พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – บทที่ 2
อาเรียที่ได้เจสซี่ช่วยประคองพามาทำแผลที่ห้องของตนก็รู้สึกว่าตนเองนั้นก็ดูอ่อนเยาว์ลงกว่าเดิมเช่นเดียวกัน
ในตอนที่เธออายุมากขึ้นเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายในห้องก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นสิ่งของหรูหราคุณภาพดีทั้งสิ้น กระทั่งเพชรพลอยต่างๆ ที่เธอซื้อมาก็ยังถูกวางไว้ทั่วห้องราวกับจะโอ้อวด
แต่ห้องของเธอในตอนนี้กลับดูน่ารักน่าชังเหมาะกับการเป็นเด็กน้อยของครอบครัวที่สูงศักดิ์ เป็นห้องในแบบที่เด็กวัย 10 ขวบต้นๆ น่าจะชอบและไม่ได้ฟุ่มเฟือยจนเกินความจำเป็น แต่ของที่ใช้ก็ยังเป็นของคุณภาพสูงอยู่
หญิงสาวลดสายตาลงมองเจสซี่ที่กำลังพันผ้าพันแผลที่ขาให้เธอ
ถึงเจสซี่จะเป็นสาวใช้ฝั่งมิเอลแต่ก็ยังคอยห้ามปรามเธอไม่ให้แสดงพฤติกรรมต่ำทรามอยู่หลายครั้ง เธอจำได้ว่านั่นทำให้เธอไม่พอใจมากถึงขนาดจับหั่นผมของเจสซี่ เอาน้ำร้อนลวกมือขวาของหล่อนจนเป็นแผล หรือแม้กระทั่งไล่ให้หล่อนไปทำความสะอาดขี้ม้าในคอก
‘…มีเพียงเจสซี่เท่านั้นสินะ ที่หล่อนแปรพักตร์ไปอยู่ฝั่งมิเอล ก็เพราะตัวฉันเองทั้งนั้น’
เมื่อแรกเข้ามาที่ปราสาทท่านเคานต์ สาวใช้ทุกคนที่ท่านเคานต์มอบให้เธอต่างพากันเปรียบเทียบเธอกับมิเอล ทั้งยังคอยยุยงให้เธออิจฉามิเอลอีกด้วย เว้นก็แต่เจสซี่
‘เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเลดี้อาเรียทำได้ดีกว่าเยอะเลยค่ะ! เลดี้มิเอลต้องใช้เล่ห์ร้ายบางอย่างเป็นแน่เจ้าค่ะ’
อาเรียผู้ต่ำต้อยไม่มีหัวนอนปลายเท้าทั้งยังโง่เขลาเบาปัญญานั้นไม่เคยรู้เลยว่าผู้ที่ส่งสาวใช้เหล่านั้นมาให้เธอคือมิเอล มิหนำซ้ำเธอยังพ่ายแพ้ให้กับไฟริษยาและตกหลุมพรางเหล่านั้นจนต้องเผชิญกับจุดจบอันน่าเวทนาในที่สุด
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะเธอรู้แล้วว่ามันคือกับดักและเธอจะไม่กลับไปติดกับนั้นอีก กลับกันเธอจะตามหาผู้ที่เป็นคนวางกับดักนั้นแล้วจ่ายค่าตอบแทนให้อย่างสาสม
และคนผู้นั้นก็คือหนึ่งในนางมารร้ายที่สวมหน้ากากว่าตนเป็นแม่พระ
คือมิเอล โรสเซนต์ผู้เป็นน้องสาวบุญธรรมของเธอนั่นเอง
‘ฉันจะไม่มีวันอภัยให้แกเด็ดขาด’
เธอขอตั้งปณิธานกับตัวเองว่าจะไม่มีวันให้อภัยแม่นั่นเด็ดขาด แม้ว่าร่างของเธอจะต้องโดนไฟเผาจนมอดไหม้ไปก็ตาม
ความเหนื่อยอ่อนถาโถมเข้ามาเพราะการเดินทางย้อนเวลามาจากอดีต เธออยากนอนพักมันเสียเดี๋ยวนี้
แม้จะคิดว่าพรประเสริฐทุกข้อจะเลือนหายไปแล้ว แต่ความเป็นจริงก็เปรียบเสมือนฝันร้ายที่จะรอคอยอยู่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา และเธอก็ไม่อาจเอาชนะความอ่อนเพลียที่ประเดประดังเข้ามาได้
หรือหากนี่คือนิทราครั้งสุดท้าย ก็ขออย่าให้เธอได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย ขอให้มันเป็นความสุขครั้งสุดท้ายของเธอที่มีชีวิตอยู่อย่างเดียวดายในวังวนแห่งความริษยา
“เจสซี่ ฉันอยากไปนอนบนเตียง”
“ได้ค่ะ เลดี้”
เจสซี่ช่วยอาเรียเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะประคองเธอไปนอนลงบนเตียง สิ่งที่เธอแสดงออกที่ห้องอาหารเมื่อครู่นี้ช่างดูอ่อนแอจนน่าอับอาย
‘…นี่มันอะไรกัน!’
