ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) – ตอนที่ 4 กลับสู่การไปโรงเรียนอีกครั้ง
บทที่ 4 กลับสู่การไปโรงเรียนอีกครั้ง
เช้าวันรุ่งขึ้น มู่หรงเสวี่ยที่สวมกระโปรงสีขาวยาวประมาณเข่าเหมือนทุกทีค่อยๆเดินลงไปชั้นล่างของตัวบ้าน
บนโต๊ะทานอาหารชั้นล่าง มีอาหารเช้าสุดหรูที่หวู่หม่าตั้งใจตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างขึ้นมาเตรียมมัน บอกได้เลยว่า ใครก็ตามที่ได้เห็นอาหารพวกนี้จะต้องน้ำลายสอขึ้นมาในทันที
ถ้าถามว่าหวู่หม่าคือใครถึงได้ทำอาหารได้น่ารับประทานขนาดนี้ เธอก็คือลูกสาวของแม่บ้านรุ่นก่อนในตระกูลมู่หรงนั่นเอง เธออยู่ในตระกูลมู่หรงมาตั้งแต่เท้าเท่าฝาหอย เธอเป็นคนที่จงรักภักดีและเชื่อถือได้คนหนึ่ง
ตระกูลมู่หรงได้ปฏิบัติกับเธอเสมือนว่าเธอคือสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวมาตลอด
ในขณะที่ ด้านล่างของตัวบ้าน มู่หรงเฟิงหัวและจางเข่อเหรินได้นั่งประจำที่อยู่ก่อนแล้ว
“เสี่ยวเสวี่ย ลูกสบายดีแล้วเหรอ? ลูกอยากพักอีกสักสองสามวันไหม? ลูกค่อยไปโรงเรียนวันหลังก็ได้นะ” จางเข่อเหรินที่เห็นมู่หรงเสวี่ยเดินลงมาชั้นล่าง เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“คราวหน้าคราวหลังก็ระวังตัวหน่อยนะลูก อย่าทำให้แม่เขาต้องเป็นห่วงอีกล่ะ” ใบหน้าของมู่หรงเฟิงหัวที่มักจะเรียบนิ่งและขมวดคิ้วเป็นปมอยู่เสมอกล่าว น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังดูเข้มงวด แต่ความจริงแล้ว เขาเองก็เป็นห่วงเธอเหมือนกับ จางเข่อเหริน
“พ่อคะ แม่คะ เรื่องนั้น… หนูขอโทษจริงๆนะคะ เป็นเพราะหนู… ฮึก.. หนูเป็นเด็กไม่ดี หนูเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ยอมเชื่อฟังพ่อกับแม่ ฮืออออ…” หลังจากที่ได้ยินคำพูดที่ห่วงใยจากพ่อและแม่ มู่หรงเสวี่ยก็ไม่สามารถกั้นน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหลออกมาได้อีกต่อไป เธอรีบวิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ และกอบโกยไออุ่นที่ส่งผ่านมาทางอ้อมกอด
มู่หรงเฟิงหัวและจางเข่อเหรินที่ตัวสั่นเทิ้มไปพร้อมกัน แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความภูมิใจที่ครอบครัวของพวกเขาเริ่มมีความเข้าใจกัน
มู่หรงเสวี่ยดูอ่อนไหวมาก เธอไม่รู้เลยจริงๆว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เรื่องมันถึงได้มาลงเอยแบบนี้
ดูเหมือนว่าเสี่ยวเข่อลี่มักจะตัวติดอยู่กับมู่หรงเสวี่ยตลอด นับตั้งแต่ที่เธอย้ายเข้ามาในบ้านมู่หรงเมื่อสองปีก่อน
ตั้งแต่นั้นมาเธอแทบจะไม่ได้พูดคุยกับมู่หรงเฟิงหัวและจางเข่อเหรินอีกเลย บางครั้งก็ออกไปเที่ยวข้างนอก จะกลับเข้าบ้านอีกทีก็ดึกแล้ว ดังนั้นมู่หรงเฟิงหัวและจางเข่อเหรินจึงไม่ค่อยชอบเสี่ยวเข่อลี่สักเท่าไร สุดท้ายพวกเขาต้องเรียกตัวมู่หรงเสวี่ยเข้ามาคุยเรื่องนี้ และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการทะเลาะกันจนมันกลายเป็นเรื่องใหญ่โต การทะเลาะกันครั้งนั้นได้ทำให้ความสัมพันธ์ของครอบครัวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ในที่สุด ตอนนี้ เสี่ยวเสวี่ยก็เข้าใจความพยายามและความหวังดีของผู้เป็นพ่อเป็นแม่เสียที!
