให้ไปขอร้องต่อหน้าฮองเฮา
เมื่อพิจารณาดูแล้ว มู่หรงไท่แทบไม่มีอะไรต้องกังวลเลย! ช่างอดใจไม่ไหวอีกต่อไปแล้วที่จะทำให้อวิ๋นหว่านเฟยสนใจ!
คนที่อยู่ในอ้อมแขนตัวอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ยังคงต้อสู้ดิ้นกระสับกระส่ายอย่างหมดหวัง สบถคำด่าออกมาเป็นครั้งคราวและทุบตีเขาด้วยเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ กัดเขา แต่เห็นได้ชัดว่าฤทธิ์ยาได้เผาผลาญและทำให้พูดไม่ได้ศัพท์ พูดงึมงำ “มู่หรงไท่ ปล่อยข้า ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาผิดเจ้า ถ้าเจ้ากล้าที่จะพาข้า ข้า…อือ…” คลื่นแห่งความอับอายพลุ่งพล่านร้อนขึ้น สติสัมปชัญญะของนางถูกปิดกั้น กลายเป็นเสียงอันไพเราะแทน
มู่หรงไท่ถูกนางทุบตี สาปแช่ง แต่ก็ยังไม่ปล่อยนาง แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นฝ่ายควบคุมนางแต่เห็นได้ชัดว่านางยังคงคุมสติตัวเองได้อยู่ เขาต่างหากที่กำลังตกเป็นทาส!
“ชิ่นเอ๋อร์…ที่ข้าทำเช่นนี้ ก็เพื่อไม่ให้เจ้าสนใจตำแหน่งของข้า หลังจากวันนี้ไปฮ่องเต้จะต้องยกเลิกงานแต่งงานของเจ้ากับฉินอ๋อง แล้วข้าจะไปรับเจ้าเอง ตำแหน่งของข้าไม่ได้สำคัญต่อไปแล้ว ดีหรือไม่? หากมีข่าวลือมากมายในเมืองหลวง ข้าก็จะไม่อยู่ที่จวนโหวอีกต่อไป พวกเราจะไปข้างนอก ไปฝั่งทางเหนือ…” มู่หรงไท่หรี่ตาทั้งสองข้างลงอย่างหมดหวัง แนบลงที่แก้มสีชมพูของนางพลางสูดดมกลิ่นหอมเต็มที่
การสูดดมเข้าไป ทำให้หญิงสาวในอ้อมแขนของเขาตื่นตัว นางดิ้นสะบัดตัวไปมาคล้ายกับกระดูกที่จะละลายออกมา
อวิ๋นหว่านเฟยได้ยินมู่หรงไท่พูดเช่นนี้ หัวใจและเนื้อรู้สึกราวกับถูกกรีดด้วยมีดนับพัน น้ำตาไหลพราก ทำไมตนจะไม่รู้นิสัยของมู่หรงไท่ที่มักจะมองตำแหน่งและอนาคตสำคัญกว่าชีวิตอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เพื่อจะเกลี้ยกล่อมพี่สาว กลับพูดจาเช่นนี้! ทำไมพี่ไท่ถึงได้หลงใหลในตัวพี่ใหญ่ขนาดนี้! นางไม่เข้าใจ! ช่างรับไม่ได้เลยเสียจริง!
เพื่อที่ตนหวังจะเอาใจพี่ไท่ ถึงได้หลอกล่อพี่สาวมาก็เพื่อความสุขของเขา! พี่ไท่กลับแทะโลมกับพี่สาวต่อหน้าต่อตาตนได้!
