Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 156 ซุกปัญหาไว้ใต้พรม

อ่านนิยายจีนเรื่อง Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 ตอนที่ 156 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

 

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 Special District 9 ตอนที่ 156 ซุกปัญหาไว้ใต้พรม

 

จุดเริ่มต้นที่ทําให้ฉินอวี่สนใจคดีคนหายเกิดมาจากความสัมพันธ์ของหวู่เหย้ากับหยวนเค่อ ซึ่งเป็นไปได้สูงที่ทั้งสองคนจะทําธุรกิจร่วมกัน เขาจึงอยากทําคดีนี้เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการจัดการหยวนเค่อได้

 

ฉินอวี่รู้ดีว่าหนทางปรองดองกับอีกฝ่ายหมดลงแล้วตั้งแต่หยวนหัว สิงจื่อห่าว และเฒ่าหม่าตาย เพราะเหตุนี้การชิงลงมือจัดการก่อนศัตรูจะมาถึงตัวคงดีที่สุด

 

แต่ถึงอย่างนั้นหลังได้พูดคุยกับญาติของเหยื่อ ความคิดเขาก็เปลี่ยนไป

 

ครอบครัวของเหยื่อมีทั้งหมดห้าคนคือ ตา ยาย พ่อ แม่ กับหลานชายที่อายุยังไม่ถึงสามขวบ โดยมีชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ทํางานในสถานบันเทิงแบมบี้เป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัว ซึ่งลําพังรายได้แต่ละเดือนแทบไม่พอยาไส้ ชายชรามีหน้าที่ดูแลบ้านและอาหารการกินให้ครอบครัว เขารักหลานชายตัวน้อยของตนมาก ทุกครั้งที่ได้ออกไปนอกบ้านก็มักจะหาขนมติดไม้ติดมือมาฝากหลานเสมอ ก่อนเกิดเรื่องทุกคนต่างใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขแม้จะขัดสนเงินทองก็ตาม

 

กระทั่งชายหนุ่มและหญิงสาวผู้เป็นที่พึ่งพิงเดียวจากไปครอบครัวนี้จึงแทบใจสลาย

 

เด็กน้อยร้องหาอาหารอย่างหิวโหยส่วนหญิงชราก็ป่วยติดเตียง คนเดียวที่พอจะดูแลทั้งคู่ได้เหลือเพียงชายชรา แม้จะยังเศร้าโศกทว่าขณะเดียวกันก็พยายามผลักดันคดีอย่างไม่ลดละเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้เป็นลูกชาย

 

แต่อีกนานแค่ไหนกว่าเรื่องจะจบ?

 

อาจจะครึ่งปี ไม่ต้องปิดคดีให้ได้ภายในสามเดือน ครอบครัวนี้ไม่มีเสาหลักหารายได้ให้ครอบครัวแล้ว ลําพังชายแก่ๆ ที่ไม่มีงานทําจะเลี้ยงดูภรรยาที่ปวยกับหลานชายไปได้อีกนานแค่ไหนกัน

 

ฉินอวี่กับคนอื่นๆ ลุกขึ้นยืนพลางหันมองชายชราผู้สิ้นหวัง หญิงชราที่นอนติดเตียงรวมไปถึงหลานตัวน้อย เรื่องราวที่ได้ฟังทําให้ทุกคนฮึกเหิม ความรู้สึกขุ่นแค้นเริ่มปะทุ

 

หากไม่ได้สวมเครื่องแบบนี้มันก็อีกเรื่อง แต่ในเมื่อสวมมันแล้วก็ต้องทําให้เต็มที่ ให้สมกับความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับมัน

 

ฉินอวี่ยืนครุ่นคิดนอกห้องนอนอยู่นานก่อนเดินไปถามพวกจู้เหว่ย “ใครพอมีเงินติดตัวบ้าง? เรามาลงขันเป็นค่าข้าวให้เด็กกันเถอะ”

 

