นายน้อยเจ้าสำราญ – ตอนที่ 504 ห้องพระ
ตอนที่ 504 ห้องพระ
ตอนที่ 504 ห้องพระ
ในหัวของสวี่หวยซู่เต็มไปด้วยคำถาม บุตรสาว ข้ามีบุตรสาวตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
ภรรยาของข้าก็ยังอยู่ในจวน เจ้าอย่าริอาจมากระตุกหนวดแม่เสือได้หรือไม่ !
“เจ้าใส่ความข้า ! ”
“ท่านลุง ข้าเอ่ยเรื่องจริง… ไปเถิด พวกเราเข้าไปสนทนากันด้านใน”
“มิได้ ! เจ้าต้องอธิบายให้ข้าฟังโดยละเอียด จวนสวี่เป็นตระกูลของผู้ศึกษาตำราและเคร่งครัดยิ่ง พวกเราให้ความสำคัญต่อเรื่องในครอบครัว เจ้าอย่าได้มาทำลายชื่อเสียงของข้า”
สมองของท่านลุงช่างกลวงเสียจริง มิรู้ว่าสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการได้เยี่ยงไร
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน พร้อมกับลากแขนสวี่หวยซู่ตามเข้าไปด้วย
“ท่านลุง ข้าพบบุตรสาวของท่านจริง ๆ ท่านมิอยากได้บุตรสาวหรอกหรือ ? บัดนี้นางกลับมาและได้พำนักอยู่ที่จวนข้า ประเดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด แล้วท่านจะเข้าใจเอง”
สวี่หวยซู่ได้สติคืนมาจากความมึนงง พลางคิดขึ้นมาได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนมิเคยกระทำเรื่องมิเป็นเรื่องมาก่อน การที่อีกฝ่ายเดินทางมาเองและกล่าวเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ออกมา คาดว่าจะต้องมีจุดประสงค์แฝงอยู่เป็นแน่
ดังนั้น ชายสูงวัยจึงมองซ้ายแลขวาแล้วกระซิบเสียงเบาว่า “เจ้ากำลังคิดทำสิ่งใดอยู่กันแน่ ? ”
“ความลับมิอาจแพร่งพรายออกไปได้ พวกเราเข้าไปคุยในห้องอักษรของท่านจะดีกว่า”
“เจ้าปล่อยแขนข้าก่อน ! ”
“อ่า… อืม”
สวี่หวยซู่สะบัดแขนออก เจ้านี่แรงเยอะใช่ย่อย บีบแขนข้าจนเจ็บไปหมด
เขาพาฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาในห้องอักษร ต้มชามาหนึ่งกาแล้วจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจังขึ้นมาว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วมองไปยังอีกฝ่าย เขาเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังมิแพ้กันว่า “ปีไท่เหอที่สี่สิบสี่ ท่านป้าได้พาลูกพี่ลูกน้องวัยสามขวบของข้ากลับบ้านเกิดนางที่เหอตงเต้า เมื่อเดินทางไปถึงเมืองเฉิงอันจึงได้พบกับกองโจร ผู้คุ้มกันพยายามต่อสู้กับฝูงโจร ทว่าสุดท้าย ผู้คุ้มกันเหล่านั้นก็มิอาจต้านทานได้ พวกมันจึงชิงตัวลูกพี่ลูกน้องของข้าไป”
สวี่หวยซู่ขมวดคิ้ว “โป้ปด ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเผยอริมฝีปากขึ้น “อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ฟังข้าก่อน”
“ดังนั้น ท่านลุงจึงสูญเสียบุตรสาวไป นางมีนามว่าสวี่ซินเหยียน นางเติบโตด้วยการฝึกตนจนมีความสามารถที่หลากหลาย พอรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงจึงได้เดินทางมายังเมืองจินหลิงเพื่อตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของตนเอง”
“อาจจะเพราะคิดถึงบ้านเกิด สวี่ซินเหยียนจึงมิได้เดินทางมายังจวนสวี่โดยทันที แต่ทว่าเมื่อคืน นางไปยังหงซิ่วจาวซึ่งบังเอิญว่าข้าอยู่ที่นั่นด้วย”
สวี่หวยซู่เบิกตาโต เมื่อคืน หงซิ่วจาว ?
