ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 5 ทดสอบสายเลือด
บทที่ 5 ทดสอบสายเลือด
เมื่อกัปตันฉีและคนอื่นๆกลับถึงอาณานิคมอย่างปลอดภัยก็ได้รับคำเยินยอจากผู้การหลิงฮั่นแห่งอาณานิคมแห่งนี้
นั่นก็เพราะการเข้าไปเก็บสมุนไพรในครั้งนี้ ไม่เพียงจะได้รับสมุนไพรได้ตามที่ต้องการแล้ว พวกเขายังสามารถเก็บเกี่ยวผลกลิ่นม่วงได้ถึงหกผล
และด้วยสิ่งนี้จะทำให้อาณานิคมแห่งนี้มีโอกาสที่จะปรากฏทหารที่มีสายเลือดนักรบระดับนายพลวิญญาณได้ถึงหกคน
อย่างไรก็ตาม กัปตันฉีและนักรบสายเลือดทหารคนอื่นๆไม่ได้ยินดีแต่อย่างใด พวกเขานั้นยังรู้สึกหดหู่ไปกับการเสียสละของเฉินเฉียง สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาจดจำการเสียสละของเฉินเฉียงได้ดียิ่งกว่าความสำเร็จของพวกเขาเป็นไหนๆ ถึงแม้ว่าคนอื่นๆจะไม่ได้ใส่ใจกับการเสียสละของเฉินเฉียงเลยก็ตาม
เมื่อเหล่าทีมเก็บกู้ซากศพพบว่าเฉินเฉียงไม่ได้กลับมาด้วย ผู้อาวุโสซุน เจ้าอ้วนและเด็กๆคนอื่นๆ ต่างก็พากันไปหยิบเครื่องมือของตนออกมา
เบื้องหน้าหลุมหลุมหนึ่งที่มีความกว้างประมาณหนึ่งเมตรและยาวประมาณหนึ่งเมตร ผู้อาวุโสซุนได้เขวี้ยงหมอนที่เฉินเฉียงเคยใช้ก่อนหน้านี้ลงไป พร้อมน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาบนใบหน้า
“ไอ้เด็กเวรตัวเหม็น เจ้าติดตามข้าเก็บศพมาถึงสองปี จนแล้วจนรอด ไม่นึกว่ายามที่เจ้าต้องจบชีวิต ตาแก่คนนี้ทำไม่ได้แม้แต่การนำศพของเจ้ากลับมาฝัง”
เจ้าอ้วนและเพื่อนๆของเฉินเฉียงได้โปรยกระดาษเงินขึ้นฟ้า
“เฉินเฉียง ตอนที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าไม่เคยได้กินอะไรดีๆเลย ตอนนี้เจ้าตายแล้วก็เอาเงินพวกนี้ไปซื้อเนื้อสัตว์ประหลาดดีๆ อย่าได้ตระหนี่เป็นอันขาดล่ะ”
เจ้าอ้วนพูดพลางร้องไห้ออกมาในขณะที่โปรยเงินกระดาษขึ้นฟ้าและพูดออกมาว่า “พี่เฉียง ต่อให้พวกเราไม่ได้ศพเจ้ากลับมา ก็ขอให้วิญญาณของเจ้าหาทางกลับมาที่นี่ให้ได้นะ”
เมื่อพูดจบ เจ้าอ้วนได้หันหลังอย่างสลด ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้เห็นสัตว์ตัวใหญ่ยักษ์ที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาอย่างช้าๆอยู่ไกลๆริบสายตา
“ปู่ซุน นั่น…นะนะนั่น ปู่ว่านั่นมันอะไรน่ะ”
เจ้าอ้วนพูดออกมาอย่างปากสั่นจนได้ยินเสียงฟันกระทบ เขาได้ชี้ไปยังร่างของสัตว์ยักษ์ที่ปรากฏให้เห็นอยู่แต่ไกลด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น
ผู้อาวุโสซุนนั้นได้มองไปตามทิศทางที่เจ้าอ้วนชี้ไป และนั่นทำให้เขาต้องตกใจขึ้นมาในทันที
“ฉิบหายแล้ว กระต่ายสายฟ้า”
ด้วยความรอบรู้ของผู้อาวุโสซุนนั้นแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าร่างยักษ์นั้นคือตัวอะไรกันแน่
