นายน้อยเจ้าสำราญ – ตอนที่ 889 จือโจวแห่งหยู่โจว
ตอนที่ 889 จือโจวแห่งหยู่โจว
เขตซื่อหยางตั้งอยู่ในเขตการปกครองหยู่โจวหนึ่งในสามรัฐทางตอนใต้ของเป่ยเซียว
ฝ่าบาททรงออกตรวจราชการนอกเครื่องแบบจนมาถึงเขตซื่อหยางและได้ขับไล่อดีตเจ้าหน้าที่ของเขตซื่อหยางออกไปในคราเดียว ข่าวนี้ทำเอาผู้คนตกตะลึงไปทั้งเขตซื่อหยาง และข่าวนี้ย่อมลอยเข้าหูของหลัวปิงหลิงจือโจวแห่งหยู่โจวไปโดยปริยาย
เขาตื่นตระหนกเสียยกใหญ่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของเขตหนึ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของตน ล้วนได้รับโทษจากการทุจริตและเพิกเฉยต่อหน้าที่ พวกเขาล้วนถูกองค์จักรพรรดิส่งไปยังกรมขุนนาง กองทหารรักษาการณ์ถูกปลดออกจากตำแหน่งทั้งหมด นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นความบกพร่องของจือโจว !
ความผิดพลาดนี้ร้ายแรงมากยิ่งนัก ดังนั้นหลัวปิงหลิงจะยังอยู่ที่หยู่โจวอย่างสบายใจได้เยี่ยงไร ? เขาจึงรีบออกคำสั่งมากมาย… ให้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ทุกเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองอย่างละเอียด ปลดผู้ที่รับสินบนและบิดเบือนกฎหมายโดยมิชอบออกทั้งหมด !
รีบดำเนินการตรวจสอบคะแนนของเจ้าหน้าที่ภายใต้การปกครอง ปลดผู้มีคะแนนมิผ่านเกณฑ์ออกทั้งหมด !
เขารีบส่งม้าเร็วไปแจ้งให้ใต้เท้าอันไจ้ชูผู้ดำรงตำแหน่งเต้าถายของหกรัฐแห่งเป่ยเซียวรับทราบเพราะคาดว่าใต้เท้าอันยังมิทราบเรื่องการเสด็จมาของฝ่าบาท
คำสอบสวนของกรมขุนนางที่ส่งออกมาจากเมืองกวนหยุนยังมามิถึงหยู่โจว ขุนนางในหยู่โจวกำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย พวกเขาล้วนแตกตื่นกันถ้วนหน้า
เมื่อวางแผนทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว หลัวปิงหลิงก็ได้เร่งรุดมายังเมืองซื่อหยาง เพราะเขาต้องยืดอกขอโทษด้วยตนเอง !
เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ตนจะยังหลบซ่อนอยู่ในหยู่โจวแล้วรอคอยฝ่าบาทเรียกให้เข้าเฝ้าได้เยี่ยงไรกัน ?
แบบนั้นมิใช่การรอความตายมาเยือนหรอกหรือ ?
ฝ่าบาททรงมีเงื่อนไขที่เข้มงวดเกี่ยวกับการปกครองส่วนท้องถิ่น ในเอกสารจำนวนมากที่ส่งถึงเต้าถายล้วนเน้นย้ำถึงการปกครองส่วนท้องถิ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า… ฝ่าบาทได้เพิ่มเบี้ยหวัดให้แก่ขุนนางทุกคน โดยมีเงื่อนไขให้ทุกคนทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด !
แต่เหตุการณ์เลวร้ายก็ได้บังเกิดขึ้นที่เขตซื่อหยาง ได้ยินมาว่าทหารเฝ้าประตูเมืองที่สมควรตายนั่นเรียกเก็บค่าเข้าเมืองจากฝ่าบาทมากถึง 3 ตำลึง !
มารดามันเถิด ! ราชโองการห้ามเก็บภาษีค่าเข้าเมืองของฝ่าบาทมาถึงมือนายอำเภอป๋ายชิวเชิงแห่งเขตซื่อหยางเนิ่นนานแล้วนี่ คนผู้นั้นทานอันใดผิดสำแดงเข้าไปเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขตซื่อหยางยากจนก็จริง แต่พวกเจ้ายากจนถึงขั้นต้องเก็บค่าเข้าเมืองเชียวหรือ ?
ทั้งยังมีชายผู้หนึ่งไปหยามพระพักตร์ฝ่าบาท คาดมิถึงว่าจะใจกล้าจนถึงขั้นเก็บเงินฝ่าบาทมา 3 ตำลึงถ้วน !
หลัวปิงหลิงรู้สึกชิงชังเสียจนแทบจะอดใจใช้ดาบฟันป๋ายชิวเชิงผู้นั้นมิไหว เจ้าสุนัขที่มีความสามารถน้อยนิดแต่ความเลวร้ายล้นเหลือตัวนี้ เกรงว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความโชคร้ายจะถูกปลูกลงบนมือจือโจวเยี่ยงเขาเสียแล้ว
ในยามที่เขามาถึงเขตซื่อหยางแล้ว เขากลับมิพบฝ่าบาท ได้ยินมาว่าฝ่าบาทเสด็จไปยังบึงดำ ในฐานะคนที่เติบใหญ่ในหยู่โจว เขาย่อมรู้จักบึงดำอย่างแน่นอน แต่นั่นมิใช่น้ำมันธรรมดา ๆ หรอกหรือ ?
ฝ่าบาทเสด็จไปทอดพระเนตรของสิ่งนั้นเพื่ออันใดกัน ?
หัวใจของเขาร้อนดั่งถูกไฟเผา ทว่าก็ทำได้เพียงเฝ้ารอการกลับมาของฝ่าบาทอยู่ที่เมืองซื่อหยางด้วยใจจดจ่อ
เขตซื่อหยางยากจนเกินไป จึงมิมีเรือนพำนักของขุนนางอยู่ที่นี่ เขาจึงต้องเข้าพักที่โรงเตี๊ยมซื่อหยางแทน
เถ้าแก่เนี้ยหยางฮวาแห่งโรงเตี๊ยมซื่อหยางมิรู้จักจือโจวอัน นางต้อนรับนายท่านผู้นี้ด้วยความกระตือรือร้น แต่อีกฝ่ายก็ดูมีความทุกข์มากเสียเหลือเกิน
เอาเถิด เยี่ยงไรเขาก็มีเงิน หยางฮวามิได้ให้ความสนใจเรื่องของความรู้สึกมากมายนักหรอก
นายท่านผู้นี้จะออกไปข้างนอกเพียงแค่ 2 คราต่อวันเท่านั้น คือยามเช้า 1 รอบและยามเว่ย 1 รอบ นอกนั้นเขามักจะพำนักอยู่ที่เรือนด้านหลังโดยพาชาวยุทธ์ที่ท่าทางเหมือนทหารยามมาด้วย 1 คน พวกเขาทานอาหารที่โรงเตี๊ยมของนาง นางจึงมีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง
เพียงแต่หยางฮวาค้นพบว่าใบหน้าของนายท่านผู้นี้ยิ่งอยู่ยิ่งหมองคล้ำ นางลอบคิดว่าคนผู้นี้คงมีชีวิตวัยกลางคนที่มิค่อยดีสักเท่าใดนัก เกรงว่ากิจการของตระกูลคงประสบภัยบางอย่างเป็นแน่
มื้อกลางวัน ยามที่หลัวปิงหลิงและทหารองครักษ์กำลังทานอาหารที่ห้องโถง หยางฮวาก็ได้ทำชาสมุนไพรเย็นไปให้พวกเขาหนึ่งถ้วย จากนั้นนางก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า
“นายท่านเจ้าคะ เมื่อมิกี่วันก่อนหน้านี้มีผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งมาพักที่โรงเตี๊ยมของข้าน้อย ท่านลองเดาดูสิว่าคนผู้นั้นมีตัวตนอยู่ในระดับใดกัน”
หลัวปิงหลิงตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหยางฮวา “ผู้สูงศักดิ์เยี่ยงนั้นหรือ ? เป็นชายหนุ่มใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่เจ้าค่ะ ! นายท่านก็ทราบเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หัวใจของหลัวปิงหลิงกระตุกเล็กน้อย “เจ้าทราบถึงตัวตนของผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นหรือไม่ ? ”
“ข้าน้อยได้ยินเข้าพอดี จากนั้นก็เป็นลมล้มพับไปเลยเจ้าค่ะ” หยางฮวาเอ่ยพร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นก็เอ่ยเสียงแผ่วต่อว่า “เป็นองค์จักรพรรดิของพวกเราเจ้าค่ะ ! ”
ใบหน้าของหลัวปิงหลิงพลันเปลี่ยนสีขึ้นมาทันใด “…พระองค์ทรงประทับอยู่ที่โรงเตี๊ยมของเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่เจ้าค่ะ ! พระองค์ทรงช่วยขับไล่หนอนภายในเขตซื่อหยางของพวกเรา ทั้งยังออกประกาศอีกว่าหากราษฎรคนใดมีเรื่องทุกข์ใจก็สามารถไปร้องเรียนต่อฝ่าบาทที่สำนักงานเขตได้… ข้าน้อยเห็นว่านายท่านเหมือนจะมีเรื่องทุกข์ใจ ถึงแม้องค์จักรพรรดิจะทรงพระเยาว์ แต่พระองค์ก็ทรงเป็นกันเองมากยิ่งนัก หากในบ้านของนายท่านมีเรื่องทุกข์ร้อนอันใดก็รอทูลถวายในยามที่ฝ่าบาทกลับมาเถิด เพราะบางทีพระองค์อาจจะช่วยท่านแก้ไขได้จริง ๆ ”
หลัวปิงหลิงวางตะเกียบลง อาหารมื้อนี้เขาจะยังสามารถทานต่อไปได้เยี่ยงไรกัน
จิตใจของเขาทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก เพราะเขาเองก็ต้องการยื่นอุทธรณ์ต่อฝ่าบาทเช่นกัน !
สิ่งที่เขาจะขอมิใช่การขอให้ฝ่าบาทหาทางแก้ไขให้ตน ทว่าเขาอยากขอให้ฝ่าบาทประทานอภัยโทษให้ต่างหากเล่า !
“องค์จักรพรรดิ…ประทับอยู่ที่ห้องใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ห้องที่นายท่านพักอยู่เยี่ยงไรเล่าเจ้าคะ”
หลัวปิงหลิงตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน เจ้ากล้าให้ข้าพักห้องที่ฝ่าบาทเคยประทับเยี่ยงนั้นหรือ ? นี่มิได้เป็นการขุดหลุมฝังข้าหรอกหรือ ?
“เปลี่ยนห้อง เจ้ารีบเปลี่ยนห้องให้ข้าประเดี๋ยวนี้… อายุขัยของข้าต้องสั้นลงเป็นแน่ เปลี่ยนไปบนชั้นสอง เร็ว ๆ ๆ รีบไปเปลี่ยนประเดี๋ยวนี้เลย ! ”
หยางฮวาอ้าปากค้างด้วยความตื่นตกใจ นางอยากจะตัดลิ้นของตนเองทิ้งเสียเหลือเกิน จะปากมากเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ?
นั่นคือห้องพิเศษราคา 1 – 2 ตำลึงต่อคืน หากเปลี่ยนไปชั้นสองราคาค่าห้องต่อคืนจะเหลือเพียง 20 อีแปะเท่านั้น
“นายท่าน ห้องที่ฝ่าบาทเคยประทับย่อมมีจิตวิญญาณของมังกรหลงเหลืออยู่ หากท่านพักห้องนี้ย่อมอายุยืนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
อายุยืนกับผีสิ !
หากองค์จักรพรรดิถือเรื่องนี้เป็นสำคัญแล้วทรงหาเหตุมาจัดการข้าเล่า !
“ข้ายังจ่ายราคา 1 ตำลึงต่อหนึ่งคืน แต่ข้าจะย้ายไปชั้นสอง แล้วอย่าเอาไปเอ่ยกับผู้ใดล่ะ ว่าข้าเคยพักที่เรือนด้านหลังมาก่อน เข้าใจหรือไม่ ? ”
หยางฮวามิเข้าใจ แต่ในเมื่อราคาห้องมิเปลี่ยนแปลงไปนางก็จำต้องเข้าใจ
จากนั้นนางจึงยกยิ้มขึ้นมาพลางเอ่ยว่า “ข้าน้อยจะไปเปลี่ยนห้องให้นายท่าน และจะปิดปากให้เงียบเลยเจ้าค่ะ ! ”
หลัวปิงหลิงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก แต่ยังไม่ทันได้ทรุดลงนั่งก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อนเสียก่อน “นายท่าน เด็กหนุ่มที่ท่านเอ่ยถึงได้กลับมายังสำนักงานเขตแล้วขอรับ”
ดวงตาของหลัวปิงหลิงเบิกกว้าง “จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าน้อยจะกล้าโกหกนายท่านได้เยี่ยงไร ข้าน้อยเห็นมากับตาเลยขอรับ”
“ดี ! 1 ตำลึงนี้เป็นของเจ้าแล้ว หลินซานไป ! ”
ในยามที่หยางฮวาเดินกลับมา ทั้งห้องโถงก็เหลือเพียงความว่างเปล่า
นางรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก เหตุใดนายท่านต้องทำตัวมีลับลมคมในด้วยเล่า หรือสถานที่ที่องค์จักรพรรดิเคยประทับมาก่อนเป็นสิ่งต้องห้าม ? หากเป็นเยี่ยงนั้นจริงเรือนพิเศษด้านหลังของข้าจะมีคนกล้าพักได้เยี่ยงไร ?
นี่มิใช่เรื่องดีเลยสักนิด !
ฟู่เสี่ยวกวนและคณะเดินทางกลับมาถึงสำนักงานเขตแล้ว
“ประเดี๋ยวข้าจะออกหนังสือแต่งตั้ง 1 ฉบับ จากนี้ต่อไปเจ้าคือนายอำเภอของเขตซื่อหยาง ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เหลือก็ให้เจ้าเป็นผู้คัดเลือกเอาเอง ต่อจากนี้จะบริหารบ้านเมืองเยี่ยงไรก็ถือเป็นเรื่องของเจ้าแล้ว”
เจียงซั่งกุมมือคำนับ “กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนและขันทีเจี่ยเดินไปยังด้านหลังสำนักงาน ในศาลามีต่งชูหลานและเสี่ยวฉีกำลังเล่นหมากรุกกันอยู่ เพียงเห็นสามีกลับมา ต่งชูหลานก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปต้อนรับทันที นางมิลืมกำชับเสี่ยวฉีว่า “ไปชงชาสมุนไพรมาให้ท่านพี่สักหนึ่งถ้วยและไปอุ่นน้ำสำหรับอาบด้วยล่ะ”
เสี่ยวฉีรับคำสั่ง จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงภายในศาลาพลางเอ่ยด้วยใบหน้าชื่นมื่นว่า “เจ้ามิทราบว่าน้ำมันดิบเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากเพียงใด ! ”
ต่งชูหลานหยิบพัดขึ้นมา จากนั้นก็พัดให้ฟู่เสี่ยวกวน นางเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ทำให้ท่านมีความสุขได้ถึงเพียงนี้ หรือมันมีราคาแพงกว่าน้ำหอม ? ”
“ไอหยา… มันมิใช่สิ่งที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับน้ำหอมได้ ! ”
ต่งชูหลานชะงักงัน นางมิได้เปิดปากเอ่ยถามอันใดต่อ จากนั้นก็เห็นชายหนุ่มนามเจียงซั่งเดินเข้ามา
เขาโค้งตัวคำนับ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจรบกวนเวลาพักผ่อนสักประเดี๋ยว เพราะบัดนี้หลัวปิงหลิงจือโจวแห่งหยู่โจวมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เชิญเขาเข้ามา”
คอมเม้นต์