เมื่อได้เห็นว่าพ่อแม่ของเธออ่อนไหวมากขนาดไหน แค่เพียงคำพูดไม่กี่คำของอีกฝ่าย ทำให้มู่หรงเสวี่ยยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม
มู่หรงเสวี่ย! ทำไมในชีวิตที่แล้วเธอถึงได้โง่เง่าขนาดนี้นะ?
เธอได้ทำลายความรู้สึกของผู้เป็นที่รักเพื่อผู้ชายกับผู้หญิงสารเลว! บัดซบสิ้นดี!
ในชีวิตที่แล้วของเธอ มู่หรงเสวี่ยชอบให้เพื่อนๆอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มและห้ามมีใครทิ้งเธอเอาไว้ข้างหลัง มันเจ๋งมากที่ได้เข้ามาอยู่ใน KTV (ห้องคาราโอเกะ)
แก๊งที่ว่ามานี้ คือแก๊งของกลุ่มเพื่อนขี้เมาที่ชอบเที่ยวกลางคืน ถึงจะไม่มีใครกล้าทำอะไรเธอเพราะชื่อเสียงอันโด่งดังของเธอในฐานะคุณหนูมู่หรง แต่เพราะเธอมักจะถูกใครก็ไม่รู้แอบถ่ายรูปแล้วนำไปลงในอินเทอร์เน็ตอยู่บ่อยครั้ง ทำให้พวกคนชั้นสูงมองเธอในทางที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร แถมสมาชิกในครอบครัวของเธอก็ยังผิดหวังในตัวเธอมากกว่าเดิมเสียด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ทุกครั้งที่เธอได้เห็นรูปพวกนั้น มันไม่เคยมีรูปของเสี่ยวเข่อลี่อยู่ในนั้นเลยสักครั้ง
ตอนนี้ พอได้ลองคิดทบทวนดูแล้ว บางทีทุกอย่างอาจจะเป็นแผนของเธอเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อก็เป็นได้
“กินเข้าไปให้มันเยอะๆหน่อยสิลูก ตอนที่ลูกป่วย ลูกผอมลงไปเยอะเลยนะ” เพราะท่าทางของมู่หรงเสวี่ย จางเข่อเหรินได้แสดงความอบอุ่นด้วยการตักอาหารให้เธอ ฝ่ายมู่หรงเฟิงหัว ถึงไม่พูดอะไรให้มากความ แต่เขาก็ยังตักอาหารมาใส่จานเธอด้วยเช่นกัน
ช่างเป็นวันที่มีความสุขมากซะจนเธออยากจะกล่าวขอบคุณวันนี้เลย!
“พ่อคะ แม่คะ ถ้างั้น หนูไปโรงเรียนก่อนนะคะ” หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว หัวใจของมู่หรงเสวี่ยและพ่อแม่เธอต่างก็เต็มไปด้วยความรัก หลังจากที่กล่าวลาพ่อกับแม่แล้ว เธอถือกระเป๋านักเรียนและเดินไปที่ประตูบ้าน
มู่หรงเสวี่ยเพิ่งจะก้าวออกมาจากประตูได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็เห็นคนท่าทางสดใสคนหนึ่งกำลังยืนรออยู่ที่ประตูรั้ว ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยค่อยๆปรับแสงให้มองเห็นร่างร่างนั้นได้ชัดเจนขึ้น และคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือ เสี่ยวเข่อลี่!
