ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 202 สถานที่ที่ส่งเหลียนเหนียงไป (2)
เรื่องของน้องสาวนางนั้นยังมิได้ตัดสินโทษอันใด อีกทั้งยังได้รับโทษมาแล้ว จะลากสกุลอวิ๋นเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจงใจเอาเรื่องที่นายท่านกลัวที่สุดมาขู่เพื่อสั่นคลอนความคิดของนายท่าน!
ฝ่ามือไป๋เสวี่ยฮุ่ยเย็นเยียบ “ไป๋ลิ่งเหรินตกต่ำไปเป็นทาสแล้ว ไท่จื่อก็น่าจะลดโทสะลงไปมาก อีกอย่าง แม้ว่าไป๋ลิ่งเหรินจะเป็นน้องสาวของข้า แต่สิบกว่าปีมานี้ เรากลับไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน ความสัมพันธ์ห่างเหินกันมาก ซ้ำยังไม่เท่าความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้างด้วยซ้ำ! ไท่จื่อจะทรงเคียดแค้นสกุลอวิ๋นเพียงเพราะญาติห่างๆ นางนี้ได้อย่างไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะออกมาเบาๆ “ความสัมพันธ์ห่างเหินหรือ ท่านแม่ให้ไป๋ลิ่งเหรินช่วยน้องรองได้แต่งเข้าจวนกุยเต๋อโหว ยามที่ให้ไป๋ลิ่งเหรินช่วยเกลี้ยกล่อมผ่อนผันโทษให้ ไม่เห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกท่านจะห่างเหินกันตรงไหน”
ประโยคนี้ของบุตรสาว อวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินชัดแจ้ง แต่ในใจกลับสั่นไหวขึ้นมา เขามองไป๋ซื่อคราหนึ่ง ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยระงับความโกรธไม่ได้อีกต่อไป แม้น้ำเสียงจะราบเรียบ ทว่าได้ร้อนใจขึ้นมาแล้ว “นายท่านเจ้าคะ พระชายากล่าวเกินไปแล้ว โบราณว่าไว้ โทษของคนผู้หนึ่งไม่เกี่ยวกับบุตรสาวที่ออกเรือน ต่อให้พ่อแม่ข้าทำผิดหนักหนาสาหัสเพียงใด บ้านท่านพ่อก็ไม่ได้รับผลกระทบใดเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นข้ากับไป๋ลิ่งเหรินเป็นเพียงพี่น้องกันเท่านั้น”
หลักการเหตุผลเหล่านี้อวิ๋นเสวียนฉั่งไหนเลยจะไม่เข้าใจ ต่อให้บ้านมารดาทำเรื่องร้ายแรงอย่างการเข่นฆ่าล้างโคตร ลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้วก็ไม่มีทางโดนหางเลขไปด้วย
ทว่า กฎหมายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง น้ำใจไมตรีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไท่จื่อใช้กฎหมายจัดการกับพรรคพวกของเจี่ยงฮองเฮามิได้ จะแอบผูกใจเจ็บแค้นส่วนตัวได้เลยหรือ หากไท่จื่อเกิดจิตใจคับแคบขึ้นมาจริงๆ แล้วใช้อำนาจกลั่นแกล้งรังแกเขา ขัดขวางหนทางในอนาคตของเขา เหตุเพราะเกี่ยวข้องกับไป๋ลิ่งเหรินขึ้นมาเล่า เขาจะทนได้อย่างไร!
