ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 206 ทางบ้านลำบาก พาไปไหว้มารดา (2)
ยังมิทันได้เอ่ยคำใดกลับเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มบางๆ แล้วลุกขึ้น
อวิ๋นเสวียนฉั่งจมูกกระตุก “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ในเมื่อแก้ไขได้ง่ายเพียงนั้น ปัญหานี้ท่านพ่อแบกรับไว้ผู้เดียวก็มิน่าจะยากอันใด เหตุใดต้องลากจวนฉินอ๋องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเล่า เก็บฎีกาของท่าน ช่วยท่านยักยอกเงินขุนนาง เรื่องเหล่านี้ล้วนขัดต่อหลักกฎหมาย ท่านกลัวว่าลูกสาวจะมิลำบากไปด้วยใช่หรือไม่ ท่านคิดเช่นนี้ได้อย่างไร”
อวิ๋นเสวียนฉั่งหน้าแดงกล่ำ “ความหมายของพระชายาคือจะไม่ช่วยเหลือกันหรือ บ้านพ่อแม่เจ้าก็คือที่พึ่งพิงของเจ้า ทางบ้านเจ้ามีหน้ามีตา เจ้าก็จะมีแรงกำลังเพียงพอ หากทางบ้านเจ้าใช้ไม่ได้ขึ้นมา แล้วจะมีประโยชน์อันใดต่อเจ้ากัน”
นางกลับยิ้มเอ่ยว่า “ท่านพ่อกล่าวได้ถูกต้อง บ้านบิดามารดาไม่เอาไหน จะให้ข้าลากบ้านสามีมาร่วมหัวจมท้าย ให้ทั้งสองบ้านลำบากกันไปหมดหรือ ข้ามิใช่คนโง่เพียงนั้น”
อวิ๋นเสวียนฉั่งโกรธเกรี้ยว “ลูกอกตัญญู เลี้ยงเสียข้าวสุก เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วกลับไร้ประโยชน์!”
“ท่านพ่อเลี้ยงข้ามาก็เพื่อใช้ประโยชน์ เช่นนั้นตั้งแต่นี้ไปก็ควรจะชินกับการไร้ลูกสาวให้ใช้ได้แล้ว” นางเอ่ยจบก็โบกแขนเสื้อ “เกาจ๋างสื่อ ส่งแขก!”
เสียงบานประตูดังขึ้น เกาจ๋างสื่อกับคนรับใช้อีกสองสามคนเข้ามา “เจ้ากรมอวิ๋น เชิญ!”
ม่อไคไหลที่เดินตามเข้ามาด้วยเห็นเหตุการณ์นี้เข้าก็รู้ได้ทันทีว่าพระชายามิได้ตอบตกลง แต่ก็ยังเข้าไปใกล้แล้วกระซิบถามว่า “นายท่าน เป็นเช่นไรบ้างขอรับ…”
“เป็นเช่นไรน่ะหรือ” อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่าขอร้องไม่สำเร็จก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถูกฉีกหน้าเสียย่อยยับ ถีบเก้าอี้ด้านข้างคราหนึ่ง ยื่นมือออกไปชี้หน้าอวิ๋นหว่านชิ่นด้วยความโมโห ด่าทอว่า “นังเลือดเย็น บ้านพ่อแม่กำลังลำบากกลับไม่ยอมช่วยเหลือกันแม้แต่น้อย! ภายหน้าไม่ว่าผู้ใดมาถามข้า ข้าจะเล่าความชั่วร้ายของเจ้าให้ละเอียด ให้คนทั้งเมืองหลวงได้รู้ว่าเจ้ามันอกตัญญู! ดูสิว่าพระชายาเช่นเจ้าจะเชิดหน้าชูตาต่อได้อย่างไร เฮอะ จวนนี้ที่เจ้าอยู่ มิใช่ว่าจะมีสนมใหม่เข้ามาหรือ ข้าจะคอยดูว่าตำแหน่งนายหญิงของเจ้าจะมั่นคงอยู่ได้เพียงใด! ถุย! ยามนี้เจ้ามีชีวิตเชิดหน้าชูตาได้ จึงไม่แลทางบ้านพ่อแม่ ข้ารอคอยวันที่เจ้าจะถูกเขี่ยทิ้งให้กลายเป็นเมียเก่าถูกทิ้งอย่างใจจดใจจ่อเลยเชียว ถึงเวลานั้น กระทั่งที่ที่จะกลับไปร้องไห้ได้ก็ไม่มีแล้ว!”
