ยอดวิถีแห่งปีศาจ – ตอนที่ 123 คันฉ่อง (1)

อ่านนิยายจีนเรื่อง Way of the Devil ยอดวิถีแห่งปีศาจ ตอนที่ 123 คันฉ่อง (1) อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 123 คันฉ่อง (1)
ทั้งสามคนรอยู่หน้าประตูสักพัก ไม่ทันไรก็มีคนเข้ามาในตัวลาน

“หมอยาชิงหยางอยู่หรือไม่” ชายชราผมขาวร่างกายผอมโซกะโผลกกะเผลกเข้ามาในลาน ขอบตาดำยิ่ง ดูหม่นมองไม่มีชีวิตชีวา กระย่องกระแย่งหลายรอบค่อยมาถึงหน้าประตู ก่อนจะออกแรงทุบประตู

“ผู้อาวุโสอวี๋!?” ต่งฉีเห็นคนที่มาพลันตกใจ “ท่านเหตุใดกลายเป็นแบบนี้”

ผู้อาวุโสคนนั้นค่อยสังเกตเห็นต่งฉีที่ยืนอยู่ หันไปเห็นพกวลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้างด้วย

“ที่แท้เป็นหลานต่ง ไม่เจอกันนาน…ข้ามีธุระคิดปรึกษาหมอยา ไม่ทราบพวกเจ้าเห็นหมอยาชิงหยางหรือไม่”

“ไม่…ไม่เห็น พวกเราก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน…” ต่งฉีตอบเบาๆ

ทันใดนั้นชายชราถอนใจอย่างผิดหวัง ไม่ถามถึงสถานะพวกลู่เซิ่ง หมุนกายจากไปอย่างเชื่องช้า

สักพักหนึ่งก็มีคนมาหาหมอยาอีกหลายคน พอพบว่าเขาไม่อยู่ ต่างก็รู้สึกผิดหวังเป็นพิเศษ คนเหล่านี้เป็นระดับสูงของพรรคชา แต่ต่างมีลักษณะเด่นร่วมกัน ได้แก่ขอบตาดำ พักผ่อนไม่เพียงพออย่างรุนแรง

ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่า พวเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่แสดงท่าทางหวาดกลัว สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ทราบว่าพบเจออะไร

ทั้งสามคนรออยู่ในตัวลานครึ่งชั่วยาม ในที่สุดชายชราผมขาว หลังงองุ้มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในตัวลานอย่างช้าๆ

“หลานต่ง…เจ้ามาแล้ว…” ชายชราสีหน้าซึมเซา ทั้งยังแทรกสีเขียว “เจ้ามาหาคันฉ่องวิเศษของข้าเหมือนกันหรือ ไม่เป็นไร ลุงพาเจ้าเข้าไปเอง” ขณะพูดทั้งๆ ที่ควรเป็นน้ำเสียงสนิทชิดเชื้อ แต่ว่าพอเขาพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชาถึงขั้นแข็งทื่อ ก็ฟังดูแปลกพิกล

“เป็นเช่นนี้ ลุงชิงหยาง ข้ามีสหายสองท่านอยากเห็นคันฉ่องวิเศษ ไม่ทราบได้หรือไม่” ต่งฉีเค้นรอยยิ้ม กล่าวกับชายชราเบาๆ

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” จัวชิงหยางเสแสร้งยิ้ม มองพวกลู่เซิ่ง

“มาเถอะ ข้าจะให้พวกท่านได้ดูดีๆ” เขาหยิบกุญแจออกมาไขกลอนขนาดใหญ่ที่แขวนไว้หน้าประตู ก่อนผลักเข้าไป

ต่งฉีหดตัว มองดูลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งพยักหน้าให้นาง นางจึงค่อยๆ เดินเข้าไป

ทั้งสามคนเข้าไปในห้อง ด้านในเป็นห้องนอนที่ธรรมดายิ่ง สิ่งที่แตกต่างจากห้องอื่นๆ เพียงหนึ่งเดียวคือ ที่นี่มีคันฉ่องแก้วสูงเท่าหนึ่งคนครึ่งบานหนึ่ง

คันฉ่องบานนี้ตั้งหันหน้าเข้าหาประตูใหญ่ พอผลักประตูเข้ามา ก็เห็นคันฉ่องสะท้อนตนเองทันที

ลู่เซิ่งกลับไม่ประหลาดใจอันใด สวีชุยเพิ่งเคยเห็นคันฉ่องแก้วเป็นครั้งแรก พิจารณาตัวเองในคันฉ่องอย่างใคร่รู้ ค่อนข้างสนใจ