ทว่าลูกสาวจงใจกล่าวเกินจริง เพราะไม่อยากให้ไป๋ซื่อได้มีชีวิตที่สุขสบาย อวิ๋นเสวียนฉั่งย่อมรู้ดี
หลังจากไตร่ตรองชั่งน้ำหนักดูแล้ว เขาก็ยังตัดสินใจมิได้เสียที สีหน้าพังทลายลง “เอาล่ะ เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะจัดการเอง”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจนปัญญา หากนางพูดอันใดออกมาอีกถูกรำคาญเอาได้ จึงก้มหน้าจากไป
อวิ๋นเสวียนฉั่งครุ่นคิดอีกคราแล้วเอ่ยว่า “ให้พ่อได้ไต่ตรองดูอีกสักสองสามวันเถิด”
สิ่งที่อวิ๋นหว่านชิ่นควรจะพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว จึงคล้องแขนชูซย่าเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านพ่อก็อย่าได้ตรองนานนัก ไปกันเถอะ”
ชูซย่ารีบรับคำ “เจ้าค่ะเหนียงเหนียง”
อวิ๋นเสวียนฉั่งได้สติก็ตะโกนขึ้นว่า “ช้าก่อน!” เห็นลูกสาวชะงักฝีเท้าลงจึงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ขอพระชายาโปรดส่งจิ่นจ้งกลับสู่สกุลอวิ๋นด้วย พ่อจะหาหมอยอดฝีมือมาที่จวนเพื่อบำรุงร่างกายให้เขาเอง”
พออนุตั้งครรภ์ลูกคนอื่น ก็รู้จักนึกห่วงใยลูกในไส้ขึ้นมาทันที อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยอย่างรำคาญว่า “รีบร้อนอันใด ลูกเพิ่งจะซื้อตำราการเรียนให้เขา จัดหาคนรับใช้ไว้ให้เรียบร้อย เช้าวันนี้ให้คนไปถามมาแล้ว เขาบอกว่าอยู่ได้สุขสบายดี ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”
อวิ๋นเสวียนฉั่งร้อนใจแต่เห็นนางหันหลังเดินออกจากห้องบุปผาไปแล้ว
ภายในรถ เกาจ๋างสื่อรออยู่นานทีเดียว อาศัยจังหวะที่เหนียงเหนียงยังไม่มา ให้คนสกุลอวิ๋นหาเชือกมาม้วนหนึ่ง มัดเหลียนเหนียงไว้ให้มั่น นางจะได้ไม่ขัดขืน
ยามนี้เห็นเหนียงเหนียงกลับมาแล้ว เขาจึงเอ่ยถามว่า “เหนียงเหนียง จะจัดการอนุนางนี้อย่างไรดีขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเหลียนเหนียงร้องไห้เสียจนเครื่องสำอางหลุดออกจนหมดจึงตอบไปว่า “ไปริมแม่น้ำของหนานเฉิง”
ริมแม่น้ำของหนานเฉิงหรือ สถานเริงรมย์ที่โด่งดังที่สุดของที่นั่นก็คือเรือสำราญว่านชุน ซ้ำยังมีชื่อเสียงในเมืองหลวงแห่งนี้อีกด้วย
เกาจ๋างสื่อสบตากับชูซย่าหน้าแดงก่ำ แต่กลับทำได้เพียงสั่งให้คนรถออกเดินทางเท่านั้น
เหลียนเหนียงได้ยินว่าจะขายนางไปเป็นนางคณิกาก็ร้องห่มร้องไห้จนหายใจแทบไม่ทัน แต่เพราะผ้าที่คาบไว้ในปาก ใบหน้านั้นจึงอัดอั้นเสียจนแดงก่ำ