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้พวกเขายังไม่เห็นเฉินเฉียง เพราะว่าตัวของเขานั้นโดนซากร่างของกระต่ายสายฟ้าบดบังไว้จนมิด
“พวกเราจะทำยังไงดีครับปู่ซุน”
เหล่าเด็กๆที่เห็นก็แอบไปอยู่หลังผู้อาวุโสซุนพร้อมใบหน้าที่ถอดสี
“อย่าตื่นตระหนก”
ผู้อาวุโสซุนได้หยิบขลุ่ยผิวขึ้นมาแล้ววางไว้ที่ปากของตน
“วี้ดดดดดดดดดดดดด”
เสียงเรียวแหลมเล็กที่ดังขึ้นได้ทำให้ผู้คนในอาณานิคมต้องตื่นตระหนกในทันที
ขลุ่ยผิวนี้เป็นอุปกรณ์ที่มีไว้สำหรับการแจ้งเตือนในกรณีมีเหตุฉุกเฉิน และมันมีไว้กรณีเดียวคือเหตุวิกฤตชนิดที่ว่าทำให้อาณานิคมล่มได้เท่านั้น
ในทันทีที่เสียงขลุ่ยผิวนี้ดังขึ้นมา เหล่าทหารที่มีสายเลือดนักรบและคนอื่นๆที่ในตอนนี้กำลังทำการเลี้ยงฉลองกันในอาณานิคมได้รีบออกไปตามต้นเสียงในทันที
ในขณะเดียวกัน เฉินเฉียง ที่ในตอนนี้พึ่งจะสังเกตเห็นว่าใกล้จะถึงอาณานิคมแล้ว เขาต้องตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงขลุ่ยผิวของผู้อาวุโสซุน เขารีบหยุดเท้าก่อนที่จะโยนร่างของกระต่ายสายฟ้าลงพื้นในทันที
“ปู่ซุนนนนน นั่นปู่ใช่รึเปล่า…”
“เฉินเฉียง….เหรอ…ผี”
เจ้าอ้วนนั้นมีสายตาที่ดีกว่าใคร เมื่อเขาได้เห็นว่าเป็นเฉินเฉียงจากในระยะไกล ก็รีบร้องลั่นออกมา
เมื่อผู้อาวุโสซุนได้ยินเสียงของเฉินเฉียงแล้ว ลำคอของเขาก็รู้สึกได้ราวกับว่ากำลังจะร้องไห้ออกมาแต่ก็ต้องหยุดเอาไว้เพื่อรักษาภาพลักษณ์
“ไอ้ตัวเหม็นนี่ โชคของเจ้านี่ดีจริงๆ”
“ผู้อาวุโสซุน เกิดอะไรขึ้น”
ทหารสายเลือดนักรบที่ได้ยินเสียงขลุ่ยผิวเมื่อครู่นี้ได้กรูกันมาหาผู้อาวุโสซุนในทันที เมื่อมาถึงแล้วจึงรีบถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“โอ้…ผู้การหลิง กัปตันฉี ที่ทีมสำรวจบอกว่าเฉินเฉียงจากทีมเก็บกู้ซากศพตายไปในภูเขาหมางนั่นน่าจะผิดแล้วล่ะนะ”
ผู้อาวุโสซุนพูดพลางชี้ไปยังเฉินเฉียงที่ในตอนนี้กำลังเดินตรงมายังที่ที่ทุกคนอยู่พร้อมใบหน้าที่แสดงออกถึงความตื่นเต้นยินดีอย่างมาก
“โอ้”
ผู้การหลิงเองที่เห็นกับตาก็ยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นจนต้องอุทานออกมา
กัปตันฉีได้รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในหุบเขาหมางให้เขารับรู้เรียบร้อยแล้ว
เจ้าเด็กนี่ที่น่าจะมีเพียงสายเลือดขยะ กับเผชิญหน้ากับกระต่ายสายฟ้าระดับกลางที่แม้แต่พวกสายเลือดทหารระดับกลางยังไม่มีโอกาสชนะมาได้….นี่มันเรื่องอะไรกัน
แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาแล้ว เขาเองก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่านี่ดูเหมือนจะเป็นเพราะปาฏิหาริย์ไม่ได้
ที่สำคัญที่สุดคือเจ้าหนุ่มที่ชื่อเฉินเฉียงคนนี้ยังนำของขวัญที่น่าตื่นตาติดไม้ติดมือกลับมาด้วย