บนโลกนี้มีพ่อแม่เช่นนี้ด้วยหรือ! ชูซย่าโกรธเคืองจนไฟแทบลุก นึกไม่ถึงเลยว่าพอมิได้ดั่งใจก็ด่าทอลูกสาวแท้ๆ ตนเองเช่นนี้ นางเดือดดาลจนตัวสั่น ยิ้มเย็นเยียบ “เจ้ากรมอวิ๋นมาที่จวนเพื่อขอให้เหนียงเหนียงช่วยปกปิดโทษการประมาทเลินเล่อในงานราชการ แล้วค่อยยักยอกเงินขุนนางตบท้าย แต่ขอร้องไม่สำเร็จซ้ำยังถูกเหนียงเหนียงไล่ ก็คอยดูแล้วกันว่าผู้คนจะบอกว่าเหนียงเหนียงอกตัญญูหรือจะบอกว่าเหนียงเหนียงมีคุณธรรมสะบั้นญาติ[1]ไม่เห็นแก่ญาติแล้วทำผิดต่อบ้านเมือง!”
อวิ๋นเสวียนฉั่งหน้าเขียวคล้ำ ด่ามาด่ากลับ เรื่องนี้จะเผยแพร่ออกไปได้อย่างไร เขาโมโหโกรธา เดินเข้าไปหาแล้วยกมือขึ้นตบลงบนใบหน้าของชูซย่า “คนรับใช้ที่บ้านแท้ๆ! นึกไม่ถึงว่าจะกล้าท้าทายเจ้านายเก่าเช่นนี้!”
เสียง เพี๊ยะ ดังขึ้น ทำเอาใบหน้าครึ่งซีกของชูซย่าแดงกล่ำขึ้นมาทันที
อวิ๋นหว่านชิ่นสีหน้าพลันเปลี่ยน “ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา นึกไม่ถึงว่าเจ้ากรมอวิ๋นจะกล้าก่อเรื่องในจวนท่านอ๋องได้! ใครก็ได้ มาลากตัวออกไปแล้วโบยเสียก่อนค่อยจับโยนออกไป!”
“มีเช่นนี้ด้วยหรือ! เจ้ากล้า…” อวิ๋นเสวียนฉั่งตกใจหน้าซีดเผือด
“ท่านพ่อเป็นห่วงว่าลูกจะถูกสนมคนใหม่มาเบียดตำแหน่ง ลูกจะทำให้ท่านพ่อผิดหวังได้อย่างไร วันนี้ท่านพ่อก่อเรื่องใหญ่โต หากเดินอาดๆ ออกไป แล้วภายหน้ามีคนมาเอาเยี่ยงเอาอย่างจะทำเช่นไร กฎของจวนท่านอ๋องมาเสียในมือลูก ตำแหน่งนี้ เกรงว่าคงจะนั่งได้ไม่มั่นคงจริงๆ เสียแล้ว” อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองเกาจ๋างสื่อคราหนึ่ง
“ไร้คุณธรรมจรรยา เจ้าต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์แน่!” กล่าวจบ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ถูกคนรับใช้สองนายหิ้วปีกไว้สองข้างแล้วลากตัวออกไปกดไว้ยังลานกว้างนอกห้องโถง พอชายอาภรณ์ถูกถลกขึ้น ไม้เรียวก็ฟาดลงมา!