“พวกเจ้าดูตามสบาย…ข้าเหนื่อยแล้ว ขอไปพักผ่อนก่อน…” จัวชิงหยางถอนใจ เดินเข้าไปหาเตียง ล้มตัวลงนอนหลับโดยไม่สนใจสิ่งใดอีก

ลู่เซิ่งคิดจะถาม แต่พอเห็นคนผู้นี้ก็รู้สึกผิดปกติเล็กน้อย สีหน้าเขาเหมือนกับคนอื่นๆ ไม่ค่อยมีสตินัก น้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง เทียบกับต่งฉี ดูเหน็ดเหนื่อยเต็มที แต่ในเมื่อเขาเป็นคนนำคันฉ่องมา และอยู่ร่วมกันทั้งวันทั้งคืน จะอย่างไรก็ไม่มีทางปกติเหมือนคนอื่นๆ

ยามนี้เขาเชื่อคำพูดที่ต่งฉีเล่าให้ฟังบ้างแล้ว จัวชิงหยางหมอยาผู้นี้แปลกคนจริงๆ

“ดูคันฉ่องก่อน” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปหาคันฉ่องแก้วสูงเท่าหนึ่งคนครึ่งบานนั้น

คันฉ่องนอกเหลี่ยมในกลม ด้านนอกเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ด้านในเป็นกระจกสูงใหญ่ทรงรี กรอบทำจากสำริด ด้านบนสลักลวดลายสลับซับซ้อน

ลู่เซิ่งเดินมาถึงหน้าคันฉ่อง ยื่นมือไปลูบลวดลายดู

ลวดลายสัตว์สามชนิดสลักบนกรอบเหลี่ยมได้แก่ หงส์ จิ้งจอก สุนัข

รูปร่างของสิ่งมีชีวิตทั้งสามชนิดถูกยืดจนยาว ให้ความรู้สึกเก่าแก่อันแปลกประหลาด หนำซ้ำมองดูเหมือนกำลังกระโจนโบยบินอยู่รอบๆ กระจก

สวีชุยกลับมองจัวชิงหยางที่หลับอยู่บนเตียง

“เขาไม่กลัวว่าพวกเราจะทำลายคันฉ่องของเขาแม้แต่น้อย นี่เป็นคันฉ่องแก้ว เป็นของหายากที่ราคาแพงมาก”

“เขาอาจรู้ว่าพวกเราทำลายคันฉ่องไม่ได้” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ พลิกคันฉ่องด้วยมือข้างเดียว พละกำลังอันมหาศาลพลิกฐานคันฉ่องมากกว่าร้อยชั่งเหมือนไม่มีสิ่งใด

บนกรอบสำริดด้านหลังคันฉ่องมีลวดลายสัตว์ไม่น้อย นอกจากนี้ ด้านหลังคันฉ่องคล้ายหยาบอยู่บ้าง คล้ายมีคนใช้มีดกรีดด้านหลัง

“ด้านหลังนี้…เหมือนมีตัวอักษร”

สวีชุยเข้าไปพิจารณา

“ข้าเคยเห็นตัวอักษร เหมือนตัวอักษรสมัยถัง เป็นตัวอักษรทางราชการที่ใช้ในรัชสมัยก่อน ตอนนั้นผลักดันอยู่ระยะหนึ่ง แต่ว่าภายหลังเป็นเพราะไม่ได้ใช้จริง และเกิดปัญหามากมาย จึงค่อยๆ ถูกละทิ้งไป”

“ตัวอักษรสมัยถังหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหมายถึงอะไร” ลู่เซิ่งมีความทรงจำอยู่บ้าง คล้ายกับอยู่ในบันทึกส่วนหนึ่งที่อ่านเจอในหนังสือเมื่อก่อนหน้านี้

“ไม่รู้จัก…ข้าน้อยเคยได้ยินท่านพ่อตอนยังอยู่เล่าให้ฟัง เป็นเพราะประโยคแรกในคำสั่งสอนของครอบครัวเขียนด้วยตัวอักษรสมัยถัง ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับตัวอักษรประเภทนี้มาก แต่ไม่รู้จัก” สวีชุยส่ายหน้ากล่าว แสดงว่าความรู้ที่ครอบครัวมอบให้เขาค่อนข้างกว้างขวาง

ลู่เซิ่งลูบตัวอักษรด้านหลังคันฉ่องแก้วอย่างตั้งใจ ทั้งหมดมีแค่สามคำ แต่มีขีดเยอะมาก ทุกคำต้องใช้อย่างน้อยมากกว่าสิบห้าขีดค่อยเขียนจบ

