ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – บทที่ 833 ในตอนนี้ผู้ใดสะกดภูเขาไว้ // ประกาศผลกิจกรรมรีวิวแจกเหรียญ
โลกใบนี้มีตำนานไซอิ๋วเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นเรื่องราวที่มีสีสันด้วย
เนื่องจากข้อมูลในมือมีอยู่อย่างจำกัด นอกจากนั้นยุคสมัยยังผ่านมานานเกินไป ดังนั้นจึงมีรายละเอียดบางอย่างที่เยี่ยนจ้าวเกอเองก็ไม่ทราบ
ตำนานจำนวนมากโนโลกใบนี้ มีจุดที่คล้ายกับเรื่องเล่าในความทรงจำของเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ก็มีส่วนที่แตกต่างมากมายเช่นกัน
อย่างเช่น ในเรื่องไซอิ๋วฉบับดั้งเดิมที่เยี่ยนจ้าวเกอเคยอ่าน บรมครูสามพิสุทธิ์ นอกจากเทวกษัตริย์เต๋าสายเอกพิสุทธิ์ หรือที่เรียกว่าไท่ซ่างเหล่าจวินแล้ว เทวกษัตริย์บรรพกำเนิดแห่งสายหยกพิสุทธิ์ และเทวกษัตริย์รัตนวิเศษสายเหนือพิสุทธิ์ก็ถูกพูดถึงเช่นกัน
แม้ว่าจะไม่ได้ออกโรงอย่างเป็นทางการ แต่ก็ถูกพูดถึงคร่าวๆ
อย่างเช่นหลังจากพระยูไลเสด็จมาปราบวานรตัวนั้นแล้ว เง็กเซียนฮ่องเต้ก็แสดงการขอบคุณ จัดการประชุมตำหนักสวรรค์ขึ้น บรมครูสามพิสุทธิ์ก็มาร่วมประชุมด้วย
จะว่าไปแล้ว ในเรื่องเดิมนั้น ตำแหน่งและอำนาจของบรมครูสามพิสุทธิ์ไม่ได้น่านับถือมากนัก
แน่นอนว่าในตอนที่คนรุ่นหลังอ่าน ก็ยากจะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องสมมติที่ชั่วร้ายบางอย่างจากความเข้าใจส่วนตัวได้
แต่ว่าในโลกใบนี้ เรื่องเล่าที่เกี่ยวกับไซอิ๋ว มีแต่เหล่าจวินเท่านั้นที่ถูกพูดถึง
เทวกษัตริย์บรรพกำเนิดกับเทวกษัตริย์รัตนวิเศษ กลับไม่มีการบันทึกเป็นถ้อยคำไว้เลยแม้แต่น้อย
ไม่รู้เป็นเพราะหายไปเพราะผ่านมานานเกินไป หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น
สรุปก็คือ ตำนานไซอิ๋วในโลกใบนี้ เทวกษัตริย์บรรพกำเนิดและเทวกษัตริย์รัตนวิเศษผู้สูงส่งแห่งสำนักเต๋า เหมือนไม่มีตัวตนอยู่ที่นี่อย่างไรอย่างนั้น
แต่ว่าบรมครูสามพิสุทธิ์ได้หลุดพ้นไปแล้วเหมือนดั่งที่ทุกคนทราบดี
เพราะฉะนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงรู้สึกสงสัยในเรื่องนี้มาโดยตลอด
เนื่องจากเรื่องนี้รบกวนการจัดระเบียบและการสรุปรวบยอดเส้นเวลาประวัติศาสตร์ในโลกใบนี้ของเขา จึงทำให้ประวัติศาสตร์มีเรื่องราวใหญ่ๆ มากมายที่ไม่อาจตัดสินลำดับก่อนหลังได้
สิ่งนี้ดูเหมือนไม่สำคัญ ทว่าในโลกที่มีเทพเจ้าอยู่ห่างจากศีรษะสามคืบใบนี้ ไม่แน่ว่าความผิดพลาดในการตัดสินอาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่
‘ยากจะคาดคะเนระดับพลังของบรมครูสามพิสุทธิ์ ทว่าในเมื่อทั้งสามหลุดพ้นไปแล้ว เช่นนั้นก็อย่าทำให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเรามีปัญหาก็พอ’
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มขื่น สายตามองสันเขาลูกนั้น ครุ่นคิดเงียบๆ
แม้ตำนานที่เกี่ยวข้องกับไซอิ๋วของที่นี่ จะมีความแตกต่างจากเรื่องเล่าในความทรงจำของตน แต่ว่าในนี้ก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกัน
อย่างเช่น ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้า[1]ที่ต่อสู้กับสวรรค์และโลกผู้น้้น!