ไม่ถึงสองสามเค่อ[1]ดี รถม้าก็มาถึงมุมริมสุดของหนานเฉิง หลังจากลงรถมา เรือสำราญลำใหญ่ที่ประดับประดาด้วยสีแดงสดจอดเลียบอยู่ริมฝั่ง กลิ่นหอมของแป้งอวลกรุ่นไปทั่วบริเวณ มีเรือโป๊ะลำหนึ่งจอดอยู่ระหว่างบนบกกับดาดฟ้าเรือ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่แขกภายในเมืองได้สัญจรไปมา บนเรือนั้นมีการแสดงความรักของสตรีอย่างเร่าร้อน มีฉากร้อนแรงที่ชวนหน้าแดงหูร้อนอยู่ทั่วทุกมุม เสียงหัวร่อต่อกระซิกลอยล่องมาให้ได้ยินอยู่ไม่ขาด
เกาจ๋างสื่อเห็นว่าที่นี่เป็นสถานเริงรมย์จึงกลัวว่าใครมาเห็นเข้าจะทำชื่อเสียงเหนียงเหนียงแปดเปื้อน จึงให้รถม้าจอดอยู่เสียไกลลิบ แต่ก็ยังคงกระซิบบอกสองสามคำ ฟังเหนียงเหนียงสั่งกำชับคำหนึ่งแล้วจึงลงจากรถเดินไปบนเรือ
เหลียนเหนียงเห็นว่าจะถูกขายให้เป็นนางคณิกาก็ร้องไห้จนเจ็บอก
อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้วมองนาง ยื่นมือดึงผ้าในปากนางออก
เหลียนเหนียงได้รับอากาศเข้าไปก็สูดเข้าปอดยกใหญ่ รีบหมอบอยู่บนพื้นรถ คร่ำครวญว่า “พระชายาไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ข้าไม่อยากเป็นนางคณิกาให้คนมากมายมาขึ้นขี่ข่มเขง! พระชายาจะขายข้าไปเป็นทาสให้ครอบครัวธรรมดาๆ ที่ใดข้าล้วนไม่มีปัญหาทั้งนั้น…ไม่ ขายข้าให้หอสุรา โรงน้ำชา ให้ข้าเดินจนขาขาดวิ่น ทำงานหนักยากเข็ญเพียงใดล้วนยินดีทั้งสิ้น!”
“ผู้ใดบอกว่าจะให้เจ้าเป็นนางคณิกากัน” อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกผ้าม่านขึ้นมองไปนอกหน้าต่าง เห็นเกาจ๋างสื่อพาคนมาเรียบร้อยแล้ว
สตรีนางนั้นเดินตามอยู่ด้านหลังเกาจ๋างสื่อ เวลาเดินก็ส่ายสะโพกไปมา ยั่วยวนเป็นอย่างมาก ทั่วร่างสะพรั่งสดใส กลิ่นแป้งบนผมยาวสยายฉุนกึก ทรงผมมวยขึ้นอย่างเอียงๆ ประดับด้วยปิ่นหยกแวววาวสะดุดตา แค่เห็นก็รู้ได้ว่าเป็นนางคณิกาบนเรือสำราญ ดูจากการแต่งตัวแล้วนางน่าจะกำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้
“อยู่บนรถม้านั่นใช่หรือไม่ โอ๊ะ เหตุใดจึงจอดเสียไกลลิบเช่นนั้นเล่า…” สตรีนางนั้นเดินไปพลางโบกผ้าเช็ดหน้าไปพลาง เอ่ยเสียงหวานหยดย้อย
เหลียนเหนียงนึกว่าแม่เล้าที่มารับสินค้ามาถึงแล้วจึงขดตัวอยู่มุมรถ เป็นตายร้ายดีก็ไม่ยอมลงไป จนกระทั่งคนรถปลดเชือกบนมือนางแล้วหิ้วตัวลงมา
พอนางเห็นคนที่มาชัดๆ ใบหน้าดวงน้อยก็ซีดเผือด เป็นเถาฮวา ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเถาฮวา
พอเถาฮวาเห็นเหลียนเหนียงคิ้วเรียวก็เลิกขึ้น นางกำหมัดสีชมพูระเรื่อไว้แน่น ราวกับเห็นศัตรูคู่แค้นที่ไม่ได้เจอกันนาน แต่นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายตกต่ำแล้วจึงไม่รีบร้อนที่จะระบายความแค้นออกไป หัวเราะอย่างเบิกบานสบายอารมณ์แล้วกล่าวว่า “เหลียนเหนียงนี่ เจ้าก็มีวันนี้ด้วยหรือ ฮ่าๆ ฮ่าๆ!”