แม้ทุกคนจะไม่ร่ำรวยหรือเป็นคนใจดี แต่อย่างน้อยพวกเขาก็รู้จักเห็นใจผู้อื่น เมื่อได้รับการชักชวนแต่ละคนจึงควักเงินราวสามสิบดอลลาร์มาวางไว้บนโต๊ะกระทั่งรวมกันได้ร้อยกว่า

 

“ตอนนี้ผมให้ได้แค่นี้นะลุง” ฉินอวี่ยิ้มให้ชายชรา “ถ้าเป็นครึ่งเดือนก่อนผมคงช่วยลุงได้เยอะกว่านี้ ตอนนี้ผมค่อนข้างลําบากเหมือนกัน มันอาจเป็นเงินไม่มากแต่คงพอช่วยเจ้าหนูให้อิ่มได้หลายมือ”

 

ชายชราจ้องมองฉินอวี่ด้วยความตกตะลึง

 

“รับไว้เถอะ ส่วนเรื่องคดีผมจะจัดการเอง ไว้มีความคืบหน้ายังไงผมจะบอกนะ”

 

“ขอบคุณมากครับ…” ชายชราก้มหัวขอบคุณกลุ่มคนตรงหน้าอย่างดีอกดีใจ

 

สิบนาทีต่อมา

 

ฉินอวี่และพรรคพวกนั่งรถกลับไปยังสํานักงานตํารวจเพื่อปรึกษาเรื่องคดีความ

 

“เราจะไม่สืบสวนคดีนี้อย่างเปิดเผย” ฉินอวี่พูดขึ้นขณะสูบบุหรี่ไฟฟ้า “หวู่เหย้าเป็นคนมีอิทธิพล ขึ้นปล่อยให้เรื่องหลุดไปคงเป็นปัญหาใหญ่”

 

“ใช่ เราจะทําเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้” จู้เหว่ยพยักหน้าเห็นด้วย

 

“เราจะเริ่มจากพนักงานในสถานบันเทิงแบมบี้” ฉินอวี่ครุ่นคิดก่อนออกคําสั่ง “คุณลุงบอกกว่าคนพวกนั้นน่าจะรู้เห็นเรื่องนี้”

 

“โอเค คืนนี้ผมจะลองหาทางติดต่อพวกเขาดู ถ้าได้ข้อมูลเพิ่มเติมจะโทรแจ้งนะครับ”

 

“เอางั้นก็ได้” ฉินอวี่พยักหน้า

 

เวลาสองทุ่ม

 

จู้เหว่ยนัดเจอผู้จัดการสถานบันเทิงแบมบี้ผ่านทางเพื่อนและแจ้งข่าวให้ฉินอวี่รู้

 

ในรถ ผู้จัดการจับมือทักทายหู้เหว่ยกับฉินอวอย่างนอบน้อม “ยินดีที่รู้จักนะครับ”

 

“เช่นกันครับ”

 

หลังกล่าวทักทาย ผู้จัดการจึงถามด้วยความสงสัย “นัดเจอผมแบบนี้ต้องการให้ช่วยอะไรหรือเปล่าครับ?”

 

“พวกเรากําลังสืบคดีอยู่ครับ ที่เรียกคุณมาก็เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม” จี้เหว่ยตอบ

 

ผู้จัดการชะงักไปครู่หนึ่งก่อนรีบตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ได้เลยครับ! ไม่มีอะไรดีไปกว่าได้ช่วยพวกคุณรักษาความยุติธรรมแล้ว อยากทราบอะไรถามได้เลยครับ ผมจะให้ความร่วมมือเต็มที่!”

 

“พอดีผมไม่ได้เอาแล็ปท็อปมาด้วย ขออนุญาตบันทึกเสียงแทนได้ไหมครับ?” จู้เหว่ยถาม

 

“ไม่มีปัญหาครับ!”

 

จู้เหว่ยหยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมาพร้อมพยักหน้าให้ฉินอวี่

 

“ผมจะเริ่มแล้วนะครับ”

 

“พร้อมเสมอครับ!”