รวมถึงท้ายที่สุดมันก็ถูกสะกดไว้ใต้ภูเขาเบญจคีรีที่เกิดจากนิ้วมือของพระยูไล
ภายหลังพระถังซัมจั๋งได้ปลดปล่อยมันออกจากเขา สองศิษย์อาจารย์ร่วมกันไปเชิญพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีป สุดท้ายพระถังซัมจั๋งถูกแต่งตั้งเป็นบุญกุศลพุทธะ ส่วนเจ้าวานรซุนถูกแต่งตั้งเป็นยุทธวิชัยพุทธะ
ยังไม่พูดถึงรายละเอียดยิบย่อย เรื่องราวส่วนใหญ่ยังคงเป็นเช่นนี้
พูดอีกอย่างก็คือ ภูเขาตรงหน้านี้คือเขาเบญจคีรีหรือเขาสองแดนในอดีต ตอนนี้ในเมื่อถูกคนที่อยู่ในแดนขวางกั้นเรียกว่ายอดเขาพุทธะเทวะ เช่นนั้นก็สมควรเป็นหลังจากซุนจอมเทวะกลายเป็นพุทธะ หรือว่าค่อยเปลี่ยนชื่อเพื่อระลึกและบูชามันหลังจากกลายเป็นพุทธะกัน
แต่ว่าเจ้าของเสียงนั้น ในน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่ยากจะควบคุม ราวกับถูกจองจำไว้ที่นี่
นี่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสับสนยิ่ง
‘วานรตัวนั้นแม้จะกลายเป็นพุทธะไปแล้ว แต่ก็เกรงว่าจะไม่ใช่คนนิสัยดีนัก’ เยี่ยนจ้าวเกอคาดการณ์ในใจ ‘หรือมันจะจองจำใครไว้ที่นี่ ลูกศิษย์ของมันหรือ’
ในใจแม้จะคิดเช่นนี้ แต่เยี่ยนจ้าวเกอกลับมีความรู้สึกบางอย่าง ว่าเจ้าของเสียงคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจอมเทพเสมอฟ้าในตำนานนั่นเอง!
แต่ถ้าสมมติเป็นมันจริงๆ ตำนานไซอิ๋วก็เกิดขึ้นนานมาก นานกว่าวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เสียอีก
เหตุใดมันจึงถูกสะกดไว้ใต้ภูเขาเบญจคีรีอยู่อีกเล่า
มันควรจะได้รับอิสระ ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีป และสำเร็จมรรคพลไปนานแล้ว
การเรียกที่นี่เป็นยอดเขาพุทธะเทวะของคนในแดนขวางกั้น เป็นการพิสูจน์เรื่องนี้อย่างชัดเจน
เช่นนั้นเรื่องที่เจ้าวานรได้รับมรรคผล สำเร็จเป็นยุทธวิชัยพุทธะแล้ว กลับถูกคนสะกดไว้อย่างแน่นหนาอีกครั้งในภายหลัง กลับมีไม่กี่คนที่รู้อย่างนั้นหรือ
หรือจะบอกว่า มิติกับเวลาที่ภูเขาตรงหน้าอยู่แตกต่างจากตอนนี้
มิติอันเป็นที่ตั้งของภูเขาและจุดเชื่อมของเวลาในตอนนี้ได้ย้อนกลับไปเมื่อหมื่นปีก่อน ตอนที่เจ้าวานรถูกสะกดไว้ใต้ภูเขาเบญจคีรี ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยจากพระถังซัมจั๋งหรือ
ภาพที่เห็นในตอนนี้ ความจริงเป็นเวลาที่ผ่านไปแล้วของยอดเขาพุทธะเทวะ ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาเดียวกับแดนขวางกั้น โลกซ้อนโลก และโลกหลังภัยพิบัติหรือ
ในใจของเยี่ยนจ้าวเกอเกิดคำถามและการคาดเดาจำนวนมากในชั่วพริบตา
เพียงแต่การคาดเดาเหล่านี้ กลับไม่อาจยืนยันได้ในตอนนี้
เยี่ยนจ้าวเกอมุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกนั้นอีกครั้ง
เขาทะลุช่องโหว่ที่ซ้อนทับกันแต่ไม่รวมกันของโลกสองใบ จากนั้นก็ลองปีนขึ้นไปบนภูเขาเบญจคีรีที่อยู่ในตำนานลูกนั้นดู
น่าเสียดายที่ความพยายามของเขาล้มเหลวอีกครั้ง
ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีอะไรเข้าใกล้ภูเขา ระยะห่างระหว่างภูเขากับชายหนุ่มก็ไม่เห็นจะร่นเข้าหากันแต่อย่างไร
ภูเขาเพียงตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นไกลๆ เหมือนไกลสุดฟ้า