อาเรียพับผ้าห่มขึ้นแล้วสอดตัวเข้าไปด้านใน แต่แล้วปลายเท้าของเธอกลับไปต้องแตะถูกสัมผัสหยาบกระด้างบางอย่างเข้าจนต้องรีบเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ผ้าห่มอันอ่อนนุ่มของเธอมีความรู้สึกแปลกประหลาดแบบนี้ได้อย่างไรกัน
เมื่อสั่งให้เจสซี่มาตรวจดูในผ้าห่มแล้วจึงพบว่ามันมีแต่เศษเม็ดทรายเล็กๆ ถูกโปรยอยู่ทั่วไปหมด และใต้เตียงก็ยังมีเศษแก้วตกอยู่ด้วย สิ่งนั้นคือนาฬิกาทรายประหลาดที่ชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของมันมีลักษณะเป็นตัวกากบาท
เมื่อเจสซี่เห็นดังนั้นก็รีบก้มหน้ายอมรับความผิดทันที
“คือดิฉันเห็นมันอยู่บนเตียงก่อนที่เลดี้จะรับประทานอาหารจึงทำความสะอาดไปแล้ว แต่ไม่ทราบว่ามันตกลงมาแตกได้อย่างไรค่ะ…! เลดี้ ดิฉันขอประทานโทษอย่างสูงนะคะ!’
หล่อนหมอบลงกับพื้นเนื้อตัวสั่นเทา น้ำเสียงที่ร่ายความผิดของตนออกมาอย่างต่อเนื่องทั้งยังเอาแต่พร่ำขอโทษเพราะกลัวว่าจะต้องเป็นที่รองรับอารมณ์จากเธอช่างน่าสงสารยิ่งนัก
แววตาสั่นไหวของอาเรียเหลือบมองเจสซี่สักพักก่อนจะหันกลับไปมองนาฬิกาทรายอีกครั้ง อาเรียกำนาฬิกาทรายแตกนั่นไว้ในมือที่สั่นน้อยๆ ของเธอ
แม้จะเพิ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรกในชีวิตแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันมากเหลือเกิน ทั้งยังรู้สึกว่ามันช่างล้ำค่าแม้จะดูน่ากลัวมากก็ตาม
หรือบางที บางทีนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้ ลางสังหรณ์ของเธอบอกเช่นนั้น
‘ใช่แล้ว! ทั้งหมดนี้คืออภินิหารแห่งพระเจ้าไม่ผิดแน่ อภินิหารแห่งพระเจ้าเพื่อให้ฉันได้สำนึกผิดกับวันที่โง่เขลาในอดีตและเพื่อช่วยเด็กหญิงผู้น่าสงสารที่ถูกหลอกจนติดกับเหมือนคนเบาปัญญาผู้นี้!’