สวรรค์ลงทัณฑ์หรือ ชาติที่แล้วรักษาจารีตประเพณีอย่างดี ควบคุมจิตใจให้อยู่ในกฎเกณฑ์ เหตุใดจึงไม่เห็นว่าสวรรค์จะมาเห็นใจสงสารเล่า ในเมื่อสวรรค์ก็ข่มเหงคนดี หวาดกลัวคนชั่วเช่นนี้ เช่นนั้นเป็นคนชั่วไปเสียก็สิ้นเรื่อง
อวิ๋นหว่านชิ่นสะบัดแขนเสื้อ กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ดังเดิม ยกถ้วยชาขึ้นจิบ
ในสภาพอากาศเช่นนี้ เสื้อผ้าอาภรณ์ค่อนข้างหนา อีกทั้งยังมีกางเกงกั้นไว้อีกชั้นหนึ่ง พอฟาดลงไปแม้จะไม่ถึงขนาดทำเนื้อให้แตกได้ ขอแค่ทำลายศักดิ์ศรีของอวิ๋นเสวียนฉั่งได้ก็พอ
ผ่านไปไม่กี่ไม้ เกาจ๋างสื่อจึงส่งสัญญาณให้คนรับใช้ดึงเจ้ากรมอวิ๋นขึ้น ลากเหมือนสัตว์เลี้ยงอย่างไร้ความปรานีเดินไปทางหน้าประตู
แขนของอวิ๋นเสวียนฉั่งถูกจับไขว้กัน พื้นรองเท้าขูดไปกับพื้น ปวดร้าวไปทั้งร่าง แหกปากกร่นด่าไปตลอดทาง พอถึงหน้าประตูก็เห็นเพียงคนรับใช้ของจวนเปิดประตูออก แต่ตัวเองกลับเงียบเสียงลงสนิท ไม่ด่าทอออกมาอีก
ถูกคนนอกเห็นสารรูปเช่นนี้ของตัวเอง เขาก็ยิ่งขายหน้า มาจวนอ๋องครานี้ นึกไม่ถึงว่าจะถูกลูกสาวตีเข้าให้! นี่มันอันใดกัน
อวิ๋นเสวียนฉั่งยกเสื้อคลุม ถ่มเสมหะออกมา ฝืนทนความเจ็บปวดบริเวณสะโพกแล้วหยัดกายขึ้น ทำทีเป็นไม่มีอันใดเกิดขึ้น พาม่อไคไหลเดินจากไป
ภายในห้องโถง เจินจูได้ยินเรื่องราวเข้าก็เอายาแก้ฟกช้ำที่เหนียงเหนียงทำเองมา
อวิ๋นหว่านชิ่นทาให้ชูซย่าอย่างอ่อนโยน เพิ่งจะเกลี่ยให้ทั่วก็ได้ยินนางเอ่ยขึ้นว่า “เหนียงเหนียงมิเห็นต้องลงไม้ลงมือกับนายท่านเพื่อบ่าวเลยเจ้าค่ะ” แม้ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกจะไม่ดีนัก แต่อย่างน้อยก็ยังพอจะประคับประคองไปได้บ้าง มาวันนี้พอเกิดเรื่องขึ้น เกรงว่าจะฉีกหน้ากันไปเสียแล้ว
“ข้ามิได้ทำเพื่อเจ้าเพียงอย่างเดียว” อวิ๋นหว่านชิ่นปิดตลับยาแล้วเอ่ยว่า “งานของเขาเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น ขุนนางที่คอยจะเอาผิดเขาล้วนกำลังจับจ้อง เขามาเยี่ยมเยือนข้า พวกเจ้าคิดว่าคนอื่นจะไม่รู้หรือ พอถึงเวลานั้นข้าไม่ได้ช่วย ถูกคนพูดออกไปจนถึงราชสำนัก ฉินอ๋องก็จะถูกผู้คนสงสัยไถ่ถาม วันนี้ข้าลงมืออย่างโหดเหี้ยม คนอื่นรู้เข้าว่าข้ากับเขาวิวาทกัน ก็จะได้ไม่มาสงสัยกันได้”
ชูซย่ากับเจินจูสบตากันแล้วสูดหายใจลึก “เหนียงเหนียงละเอียดรอบคอบนัก”