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ผลลัพธ์อะไร แต่ก็เข้าใจสภาพแวดล้อมที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้น ‘นี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงของมิติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีคนสร้างสะกดเอาไว้ที่นี่ด้วย
‘ต่อให้ข้าฝึกฝนคัมภีร์นภาความว่างเปล่าหรือกระบี่ลวงเซียนก็ไม่มีประโยชน์ จำเป็นต้องมีระดับพลังฝึกปรือสูงถึงระดับหนึ่งจริงๆ ถึงจะมีวิธีจัดการสะกดนี้’
เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาเล็กน้อย ‘คิดจะใช้เล่ห์เหลี่ยมก็ยากเย็นเช่นกัน พื้นฐานของการสะกดนี้ไม่ใช่วรยุทธ์ของสำนักเต๋า แต่เป็นวรยุทธ์ของศาสนาพุทธที่ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยนัก’
ความจริงด้านในหอหนังสือวังเทพในอดีตก็เคยมีคัมภีร์วรยุทธ์ของศาสนาพุทธอยู่ส่วนหนึ่งเช่นกัน แต่ว่าระดับค่อนข้างต่ำไปบ้าง ขาดแคลนวรยุทธ์ที่สุดยอดที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดเหล่านั้น
แม้ว่าเขาจะฝึกปรือมาบ้าง แต่ก็แค่ลองดูคร่าวๆ ดังนั้นในตอนนี้จึงพอจะมองเบื้องหลังของการสะกดตรงหน้าออกเท่านั้น
‘ดูเหมือนในเวลาสั้นๆ นี้จะไม่มีทางขึ้นเขาได้แล้ว’ เยี่ยนจ้าวเกอนวดขมับเบาๆ ถอนใจคำหนึ่ง ‘แต่ว่าที่นั่นมีอะไรกันแน่ น่าสงสัยจริงๆ…’
ขณะที่คิดอยู่ เยี่ยนจ้าวเกอก็พลันจิตใจสั่นไหว จึงมองไปยังอีกทิศหนึ่ง
ขอบฟ้าไกลออกไปปรากฏเงาคนหลายสายอย่างกะทันหัน จากนั้นในชั่วพริบตาเดียวก็พุ่งมาถึงทิศทางของเขาเบญจคีรี
เยี่ยนจ้าวเกอเพ่งสายตามองไป เห็นอีกฝ่ายต่างสวมจีวร ศีรษะวาววับ มีรอยธูปจี้ไว้
คนกลุ่มนี้ในมือบ้างถือวัชระ บ้างถือประคำ บ้างถือมีดตัดจีวร บ้างถือพลั่วพระธรรม อาวุธของศาสนาพุทธแต่ละรูปแบบปรากฏขึ้นมาไม่ขาดสาย
ในตอนที่พวกเขาพบเยี่ยนจ้าวเกอ ต่างเปล่งคำสรรเสริญพระคุณขึ้น “คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเข้ามายังแดนขวางกั้น อีกทั้งยังมาที่แดนต้องห้าม”
“ศิษย์นอกศาสนา จงละทิฐิลงเสีย เพื่อจะได้บรรลุนิพพานโดยไว!”
บรรพชิตส่งเสียงตะโกนพร้อมกัน รัศมีแสงที่ยิ่งใหญ่ดุจทะเลควันรวมตัว ครอบคลุมท้องฟ้าเอาไว้
เสียงสวดมนต์สะท้อนไปทั่วฟ้าดิน กระแสน้ำเชี่ยวกรากที่ไม่อาจอธิบายด้วยคำพูด ม้วนพัดใส่เยี่ยนจ้าวเกอ
ดูเหมือนพวกเขาไม่คิดจะกล่าววาจากับเยี่ยนจ้าวเกอโดยสิ้นเชิง
เยี่ยนจ้าวเกอขณะที่ประหลาดใจก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เขากำลังจะเตรียมเคลื่อนไหว จิตใจก็พลันสั่นไหวขึ้นมา ครั้นหันไปมอง เขาเห็นกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอีกด้านหนึ่งอย่างกะทันหัน ทั้งยังเข้าใกล้ตำแหน่งที่เขาอยู่อีกด้วย
เมื่อมองดูอย่างละเอียด กลับเป็นพวกเกาฉิง ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์ที่แยกกันก่อนหน้านี้
ในตอนนี้พวกเกาฉิงก็กำลังต่อสู้กับคนอื่นเช่นกัน สู้ไปพลาง ถอยไปพลาง
คนที่พวกนางสู้ด้วยเป็นจอมยุทธ์ศาสนาพุทธกลุ่มหนึ่ง
เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ รวมถึงลูกศิษย์ของศาสนาพุทธที่โจมตีมาอีกทาง พวกเกาฉิงก็อึ้งไปเล็กน้อย
………………..
[1] ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้า คือ ฉายาของซุนหงอคง
คอมเม้นต์