เพื่อให้เธอหลุดพ้นจากเงื้อมมือปีศาจที่ไล่ต้อนเธอจนตกลงไปในหลุมพราง! และให้ความทรงจำทุกอย่างยังอยู่ดังเดิมเพื่อให้เธอสามารถแก้แค้นได้!
อาเรียเผยยิ้มสดใสพร้อมกับกำเศษชิ้นส่วนของนาฬิกาทรายเอาไว้แน่น และเพราะแบบนั้นบรรดาชิ้นส่วนอันแหลมคมจึงได้ทิ้งบาดแผลนับไม่ถ้วนไว้บนฝ่ามือเล็กและบอบบางของอาเรีย แต่มันกลับไม่ใช่ความเจ็บปวดหากแต่เป็นความปีติที่ทำให้เธอได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นครั้งที่สองได้อย่างเบิกบานใจ
หยดเลือดสีแดงเข้มบนฝ่ามือค่อยๆ หยดลงมาจนเจิ่งนอง มันเป็นทั้งความเสียใจสำหรับอดีตที่โง่เขลา และขณะเดียวกันมันก็คือความโหดร้ายของนางมารอย่างเธอที่จะกลับมาแก้แค้นด้วยเช่นกัน
‘ฉันไม่มีวันอภัยให้แกเป็นอันขาด’
อาเรียผ่อนแรงที่มือออก ริมฝีปากยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้ม
รอยยิ้มนั้นช่างดูละม้ายคล้ายคลึงกับรอยยิ้มของแม่พระมากเสียจนแม้แต่อาการสั่นกลัวของเจสซี่ยังต้องหยุด
* * *
“อาเรียดูจะตั้งอกตั้งใจเรียนน่าดูเลยนะ”
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่เธอย้อนเวลากลับมายังอดีต บทกลอนที่ถูกท่องโดยน้ำเสียงสดใสก้องกังวานของอาเรียดังไปทั้งห้องอาหาร
ด้วยเหตุนี้ท่านเคานต์โรสเซนต์จึงได้เอ่ยชมเธอเป็นครั้งแรก เช่นนั้นภริยาท่านเคานต์ที่กำลังปิดปากพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนก็รีบเสริมคำโป้ปดตบท้ายให้ความฉลาดหลักแหลมของอาเรียทันที
“เธอได้อ่านหนังสือหลายเล่มเพราะไม่มีงานมีการอะไรต้องทำค่ะ คงจะดีใจที่มีโอกาสได้เรียนรู้มากขึ้นนะคะ”
โกหกทั้งเพ อย่าว่าแต่ท่องกาพย์กลอนเลย อาเรียไม่รู้กระทั่งวิธีรับประทานอาหารให้สะอาดสะอ้านโดยไม่มีผู้ช่วยจนอายุสิบหกเสียด้วยซ้ำไป
ก่อนเข้ามาที่ปราสาทท่านเคานต์เธอไม่เคยแม้แต่จะได้แตะต้องปกหนังสือเสียด้วยซ้ำ หรือแม้กระทั่งหลังจากเข้ามาที่นี่แล้วก็ยังคงเป็นดังเดิม
เธอชอบเล่นมากกว่าอ่านหนังสือ ความสุขของเธอคือการได้เสริมสวยและทำตัวฟุ่มเฟือย นั่นเพราะเธอทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่างนอกจากเรื่องที่ว่ามานี้
เมื่อยังเล็กไม่รู้ประสีประสาเธอเคยเบื่อหน่ายการต้องมานั่งท่องจำบรรดาบทกลอนที่ท่านเคานต์โปรดปรานต่อหน้าท่าน แต่ผู้ที่มักจะได้รับเกียรตินั้นเสมอคือมิเอล
มิเอลที่ท่องบทกลอนออกมาเป็นทำนองเพลงราวกับมีอารมณ์ร่วมไปกับกลอนนั้นย่อมได้รับคำสรรเสริญเยินยอมากกว่าอาเรียที่สักแต่พูดกลอนที่ท่องมาไม่ต่างจากการอ่านให้ฟัง
เหมือนกับตอนนี้ยังไงล่ะ