ทันทีที่ได้เห็นอีกฝ่าย ความรู้สึกเกลียดชังที่ซึมเข้าไปในกระดูกดำจากชีวิตที่แล้วได้แผ่ออกมาจนเธอแทบจะปิดมันเอาไว้ไม่อยู่
“เสี่ยวเสวี่ย! กว่าเธอจะออกมาได้นะ ฮึ่ย รู้ไหมว่าฉันยืนรอเธอจนปวดขาไปหมดเนี่ย!” เสี่ยวเข่อลี่เบ้ปากเล็กน้อย ใบหน้าที่เดิมทีก็น่ารักอยู่แล้ว ทำหน้าเหมือนคนกำลังบ่น แต่มันกลับดูน่ารักมากกว่าเดิม เพียงแต่ในนั้นกลับมีสายตาที่อิจฉาเจือปนอยู่เล็กน้อย
“โอ๊ะ จริงด้วย ไปกันเถอะ ไม่งั้นพวกเราไปสายแน่!” มู่หรงเสวี่ยรีบเดินตรงขึ้นไปบนรถทันที โดยไม่สนใจอาการปวดขาของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ในชีวิตที่แล้ว เสี่ยวเข่อลี่มักจะยืนรอเธออยู่ที่ประตูมาตลอด บ่อยครั้งที่เธอบ่นว่าตัวเองปวดขาหลังจากที่ต้องยืนรอนานๆ และชอบย้ำกับเธอเรื่องที่พวกเธอควรจะอยู่ด้วยกัน บ่อยซะจนเธอต้องเอ่ยปากชวนให้อีกฝ่ายให้ย้ายมาอยู่ในตึกใหญ่ด้วยกันกับเธอ
มู่หรงเสวี่ยยกห้องที่อยู่ข้างๆห้องตัวเองให้เป็นห้องส่วนตัวของเสี่ยวเข่อลี่ มิหนำซ้ำยังตกแต่งห้องให้อย่างสวยให้อีกต่างหาก
ว่ากันตามตรง เสี่ยวเข่อลี่ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ย้ายมาอยู่ในตึกใหญ่เลยด้วยซ้ำ!
ที่ตึกใหญ่เป็นบ้านของคนในตระกูลมู่หรง เสี่ยวเข่อลี่เป็นแค่คนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าแต่ได้พักอยู่ที่เรือนรับรองหลังเล็กที่มีไว้สำหรับรับรองแขก โดยที่มันอยู่ห่างจากตึกใหญ่พอสมควร
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเสี่ยวเข่อลี่เป็นคนฉลาดไม่น้อย เธอรู้วิธีใช้เงื่อนไขของตัวเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เธอคิดทุกคำพูดและทุกการกระทำด้วยแรงกระตุ้นที่แตกต่าง
ถ้าไม่ใช่เพราะมู่หรงเสวี่ยได้รู้ถึงธาตุแท้ของเธอแล้ว อีกฝ่ายคงคิดไม่ถึงว่าเธอจะรู้เป้าหมายที่แท้จริงของเธอง่ายขนาดนี้
ครั้งนี้ เธอจะไม่ให้เสี่ยวเข่อลี่ได้เข้ามาอยู่ที่ตึกใหญ่อีกแล้ว แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงอีกเลย ตอนนี้เธอได้เห็นความน่ารังเกียจของเสี่ยวเข่อลี่แล้ว แล้วอย่างนี้เธอจะไปอยากอยู่กับเสี่ยวเข่อลี่ได้ยังไงกันล่ะ?
เสี่ยวเข่อลี่หุบยิ้มลงในทันที จากนั้นก็รีบวิ่งตามไปที่รถ
“คุณหนู คุณเสี่ยว เชิญขึ้นรถเลยครับ” คนขับรถหวังเปิดประตูและกล่าวทักทายอย่างสุภาพกับมู่หรงเสวี่ย
“ขอบคุณนะคะลุงหวัง วันนี้ก็ตั้งใจทำงานนะคะ” มู่หรงเสวี่ยส่งยิ้มและพยักหน้าให้คนขับรถหวัง
คนขับรถหวังรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินคำพูดนี้ เพราะคุณหนูมักจะเมินเขา แถมไม่เคยพูดดีๆกับเขามานานมากแล้ว ถึงเขาจะไม่ค่อยพอใจเธอที่ทำตัวแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็คอยเฝ้ามองคุณหนูเติบโตมาตั้งแต่ยังเล็ก ฉะนั้นไม่ว่าเธอจะตั้งใจทำหรือไม่ตั้งใจทำก็ตาม ความรักที่เขามีต่อคุณหนูกลับไม่เคยน้อยลงจากเดิมเลย
ส่วนเสี่ยวเข่อลี่ที่ขึ้นรถไปแล้วกลับรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่
ทำไมอยู่ดีๆมู่หรงเสวี่ยถึงได้พูดจาสุภาพขึ้นมาได้กันล่ะ?