“เช่นนั้นผู้ใดจะรู้จัก” ลู่เซิ่งพูดพลางมองจัวชิงหยางที่อยู่บนเตียงโดยไม่รู้ตัว

“ข้า…ข้าไปปลุกเขาเอง…” ต่งฉีสูดหายใจลึก ทราบว่าเวลานี้ตัวเองได้แต่เข้าไป ถึงแม้นางจะกลัว แต่ด้านหลังมีคนอยู่สองคน บวกกับยังสว่าง จึงไม่ได้หวาดผวานัก

ลู่เซิ่งกับสวีชุยพยักหน้าให้นาง บุ้ยใบ้ให้นางเข้าไปเรียกคน

ต่งฉีลังเลสักพัก กำลังจะเดินเข้าไป

ทันใดนั้นเห็นจัวชิงหยางยืดกายขึ้นจากเตียง ลืมตามองทั้งสามอย่างซืมกะทือ

“มีเรื่องอันใดหรือ”

ต่งฉีรีบเข้าไป แนะนำสถานะของลู่เซิ่งกับสวีชุย เห็นจัวชิงหยางยังคงไม่ยินดียินร้าย จึงพูดถึงเรื่องตัวอักษรด้านหลังคันฉ่อง

“สิ่งนั้น…ข้าก็ไม่ทราบว่าหมายถึงอะไร เพียงแต่ตอนได้คันฉ่องมา ก็สลักอยู่บนกรอบแล้ว ตอนแรกข้านึกว่าเป็นแค่ลวดลาย ภายหลังจึงพบว่า เป็นคนอื่นใช้มีดกรีดไว้”

“ท่านไม่ทราบจริงๆ หรือ” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปยืนข้างเตียง ก้มลงมองจัวชิงหยาง

เขามีใบหน้าดุร้าย กล้ามเนื้อใหญ่กว่าชายชราถึงสามเท่า รู้สึกเหมือนมือข้างเดียวก็สามารถบีบจัวชิงหยางให้ตายได้

“ข้าไม่ทราบจริงๆ…แต่ถ้าท่านทูตอยากทราบความหมาย ลองหาพจนานุกรมดู ประมุขพรรคครั้งกระโน้นเคยรวบรวมพจนานุกรมซ่งเจิ้งที่ราชวงศ์เรียบเรียงไว้ มีคุณค่าสูงยิ่ง มันอยู่ในห้องหนังสือ”

“คันฉ่องบานนั้นข้าจะนำไปด้วยก่อน หลังจากตรวจสอบแล้วค่อยคืนให้ ไม่มีปัญหากระมัง” ลู่เซิ่งจดจ้องจัวชิงหยาง กล่าวอย่างแช่มช้า

จัวชิงหยางได้ยินกลับยิ้ม

“ย่อมได้อยู่แล้ว ท่านทูตตามสบาย” เขาคล้ายไม่สนใจคันฉ่องที่ล้ำค่าดั่งชีวิตของตนแม้แต่น้อย

คนผู้นี้พิลึกจริงๆ ทั้งๆ ที่ทราบว่าลู่เซิ่งเป็นทูตจากพรรคใหญ่ ยังกล้านั่งพูดบนเตียง ไม่สนใจมารยาทโดยสิ้นเชิง แต่น้ำเสียงที่พูดกลับมีความนอบน้อมอย่างชัดเจน

ลู่เซิ่งพินิจจัวชิงหยางอย่างละเอียด ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติบนร่างเขา ไม่ว่าการหายใจ การเต้นของหัวใจ หรือการไหลเวียนเลือด อย่างมากสุดก็เป็นชายชราธรรมดาที่เคยฝึกวรยุทธ์ หากอยู่ในสภาพอ่อนแอ

“ก็ดี สวีชุยเจ้าย้ายคันฉ่องไปยังห้องหนังสือของที่นี่” ลู่เซิ่งสั่ง

“ขอรับใต้เท้า”

สวีชุยพูดกับต่งฉีหลายประโยค เรียกองครักษ์สองคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกมา ทั้งสามยกคันฉ่องแก้วออกจากห้อง เดินไปยังห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว

ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ จัวชิงหยางผู้นั้นยังนั่งอยู่บนเตียง มองพวกเขายกคันฉ่องด้วยสายตาสงบนิ่ง ไม่แสดงท่าทีแม้แต่น้อย

พวกสวีชุยออกประตูโดยต่งฉีชี้ทางไปห้องหนังสือให้ ในห้องจึงเหลือแต่ลู่เซิ่งกับจัวชิงหยาง