เมื่อคืน เจ้าเด็กนี่ถูกลอบโจมตีที่หงซิ่วจาว สาเหตุนี้ทำให้ฝ่าบาทเปี่ยมโทสะขึ้นมา และได้บัญชาการให้ทหารตะวันตกบุกโจมตีซีหรงเพื่อฆ่าผู้ร้ายเหล่านั้นเสีย ส่วนฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมายังจวนสวี่ด้วยตนเอง ทั้งยังตั้งใจแต่งเรื่องที่คล้ายความจริงนี้ขึ้นมา สตรีนามว่าสวี่ซินเหยียนเป็นผู้ใกันแน่ ? ”
อืม…สวี่หวยซู่เข้าใจในทันที !
ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ดูเจ้าเล่ห์ยิ่ง คาดว่าคงจะแอบไปพบกับแม่นางสวี่ซินเหยียนแต่คาดมิถึงว่าจะมีคนลอบทำร้าย แม้ว่าจะรักษาชีวิตของนางเอาไว้ได้ แต่เขาก็คงจะกลัวว่าตัวตนของสวี่ซินเหยียนจะถูกเปิดเผยออกมา
ภูมิหลังของภรรยาทั้งสามของอีกฝ่ายช่างแข็งแกร่งยิ่ง แน่นอนว่าเขาย่อมมิกล้านำสตรีนางนั้นเข้าจวนเป็นแน่ ดังนั้น… การที่เขามาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ก็เพื่อต้องการให้ตนรับสวี่ซินเหยียนเป็นบุตรสาว ในภายภาคหน้าเขาจะได้มาพบนางที่จวนสวี่ได้อย่างเปิดเผย
หากมองจากภายนอก ฟู่เสี่ยวกวนดูสงบเสงี่ยม แต่คาดมิถึงว่าภายในจะร้ายใช่ย่อย !
แต่สวี่หวยซู่ก็เข้าใจได้ในทันใด บุรุษล้วนมักมากในกาม การที่เจ้าหมอนี่เลี้ยงอนุเอาไว้ด้านนอกก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นเขาจึงยิ้มแห้งแล้วกล่าวว่า “เจ้าจะแอบกินเล็กกินน้อยบ้างก็มิผิด แต่ควรจะเช็ดล้างให้สะอาด หากประสงค์จะให้ข้าช่วยปกปิดความลับก็ใช่ว่าจะมิได้ เพียงแต่ข้ามีข้อแลกเปลี่ยน”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ท่านลุงช่างสมองกลวงเสียจริง พาลคิดไปถึงเรื่องพรรค์นั้นได้เยี่ยงไร ข้ายังมิได้แม้แต่ชิม ก็ถูกมองเป็นคนแบบนั้นไปแล้วหรือ ?
ในเมื่อสวี่หวยซู่คิดไปเช่นนั้นก็มิจำเป็นต้องแต่งเรื่องของสวี่ซินเหยียนอีกต่อไป เขาจึงได้หัวเราะเหอะแล้วกล่าวว่า “ท่านลุงช่างฉลาดเสียจริง บอกมาเถิดว่ามีข้อแลกเปลี่ยนอันใด ? ”
“จวนสวี่มีเงินมิมาก หากเจ้าต้องการให้ข้าเลี้ยงดูนาง ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เจ้าต้องรับผิดชอบเอง”
มิใช่เรื่องยาก ฟู่เสี่ยวกวนตอบตกลงในทันที “ทว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องขอร้องให้ท่านลุงช่วยจัดการ”
เมื่อสวี่หวยซู่ได้ยินดังนั้นก็นึกประหลาดใจขึ้นมา หรือเจ้าหมอนี่ทำนางตั้งครรภ์กัน ? สวี่ซินเหยียนจะให้กำเนิดบุตรที่จวนของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?