เธอไม่ใช่คนที่อบอุ่นแบบตอนนี้ เธอดูไม่เหมือนเดิมเลย แปลกจัง
ก่อนหน้านี้เธอจะใช้เวลาด้วยกันเสมอและเธอก็มักจะแสดงตัวว่าเป็นคุณหนูของตระกูลมู่หรงเสมอ เธอจะเว้นระยะห่างกับพวกคนรับใช้ เพราะไม่อย่างงั้น เธอจะรู้สึกเสียหน้าที่ได้อยู่ในตระกูลมู่หรง เธอมักจะทำตัวเย็นชากับพวกคนรับใช้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสุภาพกว่าแต่ก่อนเนี่ยนะ? อย่าประเมินคนรับใช้พวกนี้ต่ำไป บางครั้งคนพวกนี้แหละที่ถูกคนนอกชักจูงไปง่าย
“เสี่ยวเสวี่ย ทำไมวันนี้เธอดูซีดเซียวจัง? ทำไมเธอไม่ใส่สีแดงล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยที่เพิ่งจะหายไข้ในชุดสีขาวประกอบกับผิวที่ขาวนวลดูสวยสง่ามาก นอกจากนี้อารมณ์ที่นิ่งของเธอได้ดึงดูดความสนใจของคนอื่นไปโดยไม่ทันตั้งตัว ขนาดเสี่ยวเข่อลี่เองก็ยังเทียบไม่ติด เสี่ยวเข่อลี่แอบกัดฟันกรอดแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้เธออยู่ดี
ในอดีต เสี่ยวเข่อลี่เคยบอกมู่หรงเสวี่ยว่า ถ้าเธอใส่สีแดงแล้วจะดูสวยขึ้นกว่าเดิมมาก และเธอก็มักจะทำตามคำแนะนำของอีกฝ่ายเสมอ
มู่หรงเสวี่ยที่ใส่ชุดสีแดงหลายเฉดสีมาตลอดทั้งปี แต่อยู่ดีๆวันนี้ก็ใส่สีขาวเนี่ยนะ? ถามจริง?
ไม่ใช่ว่ามู่หรงเสวี่ยใส่ชุดสีแดงแล้วไม่สวย ตรงกันข้าม เธอใส่แล้วดูดีมากจริงๆ เพียงแต่การใส่ชุดสีขาวนั้นเข้ากับบุคลิกของมู่หรงเสวี่ยมากกว่า นอกจากนี้มู่หรงเสวี่ยที่ชอบใส่สีแดงมักจะถูกคนในโรงเรียนวิจารณ์อยู่ตลอด แต่กับเสี่ยวเข่อลี่ที่มักจะสวมชุดที่หรูหราและสวยงามยืนอยู่ข้างๆก็มักจะดูโดดเด่นกว่าตลอด กล่าวคือ โดยปกติแล้ว มู่หรงเสวี่ยมักจะถูกคนอื่นดูถูกตลอดนั่นเอง
“ก็แค่เบื่อสีแดงแล้ว” มู่หรงเสวียหันกลับมามองด้วยดวงตาที่เหมือนจะมองทะลุทุกอย่างได้ ทำให้เสี่ยวเข่อลี่ถึงกับตัวสั่นเบาๆแบบคิดไม่ถึง
หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยได้ละสายตาไปเพื่อปรับอารมณ์ ระหว่างนั้น เสี่ยวเข่อลี่ได้จ้องมาที่มู่หรงเสวี่ยอยู่ ถึงจะไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่มู่หรงเสวี่ยก็ขี้เกียจสนใจเธอแล้ว
ยังไงตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะได้ฉีกหน้ากากอยู่ดี ฉันจะค่อยๆทำให้เธอตกนรกทั้งเป็น! หึ แค่เสียหน้าแค่นี้ มันชดใช้สิ่งที่เธอเคยก่อไว้ไม่ได้หรอกนะยะ!
คอมเม้นต์