เห็นเพียงผ้าม่านของรถเลิกขึ้น สตรีที่แต่งตัวอย่างสาวใช้ของชนชั้นสูงนางหนึ่งเปิดม่านออกแล้วกล่าวว่า “ยามนี้นับว่าเจ้าเป็นที่นิยมบนเรือสำราญแห่งนี้ เหลียนเหนียงนี่ ให้เป็นสาวใช้ของเจ้าก็แล้วกัน ส่วนเอกสารการซื้อขายเดี๋ยวจะให้เกาจ๋างสื่อเอามาให้เจ้า”
เถาฮวารู้จักชูซย่า แล้วก็รู้ด้วยว่ายังมีผู้ใดนั่งอยู่บนรถม้าคันนั้น จึงหัวเราะเสียงดังลั่นเอ่ยว่า “เจ้าบอกนายเจ้าให้วางใจได้ เถาฮวาจะสานต่อเจตนารมณ์ของนายเจ้าให้เป็นอย่างดี”
เหลียนเหนียงหวาดผวาอยู่นานแล้ว ตอนนั้นนางให้ร้ายเถาฮวาจนอีกฝ่ายคับแค้นใจ และถูกอนุฟางทุบตีร่างกาย มายามนี้ให้นางมาเป็นทาสของอีกฝ่าย แล้วอีกฝ่ายจะปล่อยนางไปหรือ
เหลียนเหนียงปีนขึ้นมาอย่างสุดกำลัง หันไปโผเข้าหาหน้าต่าง ทั้งข่วนทั้งทุบตี “ไม่เอา ข้าไม่อยากเป็นสาวใช้ของนาง ไม่เอา…พระชายา ข้าขอร้องล่ะเพคะ…ท่านขายข้าให้แม่เล้า ให้ข้าเป็นนางคณิกาบนเรือก็ได้ ข้าไม่อยากเป็นสาวใช้นาง…”
“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าติดค้างนางอยู่” เสียงสตรีบนรถม้าดังลอยมา
เหลียนเหนียงกำลังจะทุบหน้าต่างอีกครา เถาฮวาก็เดินดุ่มๆ เข้ามาจิกผมของนางอย่างอดรนทนไม่ไหว เอ่ยอย่างโหดเหี้ยมว่า “วันพระไม่ได้มีหนเดียว ข้ากับเจ้าล้วนเกิดที่สมาคมม้าผอม เข้าสกุลอวิ๋นไปด้วยกัน มาครานี้ได้มาพบกันอีกครานับว่าเป็นวาสนานัก! ทำไมหรือ เจ้ายังอาลัยอาวรณ์อยู่กับความหรูหราในสกุลอวิ๋นอยู่หรือ ตอนที่ข้าถูกเปลี่ยนมือขายมาเป็นนางคณิกาให้คนขึ้นขี่ข่มเหง เจ้ายังกินดีมีสุขอยู่ที่สกุลอวิ๋นอยู่เลยมิใช่หรือ แต่ก็ต้องขอบคุณเจ้าที่ทำให้ข้าได้มีวันนี้ ข้าถูกเจ้าทำร้ายจนเกือบไม่รอด อย่าว่าแต่ผู้ชายดีๆ เลย ขนาดผู้ชายธรรมดายังไม่แลข้าแล้ว กลับให้ข้าได้กลายเป็นนางคณิกาที่โด่งดังอยู่บนเรือลำนี้ เจ้าฟังข้าให้ดี ต่อแต่นี้ไปเจ้าอย่าได้คิดอยากตายเด็ดขาด จงยอมปรนนิบัติรับใช้ข้าเสียแต่โดยดี รับใช้ข้าให้สุขสบาย แล้วข้าก็จะให้ข้าวเจ้ากินทุกวัน หากทำได้ไม่ดี ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตาย!”
[1] เค่อ หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที
คอมเม้นต์