 

“ในสถานบันเทิงแบมบี้มีพนักงานชื่อต๋งกุ้ยเซิงหรือเปล่าครับ? เขามีภรรยาชื่อเวิ่งเหม่ย เท่าที่ผมรู้ทั้งสองทํางานอยู่ที่นี่” ฉินอวี่เปิดประเด็น

 

ผู้จัดการตกตะลึง

 

เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปฉินอวี่จึงถามซ้ำ “รู้จักหรือเปล่าครับ?”

 

ผู้จัดการมองหน้าจู่เหว่ยด้วยสีหน้าประหม่าก่อนตอบอย่างตะกุกตะกัก “เอ่อ…คุณเจ้าหน้าที่ ผมขอถามได้หรือเปล่าว่าพวกคุณสืบคดีอะไรกันอยู่?”

 

“ทั้งสองคนหายตัวไป” ฉินอวี่ตอบอยากกํากวม “มีคนมาร้องเรียนคดีนี้อยู่ทุกวันจนเราไม่เป็นอันทํางาน ทางเบื้องบนทนไม่ไหวจึงส่งพวกผมมาสืบ”

 

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่ว่าผมไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ ผมคงช่วยพวกคุณไม่ได้…” ผู้จัดการตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ลองไปถามคนอื่นแทนไหมครับ?”

 

“คุณเป็นผู้จัดการของสถานบันเทิงแห่งนี้ แน่ใจเหรอครับว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย?”

 

“ครับ..ผมไม่รู้จริงๆ”

 

“ถ้างั้นคุณรู้จักต๋งกุ้ยเซิงกับภรรยาเขาเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า?”

แฟนเพจ : novelza

“คะ…ครับ ก็พอสนิทสนมอยู่บ้าง” ผู้จัดการลังเลครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าตอบ “แต่หลังทั้งสองหายตัวไปผมก็ไม่รู้อะไรอีกเลย”

 

ฉินอวี่สังเกตท่าที่ของผู้จัดการก่อน เอื้อมมือไปปิดเครื่องบันทึกเสียงและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้มีแค่เราสามคนแล้ว จะไม่มีใครรู้ว่าคุณเป็นคนบอก”

 

ผู้จัดการยังคงมีท่าที่ลังเล แต่สุดท้ายก็เลือกส่ายศีรษะและตอบปฏิเสธ “ผมไม่รู้อะไรจริงๆ ครับคุณตํารวจ”

 

“พูดเถอะครับ พวกผมจะรับรองความปลอดภัยให้คุณเอง” ฉินอวี่เริ่มขมวดคิ้ว “อย่างที่ผมบอก ที่นี่มีแค่เราสามคน ผมจะไม่บันทึกเสียง เพราะงั้นวางใจและบอกสิ่งที่คุณรู้มาเถอะ”

 

ผู้จัดการกลอกตาไปมาอย่างพิจารณาก่อนชี้ไปที่เครื่องบันทึกเสียงและถามเพื่อยืนยันว่า “มันปิดแล้วจริงๆ ใช่ไหมครับ?”

 

ฉินอวี่ยื่นเครื่องบันทึกเสียงให้อีฝ่าย “คุณเอาไปดูได้เลย”

 

“เฮ้อ!” ผู้จัดการถอนหายใจอย่างเหลืออด “พวกคุณนี่มันคนดีจริงๆ เลย ในฐานะคนหาเช้ากินค่ำเหมือนกันผม จะบอกอะไรให้นะ เลิกทําคดีนี้เถอะครับ”

 

“แสดงว่าคุณรู้เรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ สินะ”

 

“อย่าถามอะไรไปมากกว่านี้เลย ผมจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก” ผู้จัดการตอบอย่างจริงจัง “ผมก็เป็นแค่พนักงานตัวจ้อยคนหนึ่ง แค่ใช้ชีวิตให้รอดไปวันๆ ก็ยากแล้ว ผมไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวมากกว่านี้”