เงียบไปพักหนึ่ง ชูซย่าก็สงสัยขึ้นมาอีกจึงเอ่ยถามว่า “ตะ…แต่จะไม่ช่วยตระกูลอวิ๋นจริงๆ หรือเจ้าคะ บ่าวก็ไม่ชินกับการปฏิบัติต่อเหนียงเหนียงสามแม่ลูกของนายท่าน แต่มีจุดหนึ่งที่มิอาจปฏิเสธได้ ตระกูลอวิ๋นอย่างไรก็เป็นบ้านของเหนียงเหนียง หากพ่ายแพ้ขึ้นมาจริงๆ เหนียงเหนียงคงจะไม่มีปัญหาใด แต่นายท่าน...กลับมิอาจมีอนาคตที่ดีได้แน่”
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่อวิ๋นหว่านชิ่นลำบากใจอยู่เช่นกัน นางครุ่นคิดอยู่นาน “ฝ่าบาททรงเกลียดการแต่งงานเกี่ยวดองเพื่อส้องสุมสมัครพรรคพวกเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สุด โทษของเขามิใช่น้อย หากช่วยเอื้อประโยชน์ให้เขา เกรงว่าตำแหน่งอุปราชของท่านอ๋องสามจะสั่นคลอนได้ ข้าไม่อยากให้ท่านอ๋องลำบาก ข้าไม่เชื่อว่าแค่ความสามารถของข้ากับน้องชายจะต้องถึงขั้นไปพึ่งพิงตระกูลท่านพ่อ พ่อข้ามาจากครอบครัวที่ต่ำต้อย ยามนี้มิใช่ว่าได้ดิบได้ดีเอาจนได้แล้วหรือ เรื่องในวันนี้เจ้าบอกกับเกาจ๋างสื่อให้ประชุมคนรับใช้ห้ามบอกกับท่านอ๋องสามเด็ดขาด คนที่ฝ่าฝืนข้าจะลงโทษอย่างไร้ปรานี!”
“เจ้าค่ะ” ชูซย่ากับเจินจูรับคำพร้อมกัน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผันผ่านจนถึงยามค่ำคืน
วันนี้ทั้งวันค่อนข้างเหนื่อยล้า อวิ๋นหว่านชิ่นทานอาหารเย็นเพียงผู้เดียว นางอ่านตำราพักหนึ่งก็รีบอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเป็นชุดนอน
ก่อนเข้านอน อวิ๋นจิ่นจ้งอยากให้พี่สาวอารมณ์ดี จึงให้ม่อเซียงมาส่งการบ้านสองสามเล่มให้นางดู หมู่นี้เขาได้บรรยายปากเปล่าให้ม่อเซียงจดข้อคิดเห็นสองสามฉบับ
เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว เขาก้าวหน้าไม่น้อย เลือกประเด็นทางการเมืองที่กำลังมาแรงในระยะนี้ ความคิดมีระเบียบแบบแผนชัดเจน ชี้ข้อผิดพลาดเพื่อให้แก้ไข มองการเขียนเรียบเรียงประโยคแล้วกลับรู้สึกว่าไม่เหมือนเด็กที่เพิ่งจะอายุได้สิบขวบแม้แต่น้อย มีแนวคิดล้าหลังอยู่สองสามข้อ นางอ่านอย่างละเอียดคราหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะเสนอแนวคิดใหม่ที่หาได้ยากเช่นนี้ขึ้นมา
อวิ๋นหว่านชิ่นอ่านแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมาก แต่ก็อดกังวลมิได้ เด็กที่มีความสามารถเช่นนี้ เหตุใดต้องเป็นบุตรชายของอวิ๋นเสวียนฉั่งด้วย
……………………………………………………………………………………………….
[1] คุณธรรมสะบั้นญาติ เพื่อความยุติธรรมจะไม่เห็นแก่เครือญาติใดๆ หากเครือญาติกระทำความผิดก็จะไม่ปกป้องแต่จะส่งให้เขาไปรับโทษที่สมควรได้รับ
คอมเม้นต์