“เนื่องจากนางไร้ทะเบียนบ้าน ส่วนท่านก็เป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ การแจ้งย้ายคนเข้าทะเบียนบ้านคงมิยากเกินไปใช่หรือไม่ ? ”
“นางอายุเท่าใด ? ”
“บุตรสาวของท่าน ท่านว่าเท่าใดก็เท่านั้น”
“…” เจ้านี่สนิทกับหนิงหยู่ชุนกว่าผู้ใด ยังต้องให้ข้าช่วยจัดการอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่ามิต้องการให้ผู้อื่นรับรู้ ใบหน้าเหี่ยวย่นของสวี่หวยซู่ฉายยิ้มเวทนาขึ้นมา “เช่นนั้นก็ให้อายุสิบเจ็ดเท่ากันกับเจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าถงเหยียนอายุเท่าใด แต่นี่มิใช่เรื่องสำคัญ เพียงจัดการได้ลงตัวก็พอ ในใจของเขารู้สึกยินดียิ่งจึงได้หยิบตั๋วแลกเงินจำนวน 500 ตำลึงออกมาสองใบแล้ววางไว้บนโต๊ะน้ำชา
“นี่คือค่าใช้จ่ายของนาง หากใช้หมดแล้วก็บอกข้า”
สวี่หวยซู่รับไว้ด้วยท่าทางยินดี ในที่สุดหลานชายก็เดินทางมายังจวนสวี่เองจนได้ จะด้วยเหตุผลกลใดก็นับว่ามาแล้ว ซ้ำยังเรียกตนว่าท่านลุง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องเงินทองนั้นด้านภรรยาของตนค่อนข้างเคร่งครัด แต่ทว่าร้านกั๋วเซ่อเทียนเซียงที่เพิ่งเปิดใหม่ล้วนเต็มไปด้วยสตรีที่รูปร่างหน้าตาชวนให้หลงใหล
โดยเฉพาะแม่นางยิงฮวา ได้ยินมาว่านางเดินทางมาจากแคว้นหลิว อย่าว่าแต่เรื่องบรรเลงดนตรี วาดภาพหรือชงชาเลย เพียงแค่แววตาที่แสนอ่อนโยนของนางก็มากพอที่จะทำให้บุรุษทั้งจินหลิงหอบเงินทองมาที่ร้านเป็นจำนวนมากแล้ว
น่าเสียดายที่แม่นางยิงฮวาขายเพียงความสามารถ แม้จะเดินทางมายังกั๋วเซ่อเทียนเซียงร่วมครึ่งเดือนแล้ว จนบัดนี้ก็ยังมิมีผู้ใดได้เหยียบเข้าห้องของนาง
คืนนี้ข้าควรจะไปเยือนกั๋วเซ่อเทียนเซียงเสียหน่อยดีหรือไม่ ?
สวี่หวยซู่ยิ้มกริ่มขึ้นมาในใจแต่มิได้แสดงออกมา กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาว่า “ในเมื่อเจ้าเดินทางมาแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปพบกับท่านตา”
……
จวนสวี่ช่างเงียบเหงาเสียจริง
เป็นถึงจวนของเสนาบดีกรมพิธีการ ทว่ามิมีแม้แต่บ่าวรับใช้ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
สวี่หวยซู่เดินนำฟู่เสี่ยวกวนไปยังเรือนด้านข้างซึ่งเยือกเย็นกว่าเมื่อครู่มากยิ่งนัก หิมะที่อยู่กลางลานมิได้ถูกปัดกวาดแต่อย่างใด บัดนี้ได้ถูกแสงสุริยาแผดเผาจนค่อย ๆ ละลาย มองดูแล้วให้ความรู้สึกคล้ายดินโคลน
ฟู่เสี่ยวกวนขยับปลายจมูกฟุดฟิด คล้ายกับได้กลิ่นธูปหอมลอยมาตามลม จากนั้นจึงได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องพระจึงได้พบกับชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่กลางห้อง อีกฝ่ายกำลังเคาะบักฮือ1 ส่วนปากก็ได้พึมพำบางสิ่งออกมา
สวี่หวยซู่เดินเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของชายชราผู้นั้น โค้งคำนับแล้วกล่าวเบา ๆ ว่า “ท่านพ่อ ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาเยี่ยมท่าน”
เสียงเคาะบักฮือพลันเงียบลง ชายชราเงยหน้าขึ้นมามอง หลังจากเงียบไปสามอึดใจ ก็ได้หันศีรษะมามองช้า ๆ
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็โค้งคำนับเช่นกัน “สวัสดีขอรับท่านตา ! ”
ชายชราจ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดาได้อยู่เนิ่นนาน ก่อนจะชี้ไปยังเบาะหวายที่อยู่ด้านข้างแล้วกล่าวออกมาอย่างกระชับว่า “นั่ง ! ”
1 บักฮือ คือ อุปกรณ์ในการสวดมนต์ ทำขึ้นมาจากไม้ แกะสลักลายคล้ายกับรูปปลา
คอมเม้นต์