“กลอนนี้เป็นกลอนที่มีชื่อเสียงซึ่งตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นภายในปราสาทโรสเซนต์เจ้าค่ะ ท่านเคานต์คนแรกเป็นผู้ประพันธ์ขึ้นและยังเป็นกลอนแรกที่หนูได้เรียนตอนอายุได้ 4 ปี แม้กลอนของหญิงสาวที่แต่งตอบวรรค ‘หญิงผู้เป็นที่รักของข้า’ ซึ่งเป็นวรรคสุดท้ายของกลอนนี้จะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่กลอนทั้งสองก็ได้กลายเป็นหนึ่งจนเติมเต็มกันได้ครบสมบูรณ์จนได้ค่ะ”
มิเอลท่องกลอนด้วยน้ำเสียงสดใสและเรียบเรื่อยโดยวางมือขวาไว้บนหน้าอก
สายตาของผู้คนที่กำลังจับจ้องเธอมีแต่ความพึงพอใจ แม้แต่ภริยาท่านเคานต์หรือเคาน์ติสผู้เป็นมารดาของอาเรียก็ยังมองเจ้าหล่อนอย่างชื่นชม และนี่คือการปรากฏตัวของนางเอกที่มารับช่วงต่อจากตัวประกอบผู้ทำหน้าที่ชูโรงความสนุก
“…ข้าจะรวบรวมความศรัทธาทั้งมวลแล้วโปรยปรายให้แก่เจ้าในอนาคต…!’
เสียงปรบมือโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องอาหารเมื่อมิเอลอ่านกลอนจบลง และอาเรียก็ร่วมปรบมือไปกับพวกเขาด้วยซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดไปจากอดีตที่ผ่านมา มิเอลที่เผยยิ้มเขินอายจนแก้มทั้งสองแดงระเรื่อควรจะต้องเป็นนางเอกตัวจริงของวันนี้
เกียรติยศที่ได้รับหลังจากแย่งชิงมาจากอาเรียอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ เกียรติยศที่หวนกลับไปหาคนที่เป็นผู้สูงศักดิ์มาแต่แรกเริ่มต่างจากเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า
บางทีอาเรียอาจจะถูกยกย่องสรรเสริญได้มากกว่าเพราะเธอเองก็อยู่ตรงนี้ด้วย เพราะแบบนั้นเธอจึงตั้งใจที่จะทวงเกียรติศักดิ์ศรีของเธอที่ถูกแย่งชิงไปกลับคืนมา
เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เป็นของมิเอลมาตั้งแต่แรก
“เป็นกลอนที่ไพเราะจริงๆ เชียว มิเอล แต่น้องรู้อะไรไหม”
เสียงปรบมือแผ่วเบาลง อาเรียที่เป็นตัวประกอบเอ่ยถามขึ้นโดยที่รอยยิ้มยังไม่เลือนหายไป มิเอลเบิกตาโตเพราะคำถามที่น่าตกใจ อาเรียช่วยตอบออกไปอย่างใจดีเพราะดูท่าแล้วเจ้าตัวคงจะไม่รู้แน่นอน
“ก็ความจริงที่ว่ากลอนนี้คือกลอนโต้ตอบที่น้องชายที่เป็นผู้คิดลอบสังหารท่านเคานต์คนแรกที่ประพันธ์ขึ้นยังไงล่ะ เพราะอย่างนั้นมันถึงไม่ได้รับความนิยม ด้วยท่านเคานต์คนแรกไม่ต้องการให้มีการเผยแพร่เกิดขึ้นบนแผ่นดินใหญ่”
ฉันถึงตั้งใจไม่ท่องมันไงล่ะ เมื่อได้ฟังสิ่งที่เธอเสริมไป ท่านเคานต์ก็พึมพำว่าคิดดูแล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริง จึงได้เอ่ยขึ้น
“มันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่รุ่นก่อนหน้านี้ เพราะมีการใส่คำสาปแช่งวงศ์ตระกูลเข้าไปในเชิงอุปมาด้วย”
ใบหน้าสวยหวานของมิเอลเปลี่ยนเป็นตึงเครียดเหมือนน้ำแข็งในชั่วพริบตา เพราะเธอเพิ่งจะท่องคำกลอนที่แฝงคำสาปแช่งวงศ์ตระกูลออกไปอย่างภาคภูมิใจเมื่อครู่นี้เอง อาเรียต้องอดทนเป็นอย่างมากที่จะไม่ลงไปหัวเราะกับพื้น