“หมอยาชิงหยาง ข้ามาที่นี่ท่านน่าจะทราบจุดประสงค์กระมัง” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เพื่อตรวจสอบการหายสาบสูญไปอย่างน่าประหลาดของคนจำนวนมากเมื่อก่อนหน้า รวมถึงสาเหตุการตายที่เหนือความคาดหมายของประมุขพรรตงเชิงผิง ท่านมีเบาะแสใดในเรื่องนี้บ้าง”

จัวชิงหยางลืมตา หนังตาไม่กระตุก หมุนตัวอย่างแข็งทื่อมาเผชิญหน้ากับลู่เซิ่ง

“ท่านทูตอยากทราบเบาะแสใด ประมุขพรรต่งเชิงผิงไม่ใช่ข้าเป็นคนสังหาร คนที่หายสาบสูญไปก็ไม่เกี่ยวกับข้า ท่านถามข้าไปก็ไร้ประโยชน์”

“ข้าถามท่านเพราะท่านน่าสงสัยที่สุด” ลู่เซิ่งตอบ “ถ้าท่านล้างข้อสงสัยไม่ได้ ข้าก็ได้แต่ต้องจับท่านเพื่อปิดคดี สำหรับพวกเราแล้ว แบบไหนแก้ไขได้เร็วก็แก้ไขเช่นนั้น” สีหน้าเขาแฝงการคุกคามขณะจับจ้องจัวชิงหยาง

“ข้าไม่รู้อะไรเลย…” จัวชิงหยางกล่าวอย่างเฉยชา “ท่านอยากจับก็จับ ท่านจัดการอย่างไรก็แล้วแต่”

ลู่เซิ่งอึ้ง คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตอบเช่นนี้

มองจัวชิงหยางสักพัก เขาแค่นเสียง หมุนกายจากไป

หลังย้ายคันฉ่องแก้วไปถึงห้องหนังสือ ลู่เซิ่งก็ให้ต่งฉีไปหาพจนานุกรมซ่งเจิ้ง เพื่อตรวจดูว่าตัวอักษรหลังคันฉ่องมีความหมายว่าอะไร

ใกล้จะตรวจสอบความหมายได้แล้ว

“ใต้เท้า ได้ความแล้ว ตัวอักษรสามตัวนั้นคือ นับ ถึง สิบ”

สวีชุยพาต่งฉีที่หน้าซีดจนน่าตกใจมาถึงด้านหน้าลู่เซิ่งที่พักผ่อนดื่มชาในโถงใหญ่ เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“นับถึงสิบหรือ”

ลู่เซิ่งงุนงง นี่มีความหมายว่าอะไร จู่ๆ ก็มีคำพูดที่แปลกประหลาดฟังไม่ได้ความนัยอันใดปรากฎขึ้นมา

“ท่านทูต…ท่านยังไม่ทราบ หลายวันมานี้ ข้ามักฝัน เป็นฝันร้ายที่เกี่ยวกับดรุณีนางหนึ่งเล่นซ่อนหา และถูกสหายทิ้งไว้ในนาข้าว

ดรุณีนางนั้นชื่อหลิงหลิง กำลังเล่นการละเล่นนับถึงสิบ…” ต่งฉีสีหน้าขาวซีด

“อ้อ?” ลู่เซิ่งหยีตามองต่งฉี “ท่านช่วยเล่ารายละเอียดให้ข้าฟัง”

ต่งฉีกัดริมฝีปาก จิตใจเต้นระทึก

“ฝันนั้นเป็นเช่นนี้…” นางเล่าความฝันอย่างละเอียด

“แล้วสุดท้ายหลิงหลิงดรุณีนางนั้นไปไหน จุดจบเป็นเช่นไร” สวีชุยอดถามขึ้นจากด้านข้างไม่ได้

“ไม่ทราบ…อาจเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี…” ต่งฉีหอบหายใจ พอนึกถึงเนื้อหาของความฝันนั้น ก็รู้สึกหายใจลำบาก

“ไป กลับไปดูคันฉ่องบานนั้นกัน” ลู่เซิ่งลุกขึ้น ดื่มชารวดเดียวหมด

ทั้งสามคนเดินกลับไปยังห้องหนังสือด้วยกัน

ต่งฉีจัดให้ชายฉกรรจ์สองคนเฝ้าประตูห้องหนังสือไว้ ไม่ให้ใครเข้าไปใกล้ พอเห็นพวกเขามา ทั้งสองคนก็รีบเข้ามาก้มหัวค้อมเอว

“ท่านทูต คุณหนูใหญ่ พวกท่านมาแล้ว ของอยู่ด้านใน ไม่ให้ผู้ใดเข้าไป”

……………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด