เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – 139 นภาชั้นที่ห้า
Sign in Buddha’s palm 139 นภาชั้นที่ห้า
ด้านนอกห้องโถงชีวิตนิรันดร์
ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง พร้อมที่จะเข้าไปในห้องโถงชีวิตนิรันดร์
“หยุด ที่แห่งนี้คือพระราชฐานส่วนใน…” ขันทีที่ยืนอยู่หน้าประตูมองซูฉินด้วยใบหน้าระแวดระวัง
อย่างไรก็ตาม ขันทีผู้นี้ถูกขัดจังหวะก่อนที่จะทันพูดได้จบ
“เสี่ยวเต๋อจื่อ ถอยออกมาซะ นี่คือพระเชษฐภาดาขององค์จักรพรรดิ” ขันทีอีกคนหนึ่งที่ติดตามใกล้ชิดองค์จักรพรรดิถังบ่อยๆ รีบปรามขันที่ผู้น้อยในทันที
“ พระเชษฐภาดา…”
ขันทีผู้นั้นมองไปที่ซูฉิน กล่าวออกด้วยความเคารพ
ท่าทีของซูฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เขาเดินเข้าไปในโถงชีวิตนิรันดร์โดยไม่เร่งรีบ
หลังจากที่ซูฉินเข้าไปด้านในโถงชีวิตนิรันดร์ ขันทีผู้น้อยที่เพิ่งจะหยุดซูฉินไปก่อนหน้าก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “พระเชษฐภาดา? ทําไมข้าถึงไม่เคยเห็นพระเชษฐภาดาพระองค์นี้มาก่อนเลย?”
ขันทีผู้น้อยพูดอย่างระมัดระวัง
“ฮื่ม!”
ขันทีอีกคนจ้องไปที่ขนที่ชั้นผู้น้อย “มีหลายสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้ หากเจ้าข้าไม่ห้ามเจ้าเอาไว้ เจ้าคงได้ทําผิดพลาดครั้งใหญ่ไปแล้ว”
“อะไรนะ?!”
ขันทีผู้น้อยตกใจ
“ข้าจะพูดถึงเรื่องคนในราชวงศ์เช่นนี้เพียงครั้งเดียว ในบรรดาสิบอันดับคนที่ไม่ควรยั่วยุที่สุดในวังหลวงหนึ่งในนั้นคือพระเชษฐภาดาคนนี้ เข้าใจหรือไม่?”
ร่องรอยความหวาดกลัวเผยออกมาผ่านน้ำเสียงของขันทีผู้นั้น
เขามักจะติดตามจักรพรรดิถังหลี่เชิงอยู่ตลอดและทราบดี ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงไม่เคยแสดงท่าที่สูงส่งของจักรพรรดิต่อหน้าซูฉินเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น เฉพาะต่อหน้าซูฉินเท่านั้นที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงจะแสดงรอยยิ้มอันจริงใจออกมา
จากสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียวขันที่ผู้นี้ก็รู้แล้วว่าซูฉินเป็นหนึ่งในคนที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงให้ความสําคัญมากที่สุด
นอกจากนี้ซูฉินยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน เป็นลุงสามขององค์ชายหลี่หยวน
ตัวตนเช่นนี้ แม้แต่องค์ชายเองก็ไม่ได้มีความสําคัญเท่ากับซูฉิน
…..
…..
ภายในโถงชีวิตนิรันดร์
ขุนนางทั้งหลายต่างนิ่งเงียบ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความหนักใจ
“พี่สาม”
“ท่านมาได้อย่างไรกัน?”
ฮองเฮาซูเยว่หยุนเห็นซูฉินก็รีบลุกขึ้นและปาดน้ำตาของนาง
“ พี่สาม?”
“เขาเป็นบุตรชายคนที่สามของตระกูลซู?”
ขุนนางหลายคนมองมาที่ซูฉินและพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันเสียงต่ำ
ในฐานะข้าราชบริพารคนสําคัญในราชสํานัก พวกเขารู้จักซูฉินผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในวังมาโดยตลอด
ขุนนางเหล่านี้ค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของซูฉิน พวกเขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์จักรพรรดิและตระกูลซู สิ่งที่ซูฉินต้องการไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ตํา แหน่งขุนนางหรือแม่ทัพในกองทัพล้วนแต่เพียงเอ่ยปาก ขึ้นหนึ่งประโยคเท่านั้น
ความมั่งคั่งและอํานาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม
แต่ซูฉินกลับไม่ทําเช่นนั้น เขาอยู่ในวังมาตลอดสิบปีและออกไปนอกวังน้อยครั้งมาก
นี่ทําให้เหล่าขุนนางในราชสํานักสงสัยว่าหรือนี่จะเป็นปราชญ์ประเภทหนึ่งที่มองชื่อเสียงเป็นสิ่งไร้ค่าใช่หรือไม่?
ซูฉินเดินไปที่บัลลังก์มังกรเหลือบมองไปที่จักรพรรดิถังหลี่เชิง
ในขณะนี้จักรพรรดิถังหลี่เชิงอยู่ในอาการสลบไสลไม่ได้สติ ใบหน้าซีดเซียว ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงบ้างเป็นครั้งคราวก็คงไม่ต่างจากคนตายนัก
“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อน”
ซูฉินพูดโดยไม่หันไปมองเหล่าขุนนางทั้งหลาย
คําที่พูดออกมา
ใบหน้าของเหล่าขุนนางเปลี่ยนแปลงไป
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เชื่อมั่นในตัวของซูฉิน แต่หากพวกเขาออกไป ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาท ใครจะรับผิดชอบ?
ตอนนี้องค์ชายหลี่หยวนก็ทรงพระเยาว์นัก พระองค์ไม่สามารถรับภาระหน้าที่อันสําคัญได้เลย
มีเพียงฮองเฮาซูเยว่หยุนเท่านั้นจิตใจสั่นไหวครึกโครม
เนื่องจากซูฉินบอกให้คนอื่นออกไป แสดงให้เห็นว่ามีวิธีช่วยเหลือองค์จักรพรรดิถัง
ซูเยว่หยุนเชื่อมั่นในตัวซูฉินมาก หากไม่ใช่เพราะซูฉิน นางคงจะมีพลังงานธาตุหยินแทรกตัวอยู่ในกายและไม่สามารถให้กําเนิดทายาทได้
“ในเมื่อพี่สามให้พวกเราออกไป พวกเราก็ออกไปกันเถอะ”
ฮองเฮาซูเยว่หยุนมองไปที่เหล่าขุนนาง
“พระนาง นี่ไม่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล…” ขุนนางอดที่จะเอ่ยออกมาไม่ได้
“ไม่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลงนหรือ?”
ฮองเฮาซูเยว่หยุนขมวดคิ้วและพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะรับผิดชอบเอง ตอนนี้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลแล้วหรือไม่?”
ขุนนางทั้งหลายชําเลืองมองหน้ากัน แต่พวกเขาก็หาได้มีทางเลือกอื่นไม่ นอกเสียจากโค้งคํานับแล้วตอบว่า “พ่ะย่ะ ค่ะ”
ไม่ช้านาน
ฮองเฮาซูเยว่หยุน ขุนนาง ขันที และนางกํานัลต่างออกจากโถงชีวิตนิรันดร์แล้วไปรออยู่ด้านนอก
มีเพียงซูฉินและจักรพรรดิถังหลี่เชิงเท่านั้นที่เหลืออยู่ในโถงชีวิตนิรันดร์
“ข้าบอกให้เจ้ารั้งรอ เหตุใดจึงใจร้อนเช่นนี้?”
ซูฉินยกมือขวาขึ้น สายใยจากแก่นแท้แห่งพลังผสานเข้าไปกับร่างกายของจักรพรรดิถังหลี่เชิง
ทันใดนั้น จักรพรรดิถังหลี่เชิงก็ตัวสั่นไปทั้งตัว ร่างกายที่อ่อนล้าในตอนแรกเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
แก่นแท้แห่งพลังของขอบเขตอรหันต์มีผลในการชาระเส้นเอ็นล้างไขกระดูก ร่างกายของจักรพรรดิหลี่เชิงที่ได้รับสายใยจากแก่นแท้แห่งพลังไปก็เหมือนกับความแห้งแล้งได้น้ำหวานรดลงมาให้ชุ่มฉ่ำ ผิวที่ซีดเซียวก็เริ่มกลับมาแดงเปล่งปลั่ง
อย่างไรก็ตาม ซูฉินไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น
จักรพรรดิถังหลี่เชิงมีอาการทางใจ ไม่ใช่สาเหตุมาจากทางกาย
ช่วงเวลาต่อมา
ซูฉินเหยียดนิ้วชี้ออกไป ค่อยกดลงที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของจักรพรรดิถังหลี่เชิง
ราวกับว่ามีระฆังส่งเสียงดังก้อง จักรพรรดิถังหลี่เชิงพลัน รู้สึกว่าเขาได้ตื่นขึ้นจากอาการมึนงง
“นี่คือ?”
จักรพรรดิถังหลี่เชิงลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที
“ พี่สาม..”
เมื่อจักรพรรดิถังหลี่เชิงเห็นซูฉิน พระองค์ก็ผ่อนคลายลง
หลังจากนั้นไม่นาน
จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวอย่างอ่อนล้า “ดูเหมือนพี่สามจะเป็นคนช่วยข้าไว้”
แม้ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงจะตกอยู่ในอาการสลบไสลไม่ได้สติก่อนหน้านี้ แต่เขาพอจะรับรู้เรื่องราวภายนอกได้อย่างคลุมเครือ และทราบว่าซูฉินมาเพื่อช่วยเหลือตนเอง
“ไม่ได้ยากเย็นอะไรนักหรอก”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยและมองไปยังจักรพรรดิหลี่เชิงพร้อม ทั้งกล่าวว่า “เจ้าครองบัลลังก์มาเกือบสิบปีแล้ว แม้ว่ามันจะดูสงบนิ่ง แต่จริงๆ แล้วเจ้าไม่เคยพบพานกับความพ่ายแพ้ใดๆ เลย”
“พี่สามได้สั่งสอนข้าแล้ว…” จักรพรรดิหลี่เชิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ในตอนนี้เขาก็ตระหนักถึงปัญหาของตนเองเช่นกัน
ซูฉินเหลือบมองจักรพรรดิถังหลี่เชิงจากนั้นจึงหันหลังเดิน ออกจากโถงชีวิตนิรันดร์ไป
หลังจากที่ซูฉินจากไป
ขุนนางทั้งหลายก็รีบเข้ามา
“ฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทสบายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเหล่าข้าราชบริพารเห็นว่าจักรพรรดิหลี่เชิงฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ฮองเฮาซูเยว่หยุนยิ่งยินดียิ่งกว่า
“ฝ่าบาท ขอตรวจดูพระวรกายของพระองค์หน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ในเวลานี้หมอชราผู้หนึ่งก็พูดขึ้น
“ดูสิ”
จักรพรรดิถังพยักหน้าให้เล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน หมอหลวงก็ตรวจร่างกายของจักรพรรดิถังด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้”
“เป็นไปได้อย่างไร?”
“พลังชีวิตเต็มเปี่ยม มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
หมอชราผู้นี้ดูตกใจมาก ในสายตาของเขา แม้จักรพรรดิถังจะฟื้นขึ้นมา แต่ก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นสักพักหนึ่งจึงจะฟื้นตัว แต่ในตอนนี้ร่างกายและจิตใจของจักรพรรดิถังฟื้นตัวจนเป็นปกติแล้ว
“นี่มันทักษะการแพทย์อะไรกัน…”
หมอชราตะลึงงันด้วยความเหลือเชื่อ
หลังจากที่ซูฉินช่วยเหลือจักรพรรดิถังหลี่เชิงเอาไว้ เขาก็กลับไปที่ตําหนักชุนฝั่งขวาอีกครั้ง
“ใกล้ได้เวลาแล้ว”
“ข้าจะเริ่มทะลวงด่านได้เสียที”
ซูฉินนั่งขัดสมาธิและตัดสินใจ
ซูฉินได้ปรับสภาพสภาวะของเขาตั้งแต่ขึ้นมาถึงนภาชนที่สี่ขั้นสมบูรณ์แล้วเมื่อหลายเดือนก่อน และตอนนี้เกือบจะคงที่เต็มที่แล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูฉินก็หลับตาลงอย่างช้าๆ ลมปราณในร่างโคจรหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้นครึ่งวัน
รัศมีพลังของซูฉินก็เริ่มหดตัวควบแน่นเข้าหาแหล่งกําเนิดพลังเพียงจุดเดียว
ในทันทีหลังจากนั้น
ฟูววว!
กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งขึ้นจรดฟ้า จนเกือบจะทําลายกําแพงเขตแดนค่ายกลฟ้าดินที่ติดตั้งอยู่ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา
“ในที่สุดก็บรรลุระดับนภาชั้นที่ห้า…”
ซูฉินลืมตาขึ้น จิตใจผสานเข้ากับร่างกาย รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนเอง
คอมเม้นต์