ความเจ็บปวดเช่นนี้ทำให้เล็บของอวิ๋นหว่านเฟยฝังเข้าไปในเนื้อเสียจนเลือดไหลออก
อีกด้านหนึ่งมู่หรงไท่เมื่อสังเกตเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นไม่สามารถต่อกรได้ ในใจก็ทั้งตื่นเต้นแต่ก็ปนด้วยความเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้ การแต่งงานครั้งแรกในชาติก่อน มีการเกี่ยวก้อยสัญญา นางแสดงสีหน้ายอมรับด้วยความยินดี แต่กาลครั้งหนึ่งกลับต้องพึ่งพาวิธีนี้เพื่อให้ได้นางมา
อวิ๋นหว่านชิ่นอดกลั้นความรู้สึกประหลาดที่อยู่ในกายพลางใช้กำลังที่มีอยู่ทั้งหมดออกแรงตบลงที่ใบหน้าของมู่หรงไท่ “คนชั่ว!”
ความรุนแรงของแรงตบและคำกล่าวตำหนิทำให้เรี่ยวแรงทั้งหมดสิ้นไป ร่างกายของนางค่อยๆ ทรุดลงอย่างเชื่องช้า
มู่หรงไท่ไม่ลังเลอีกต่อไป สายตาของเขามองที่อวิ๋นว่านเฟยอย่างเยือกเย็นครู่หนึ่งแล้วรั้งเกี่ยวเอวกอดผู้หญิงที่อยู่ในแขนตนเอาไว้
อวิ๋นหว่านเฟยทำราวกับเป็นหุ่นเชิด เอื้อมมือเปิดม่านเตียงออก
ท่ามกลางความสับสนเลือนลาง อวิ๋นหว่านชิ่นถูกจับโยนลงบนเตียง เมื่อไม่สามารถหยุดมู่หรงไท่ได้จึงได้เพียงพูดจาเสียดสีเยาะเย้ยพร้อมกับหันหน้ามองไปทางอวิ๋นหว่านเฟย “น้องรอง เขาเป็นคนของเจ้า เจ้าก็ยังสามารถที่จะทนดูคนของเจ้าทำแบบนี้ต่อหน้าได้อย่างนั้นหรือ เจ้าไม่อิจฉาหรอกหรือ เจ้าเต็มใจจริงอย่างนั้นหรือ…”
อวิ๋นหว่านเฟยถูกความเจ็บปวดเข้าแผดเผาภายในจิตใจอยู่นานแล้วอีกทั้งถูกพี่สาวพูดปลุกปั่นราวกับถ่านไม้ที่สูญสิ้นควันไฟ หมดสิ้นความอดทน รีบปรี่ตัวเข้าไปคว้าแขวนของมู่หรงไท่ “พี่ไท่…”
“ไสหัวไป” มู่หรงไท่พูดว่าเพียงประโยคเดียว ดวงตาทั้งสองข้างแลดูน่ากลัว “ข้าเคยบอกแล้วว่าขอแค่เรื่องนี้สำเร็จ ข้าจะไม่ทำตัวแย่กับเจ้า ข้าจะพาเจ้าเข้าไปยังเรือนใหญ่ของตระกูลโหวให้เจ้าอยู่ข้างกายข้าต่อจากนี้ไป ไม่ใช่ในฐานะแม่บ้าน ตอนนี้เจ้าจะมามัวอิจฉาอะไร!”
อวิ๋นหว่านเฟยถอยหลังออกเล็กน้อย สายตายังคงมองจ้องเขม็งไปที่ชายคนรักที่กำลังคร่อมตัวอยู่เหนือร่างของหญิงสาว เลือดบนฝ่ามือที่ถูกจิกจนเป็นรอยไหลหลั่งออกมาอีกครั้ง
ดวงตาของอวิ๋นว่านชิ่นพร่ามัว ความรุ่มร้อนประหลาดไหลหลั่งไปทั่วร่างกายอีกครั้ง รับรู้แค่กำลังถูกมือถอดเสื้อผ้าของตนออกทีละชิ้นๆ เริ่มจากเสื้อคลุม ตามด้วยเสื้อเอ๋า และเสื้อตัวกลาง…ทันใดนั้นก็กลับมามีเรี่ยวแรงขึ้นเล็กน้อยอีกครั้ง ยกมือขึ้นอย่างอ่อนแรง ครั้งนี้ไม่ได้ออกแรงตบแต่กลับยื่นเล็บอันแหลมคมข่วนลงบนแก้มของชายที่คร่อมอยู่เหนือร่างตน
เสียง “แคว่ก” บนใบหน้าเรียบเนียนของมู่หรงไท่ ปรากฏให้เห็นรอยเลือดไหลออกมาเป็นแนวยาวกว่าสองนิ้วซึมหลั่งออกมา
เป็นเพราะว่ามันแสบเสียจนทำให้เขาต้องหยุดลงเพื่อห้ามเลือด แต่ก็ยังคงไม่ทำร้ายหรือตบตี แค่เพียงถอนหายใจแล้วเตะเข้าที่วางเท้าข้างเตียงอย่างรุนแรง
เสียงที่ดังสนั่นทำเอาอวิ๋นหว่านเฟยตกใจ เมื่อเห็นว่ามู่หรงไท่ไม่พอใจจึงก้าวไปข้างหน้า เอื้อมมืออันสั่นเทาทั้งสองข้างเข้าไปช่วยถอดเสื้อผ้าของพี่สาวออกทีละชิ้น รอมู่หรงไท่ห้ามเลือดกลับมาที่เตียงจึงถอยเท้ากลับไปอย่างเชื่อฟัง ราวกับเพิ่งปรุงอาหารจานโอชะให้สำเร็จ เลาะกระดูกออกให้ด้วยตัวเอง และนำเอาเนื้อที่สดนุ่มลื่นประเคนให้สามี เพื่อให้สามีไม่ต้องเข็ดฟัน
ระหว่างที่ตนกำลังห้ามเลือด ร่างของสาวงามที่อยู่บนเตียงก็ถูกอวิ๋นหว่านเฟยถอดออกจนเกือบจะหมด
ผมยาวสลวยจากการดิ้นรนคลายออก ปิ่นปักผมมุกร่วงหล่นลงที่เตียง ผมดำเหมือนสาหร่ายในน้ำตกพันยุ่งเหยิง เสื้อคลุมสีเขียวมรกตสดใสเลิกขึ้นอยู่ที่คอ ผิวหนังราวกับหิมะถูกแต่งแต้มด้วยริมฝีปากสีแดงสดเหมือนชาด ช่างเย้ายวนใจยิ่งนัก ดวงตาที่ปรือทั้งสองข้างของฤดูใบไม้ร่วงเผยให้เห็นถึงแสงแห่งความดื้อรั้น ร่างกายที่อ่อนนุ่มเหมือนโคลนเพราะความรุ่มร้อนขดตัวราวกับงูบิดเร่ากระตุ้นความสนใจของคนตรงหน้า
“ชิ่นเอ๋อร์” มู่หรงไท่ร้องเรียก ราวกับประจักษ์เห็นภาพวาดที่งดงามไร้ที่เปรียบปรากฏอยู่ต่อหน้า อดไม่ได้ที่จะทำลาย นางสวยเกินไป มากกว่าชาติที่แล้วเสียอีก!
“มู่หรงไท่”
เสียงที่บางเบาแต่แข็งกร้าวดังพึมพำออกมาจากริมฝีปากแห้งผาก ด้วยน้ำเสียงเงียบสงบและอ่อนโยนอย่างไม่คาดคิด
มู่หรงไท่รู้สึกยินดีอย่างคาดไม่ถึง นางไม่ได้ตำหนิตนแต่กลับเรียกชื่อ ใจของนางอาจได้เปลี่ยนไปแล้ว หัวใจเต้นระรัวเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของนาง “ข้าอยู่นี่ ชิ่นเอ๋อร์ ข้าอยู่นี่…”
“ถ้าเจ้ายังกล้าแตะต้องตัวข้า ข้าจะไม่ลังเลที่จะบอกราชสำนักให้เอาเจ้าถึงตายกันไปข้าง” ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของนางตามมาด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยน่ากลัว
คอมเม้นต์