นี่คือสถานการณ์ที่ต่างไปจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง
มิเอลอยากได้รับการยอมรับจึงว่าจ้างอาจารย์ประจำตระกูลเพื่อเรียนรู้คำกลอน จากนั้นจึงได้อ่านคำกลอนออกมาด้วยดวงตาเป็นประกายเมื่อได้มาอยู่ต่อหน้าท่านเคานต์ผู้ที่เพิ่งกลับมาจากการทำงานที่ต่างประเทศเป็นเวลานาน
แต่คำว่ากล่าวอันเฉียบคมที่ตามมาในทันทีนั้นทำให้ความมีชีวิตชีวาหายไปจากนัยน์ตาสีเขียวของเธอในพริบตาเดียว และมันก็ถูกแทนที่ด้วยความอับอาย
เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เธอเข้ามาในปราสาทไม่นาน และคนที่เป็นฝ่ายตำหนิอาเรียในตอนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือเคนผู้เป็นพี่ชายนั่นเอง
เขาอายุมากกว่าอาเรีย 4 ปีจึงได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยทำให้เขาเรียนรู้ได้เร็วและรู้สิ่งต่างๆ มากมาย เขามักจะใช้ความรู้เหล่านั้นมาจับผิดทุกสิ่งที่อาเรียโอ้อวดออกมาเสมอ
‘เขาต้องรู้ความจริงเรื่องนี้แน่’
แต่เขาคงไม่อยากตำหนิน้องสาวของตนจึงเอาแต่ปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา ไม่สิ บางทีเขาอาจจะต้องการทำให้อาเรียเจ็บปวดอยู่คนเดียวก็ได้
อาเรียเพียงแค่เหลือบตามองเคนเพื่อดูสีหน้าของเขาให้แน่ใจ เขาเม้มปากแน่นขณะกำลังจ้องอาเรียอย่างไม่วางตา เขาดูจะไม่ชอบสถานการณ์ในตอนนี้น่าดูเลยทีเดียว
อาเรียฝืนยิ้มแล้วทำเป็นเข้าข้างมิเอลเพราะไม่อยากเปิดเผยตัวและได้รับความเกลียดชังจากเขา
“มิเอลอายุแค่สิบสามเท่านั้นเองแต่ท่องกลอนได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้วล่ะนะ”
แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศก็ไม่ได้อึดอัดน้อยลงเลย เพราะมิเอลยังไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ตอนนี้มากนักและการท่องกลอนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ช่างโง่เขลาสิ้นดี
‘มันจะน่าอายแค่ไหนกันนะที่เอาแต่โอ้อวดในสิ่งที่แม้แต่ลูกสาวของโสเภณีที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างต่ำต้อยและเติบโตมาในที่ที่ต่ำที่สุดยังรู้แต่ตนเองกลับไม่รู้’
ท่านเคานต์แสร้งกระแอมไอเพื่อตักเตือนลูกสาวของตนที่กำลังแสดงท่าทางไม่เหมาะสมออกมาเป็นครั้งแรกก่อนจะถือส้อมขึ้นมาพลางชักชวนให้ทุกคนเริ่มรับประทานอาหารกันต่อ
อาเรียเผยยิ้มร่าเริงสดใสสมกับเป็นเด็กให้พ่อใหม่ของเธอแล้วจิ้มเนื้อที่ถูกหั่นอย่างไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเข้าปาก
มื้ออาหารในวันนี้นับว่าเป็นที่น่าพอใจทีเดียว
…………………………………………………
คอมเม้นต์