“ท่านผู้การ มันคือกระต่ายสายฟ้า เท่าที่ตรวจสอบดูน่าจะตายแล้ว”
นี่คือเสียงของทหารสายเลือดนักรบสองคนที่รีบเข้าไปตรวจสอบกระต่ายสายฟ้าในทันทีที่เห็น มาตรวจสอบจนมั่นใจจึงรีบกลับมารายงาน
“เจ้า…เฉินเฉียงสินะ เจ้าฆ่ากระต่ายตัวนี้ได้ยังไง”
ผู้การหลิงจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม และถามออกมาอย่างสนใจ
“เอ่ออผู้การ ไม่สิ ท่านผู้การ ตอนที่ข้าถูกกระต่ายตัวนี้ไล่ไปนั้น มันได้พลาดท่ากระโดดลงไปกระแทกหินตายที่ก้นเหวขอรับ”
“เจ้านี่ช่างมีโชคดีจริงๆ”
ผู้การหลิงหัวเราะออกมาอย่างดังในทันทีที่ได้ยิน อย่างไรก็ตาม จากที่เขาประเมินดูด้วยสายตานั้น กระต่ายตัวนี้มีน้ำหนักไม่น้อยกว่าสองตัน ต่อให้เป็นคนที่มีสายเลือดทหารระดับต้นก็ยังไม่อาจแบกมันกลับมาได้โดยง่าย
หรือว่าเฉินเฉียงคือผู้ที่มีการตื่นของสายเลือดขึ้นมาแล้ว
แต่ไม่มีใครคิดว่าเรื่องนี้จะออกมาเหนือกว่าที่ทุกคนได้คาดคิดเอาไว้
“เยี่ยม อาณานิคมภูเขาหมางของพวกเรานั้นจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมแล้ว”
“ไม่คิดเลยว่าเด็กจากทีมเก็บกู้ซากศพจะสามารถปลุกสายเลือดขึ้นมาได้”
“การที่สายเลือดถูกปลุกขึ้นมาในตอนนี้ข้าล่ะอยากจะรู้จริงๆว่าค่ากายภาพของเด็กนี่จะออกมาเป็นยังไง”
เหตุผลที่ทุกคนคิดกันอย่างนี้นั้นเป็นเพราะว่าการตื่นของสายเลือดแต่ละสายเลือดนั้นแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่แล้ว การตื่นของสายเลือดของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นจะอยู่ที่ช่วงอายุประมาณสิบปี และส่วนใหญ่แล้ว สายเลือดที่ตื่นขึ้นมานั้นเป็นสายเลือดนักรบ
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใชว่าจะแน่นอนเสมอไป
ถึงแม้จะบอกว่านี่เป็นเรื่องของเวลา แต่ก็แทบจะไม่มีใครเลยในเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่จะมีการตื่นของสายเลือดตอนช่วงอายุป่านนี้ ในช่วงอายุ 16 ปีแบบนี้
“เฉินเฉียง เจ้าเป็นผู้ที่มีการตื่นของสายเลือดแล้วรึ”
ผู้อาวุโสซุนนั้นหันไปถามเฉินเฉียงด้วยเสียงอันดังลั่นเพราะความตื่นเต้น
ถ้าจะมีคนคาดหวังให้เฉินเฉียงนั้นเติบโตกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้นั้นก็คงจะหนีไม่พ้นคนคนเดียวนั่นก็คือผู้อาวุโสซุนคนนี้
กัปตันฉีเองที่รีบมาพร้อมกับผู้การหลิงนั้นก็ได้ตบหน้าผากของตนอย่างดังลั่น และพูดออกมาว่า “จริงด้วย นึกออกแล้ว ผู้การ ตอนที่เฉินเฉียงกำลังล่อกระต่ายสายฟ้าไปนั้นเขาวิ่งได้เร็วแบบสุดๆชนิดที่แม้แต่ทหารสายเลือดนักรบเองก็ยังเร็วได้ไม่เท่า”
พอมาคิดในตอนนี้แล้ว ถ้าสายเลือดของเฉินเฉียงยังไม่ตื่นขึ้นล่ะก็ ไม่มีทางเลยทีเขาจะวิ่งได้เร็วขนาดนั้น
“เป็นไปได้ว่าเฉินเฉียง ไม่เพียงจะปลุกสายเลือดได้แล้ว แต่เขาอาจจะปลุกสายเลือดที่มีความสามารถด้านความเร็วอีกด้วย”
“หึหึหึ ผู้อาวุโสซุน กัปตันฉี พวกเราจะมาคาดการณ์มั่วซั่วกันไปทำไมล่ะ ทำไมเราไม่พาเข้าไปตรวจสอบดูจะได้รู้กันไปเลย”
“จริงด้วย รีบไปกันดีกว่า”
ท่าทางของผู้อาวุโสซุนในตอนนี้ดูกระชุ่มกระชวยราวกับได้กลายเป็นหนุ่มอีกครั้ง เขารีบดันเฉินเฉียงเข้าอาณานิคมและเดินไปด้วยกัน
“ปู่ซุน ข้าว่าเราตัดแบ่งเนื้อกระต่ายสายฟ้านั่นก่อนไม่ดีกว่าเหรอ เนื้อของมันนั้นหอมมากเลยนะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปตัดเนื้อนั่นไว้ให้พวกเจ้าสักสิบสองกิโลกรัมก็แล้วกัน เจ้าและผู้อาวุโสซุนจะได้มีเนื้อดีๆไว้กินกัน”
ผู้การหลิงพูดออกมาในขณะที่กำลังเดินนำทุกคนกลับเข้าไปในอาณานิคมด้วยความตื่นเต้น
ในโรงพยาบาลสนามของอาณานิคม ที่ซึ่งใช้เป็นสถานที่ทดสอบสายเลือดโดยเฉพาะ
เมื่อได้เห็นเฉินเฉียงมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้า หมอลีที่เป็นหมอประจำที่นี่อดที่จะนึกแปลกใจขึ้นมาไม่ได้
“….เฉินเฉียง ข้าหวังว่าเจ้าคงไม่คิดถือโทษเรื่องที่เขาหมางนะ”
หมอลีพูดออกมาด้วยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย แต่เฉินเฉียงนั้นเชื่อว่า ต่อให้ย้อนกลับไปได้ หมอลีก็ยังคิดจะทำอย่างนั้นอยู่ดี
เฉินเฉียงที่คิดได้แบบนั้นจึงได้สะบัดมือออกไปแสดงถึงความไม่ใส่ใจ “ช่างมันเถอะน่า ถ้าไม่ใช่หมอลีล่ะก็ข้าเองก็คงไม่ได้โชคดีได้กินเนื้อกระต่ายสายฟ้าเป็นแน่”
ถ้าจะบอกว่าเฉินเฉียงนั้นไม่โกรธก็คงจะเรียกได้ว่าเป็นการโกหก แต่เฉินเฉียงนั้นเลือกที่จะไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ดีกว่า ทว่าหากมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับหมอลีผู้นี้อีก ในตอนนั้นแน่นอนว่าเขาจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวอย่างแน่นอน
เพราะยังไงซะด้วยสถานการณ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในปัจจุบันนั้น หากยังต่ำต้อยอ่อนแออยู่ล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่จะสามารถเลือกที่อยู่และที่ตายของตนเองไปได้
“เยี่ยม เฉินเฉียง ด้วยลักษณะนิสัยของเจ้านี้เหมาะสมแล้วที่จะเป็นสายเลือดนักรบของเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา”
ผู้การหลิงกล่าวเยินยอ ในขณะที่รีบส่งสัญญาณให้หมอลีนำสารทดสอบออกมาโดยเร็ว
“มานี่ เฉินเฉียง หยดเลือดลงไปในหลอดทดสอบ”
เฉินเฉียงนำมีดออกมาจากเอวก่อนที่จะจิ้มเข้าไปที่ปลายนิ้วและหยดเลือดลงไปในสารทดสอบสีฟ้าที่อยู่ในขวด
หมอลีทำการเขย่าขวดเพื่อให้เลือดผสมรวมเข้ากับสารทดสอบ และผลที่ออกมาคือไม่มีสี
“…ทำไม…ล่ะ”
ผู้การหลิงขมวดคิ้วขึ้นมาในทันทีที่เห็น
คอมเม้นต์