 

“ถ้าผมจ่ายเงินให้คุณจะยอมบอกหรือเปล่า?” ฉินอวี่ยังไม่ล้มเลิกความพยายาม

 

“ต่อให้เงินแสนมากองตรงหน้าผมก็ไม่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับเรื่องนี้หรอก” ผู้จัดการตอบอย่างหนักแน่น

 

ทั้งฉินอวี่และจู้เหว่ยพูดไม่ออก

 

หลังทุกคนเงียบไปผู้จัดการจึงเอื้อมมือเตรียมเปิดประตูรถ “ผมยังมีงานให้ทําอีกมาก เพราะงั้นขอตัวก่อนนะนครับคุณตํารวจ ไว้วันหน้าถ้าคุณมาพักผ่อนที่แบมบี้ก็เรียกหาผมได้นะครับ ผมจะให้การต้อนรับอย่างดี”

 

จี้เหว่ยมองหน้าผู้จัดการครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก “รู้หรือเปล่าว่าทําไมหวู่เหย้าถึงกล้าทําตัวเลวๆ แบบนี้? เพราะมีคนแบบพวกคุณนี่แหละที่ให้ท้ายพวกมัน มันรู้อยู่แล้วว่าต่อให้ทําชั่วยังไงก็ไม่มีใครกล้าเอาผิด…มันถึงได้กร่างแบบนี้ไง ผมไม่ได้บอกให้คุณมาเป็นพยานหรือผู้เกี่ยวข้องในคดี แต่อย่างน้อยช่วยให้ข้อมูลสักนิดได้รึเปล่า?”

 

ผู้จัดการชะงักนิ่ง

 

“ลูกชายต๋งกุ้ยเซิงเพิ่งอายุสองขวบกว่า แม่ป่วยกระเสาะกระแสะ แถมพ่อยังไม่มีงานไม่มีเงินมาคอยเลี้ยงดูครอบครัวอีก” จู้เหว่ยพูดเสียงสั่น “ถ้าเราไม่ทําอะไรสักอย่างกับคดีนี้ พวกเขาก็จะไม่ได้รับเงินชดเชยใดๆ ขึ้นเป็นแบบนั้นคนที่ตายจะไม่ใช่แค่ต๋งกุ้ยเซิงหรือเวิงเหม่ย อีกสามชีวิตก็ต้องอดตายด้วย”

 

ผู้จัดการกําหมัดลังเลครู่หนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็ยังยืนยันคําเดิม “ต่อให้คุณชักแม่น้ำเป็นสิบมาพูดผมก็ไม่อยากยุ่งกับคดีนี้ แต่ถ้าพวกคุณอยากสืบสวนต่อละก็…ไปถามปินปินที่ทํางานในร้านเอาแล้วกัน เธอเป็นเพื่อนกับสองคนนั้น คงพอรู้อะไรบ้างแหละ”

 

ผู้จัดการลงจากรถไปทันทีหลังให้เบาะแส

 

เวลาตีหนึ่ง

 

ปินปินนั่งอยู่ที่ร้านอาหารข้างทางหลังออกกะ เธอมองหน้าฉินอวี่สลับกับมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง “ลุงต๋งก็มาหาฉันหลายครั้งเหมือนกัน แต่ฉันไม่กล้าพูด…”

 

“ถ้าไม่มีใครกล้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้ ทางเราก็สืบต่อไม่ได้นะครับ” ฉินอวี่ถอนหายใจอย่างเคร่งเครียด “แถมเพื่อนสมัยเด็กของคุณกับภรรยาเขาต้องมาตายฟรีอีก”

 

ปืนปืนดื่มน้ำสลับกับมองหน้าฉินอวี่ เหงื่อเม็ดใสผุดขึ้นเต็มหน้าผาก “คะ…คุณรับประกันความปลอดภัยให้ฉันได้จริงๆ ใช่ไหม?”

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด