ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) – ตอนที่ 15 นี่ฉันได้พบกับตัวร้ายหรือวีรบุรุษที่ช่วยสาวงามกันแน่นะ
บทที่ 15 นี่ฉันได้พบกับตัวร้ายหรือวีรบุรุษที่ช่วยสาวงามกันแน่นะ
หลังจากนั้นไม่นาน หวังหยานยังใช้ความสามารถของตนปลอบใจเสี่ยวเข่อลี่ต่อ ส่วนโม่อ้ายลี่ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เธอไปที่ร้านอาหารจีนของหยางเฟิง
ระหว่างทาง โม่อ้ายลี่ได้พูดคุยกับมู่หรงเสวี่ย “มู่หรงเสวี่ย พูดตามตรง ญาติของเธอคนนั้นน่ะแสดงเก่งจริงๆ น้ำตาพวกนั้นมีแต่จะสร้างเรื่องให้เธอทั้งนั้นเลย เหอะ มีญาติที่ไหนเขาทำกันแบบนี้ คิดว่าตัวเองกำลังเล่นละครอยู่รึไงนะ”
มู่หรงเสวี่ยตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ฮ่าๆ เราอย่าไปยุ่งกับเขาเลย มาๆๆ เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปกินของอร่อยๆนะ”
“จัดไป! … ว่าแต่ พวกเราจะไปกินข้าวกันที่ไหนดีล่ะ?” เมื่อพูดถึงอาหาร โม่อ้ายลี่จะกลายเป็นเสี่ยวไป๋ทันที
เมื่อเห็นสายตาเป็นประกายอย่างบ้าคลั่งของคนตรงหน้าแล้ว ขอบอกเลยว่า มันทำให้มู่หรงเสวี่ยมีความสุขมาก “คุณโม่คะ ของแบบนี้มันแน่อยู่แล้ว ก็ร้านของหยางเฟิงไง!”
“เดี๋ยวๆๆ ถ้างั้น คุณโม่ขอถามคุณมู่หน่อยนะคะ คุณมู่เป็นคนออกตัวว่าไม่ได้ชอบคุณหยาง แต่ทำไมคุณมู่ถึงได้ชอบเข้าใกล้คุณหยางอยู่ตลอดเลยล่ะค้าาา?” โม่อ้ายลี่เปิดโหมดอยากรู้อยากเห็น
มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะจ้องคนตรงหน้า “อะแฮ่ม! มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ แต่ว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอก อีกอย่าง ฉันไม่ค่อยอยากพูดถึงมันเท่าไร ถ้าฉันเล่าให้เธอฟัง เธอจะต้องหัวเราะฉันแน่เลยอ่ะ”
“นี่ เธอรู้อะไรไหม ถ้าเธอมีเรื่องอะไรก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ เธอไม่จำเป็นต้องปิดบังฉันหรอกนะ ตราบใดที่เธอยังเลี้ยงอาหารอร่อยๆฉันทุกวัน ฉันก็จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด”
หือ ปิดบังอะไรกัน? โม่อ้ายลี่ นี่เธอไปรู้เรื่องอะไรมา? แต่ถึงอย่างนั้น มู่หรงเสวี่ยกลับคิดว่าอธิบายไปอีกฝ่ายก็คงไม่เข้าใจ! เรื่องที่โม่อ้ายลี่ถูกคนอื่นล่อลวงด้วยอาหารอร่อยๆได้ง่ายๆ มันเป็นเรื่องจริงเหรอ? มู่หรงเสวี่ยนึกสงสัย
“พวกเธอมีเรื่องอะไรกันเหรอ?” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
โม่อ้ายลี่หันกลับไปและเห็นว่าคนคนนั้นคือหยางเฟิง เธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดแซวเขา “โอ้ เจ้าชายรูปงามของใครก็ไม่รู้มาแล้ว”
มู่หรงเสวี่ยเตะโม่อ้ายลี่เบาๆหนึ่งครั้งให้เธอหยุดเล่น “ตลอดเวลาผ่านมา ฉันก็ชอบเล่นตลกกับตัวเองนะ แต่ฉันดันไปรู้จักกับคนนิสัยไม่ดีแบบเธอเข้า ฉันนี่มันหน้ามืดตามัวจริงๆ”
หยางเฟิงพูดขัดขึ้นมา “พวกเธอพูดภาษาต่างดาวกันอยู่เหรอ? ถ้างั้นก็ช่วยพูดภาษาคนหน่อยได้ไหม? เอาแบบที่คนอื่นเข้าใจได้ด้วยอ่ะ วันนี้ฉันว่าง พวกเราไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหม?”
“ได้! ไปสิ! แต่นายเลี้ยงนะ?” หญิงสาวทั้งสองตอบตกลง
“ฮ่าฮ่า พวกเธอนี่น่าสนใจจริงๆ ได้เลย ไม่มีปัญหา ฉันเลี้ยงเอง”
คนทั้งสามเดินพูดคุยหยอกล้อกันไปตลอดทาง เสียงหัวเราะสนุกสนานส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆจนเข้าหูของเสี่ยวเข่อลี่ ตอนนี้ ถ้ามีใครเห็นท่าทางของเธอเข้า คนคนนั้นจะได้เห็นความอิจฉาผ่านสายตาของเธอด้วย
เวลาในห้องเรียนผ่านไปไวเหมือนโกหก หลังจากย้ายมาอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์เธอก็ไม่ได้ใช้รถไปโรงเรียนอีก และวันนี้ก็เช่นกัน
หลังเลิกเรียน มู่หรงเสวี่ยที่ก้าวเดินไปเพียงลำพังตามถนน พลางมองตึกสูงระฟ้าทั้งสองฝั่ง แล้วมองการจราจรที่ผ่านไปมาอยู่ตรงกลางถนน ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลิน มู่หรงเสวี่ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าในชีวิตที่แล้วเธอนั้นหลงใหลในตัวของฟางฉีฮัวนานกว่า 10 ปี มันเป็นทั้งความรักและความเกลียดที่ไม่มีวันลืม สุดท้ายเธอก็รู้ความจริง ขนาดเธอเองก็ยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
ลมหนาวที่พัดผ่านมาทำให้มู่หรงเสวี่ยที่สวมแค่เสื้อกั๊กหนึ่งตัวรู้สึกหนาวขึ้นมา และเธอก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเดินไปเจอซอยตันเข้าแล้ว
โดยไม่ทันตั้งตัว มู่หรงเสวี่ยได้พบกับผู้ชายหกคน เส้นผมสีทองและกำลังพ่นลมอยู่ตรงหน้าเธอ ทั้งหกคนสูบบุหรี่พร้อมมองเธอด้วยสายตาลามก
“โอ๊ะโอ๋ นี่เธอหลงทางเหรอจ๊ะสาวน้อย? ฮ่าๆๆ สนใจมาเล่นกับพวกพี่หน่อยไหมจ๊ะ” หนึ่งในพวกนักเลงพูดขึ้นมาด้วยปากใหญ่คล้ายกับปลิง หน้าขาวและสายตาลามก
ใบหน้าของมู่หรงเสวี่ยหม่นหมอง นี่มันเหมือนกับเหตุการณ์ในชีวิตที่แล้วเลยนี่หว่า! แต่มันเกิดขึ้นล่วงหน้า 3 เดือน แถมสถานที่ก็เปลี่ยนไปด้วย หรือเป็นเพราะเธอกลับมาเกิดใหม่?!
มู่หรงเสวี่ยมองออกไปนอกซอยและเห็นฟางฉีฮัวที่อีกฝั่งถนน อันที่จริงแล้วเพื่อที่จะได้เข้าใกล้เธอ เขาจึงคิดแผนสกปรกนี้ขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะการเกิดใหม่ของเธอ เธอคงไม่คิดว่านี่เป็นแผนของฟางฉีฮัวเพื่อที่จะให้ได้ใกล้ชิดเธอ แต่เธอจะเปิดโอกาสให้เขาทำแบบนั้นได้ยังไง? ค่อยดูละกัน
มู่หรงเสวี่ยมองพวกนักเลงหัวทองทั้งหกด้วยสายตาอำมหิต “พวกนายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? กล้าดียังไงถึงได้มาขวางทางฉันแบบนี้ ฉันขอแนะนำให้พวกนายหลีกทางไปดีกว่า แค่ฉันกระดิกนิ้ว ตระกูลมู่หรงก็จะจัดการพวกนายทุกคน ฉันว่านะ พวกนายคงไม่อยากเข้ามายุ่งด้วยหรอก”
เอ๋ ภาพลักษณ์ของสาวน้อยอ่อนแอแบบเมื่อกี้หายไปไหนแล้วล่ะ? ไหนจะท่าทางดุร้ายแบบนี้ แถมยังกล้าขู่กลับอีก ดูแล้วอีกฝ่ายไม่น่าจะใช่คนที่จะถูกแกล้งง่ายๆซะแล้วสิ ถอยก่อนดีกว่า! ชายผมทองเริ่มใจเสาะ
แน่นอนว่า ถ้าพวกเขารู้จักมู่หรงเสวี่ย และคำขู่ของเธอรุนแรงใช้ได้ พวกเขาไม่กล้าลงมือจริงๆหรอก
ฟางฉีฮัวรีบเดินมาหามู่หรงเสวี่ย เมื่อเห็นเหตุการณ์เมื่อนี้ เขาตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็รีบปรับสีหน้าและเป็นการแสดงความเป็นห่วงแทนแล้วถามว่า “เสี่ยวเสวี่ย เธอเป็นอะไรไหม? บาดเจ็บรึเปล่า?”
อะไรนะ? ฉันไม่รู้จักนาย โอ๊ยยยย ขอร้องล่ะ อย่าเข้ามาใกล้ฉันอีก ได้ไหม? เธอคิดในใจด้วยหัวใจที่เยือกเย็น
“ตอบ! ใครเป็นคนส่งพวกนายมา?! เอางี้ บอกมาใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ฉันจะจ่ายให้พวกนายเป็นสองเท่าเลยดีไหม?” สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปทันที
ชายผมทองมองไปที่ฟางฉีฮัวด้วยความคลุมเครือ “เบื้องหลัง? เบื้องหลังอะไรกัน? เธอบอกว่าเธอเป็นคนในตระกูล มู่หรงใช่ไหมล่ะ พวกเราเชื่อนะ ถ้างั้นพวกเราควรเร่งมือหน่อย ถ้าฉันพอใจแล้ว ฉันจะยอมปล่อยเธอไปก็แล้วกัน” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงหื่นกามพร้อมกับหัวเราะออกมา
“ไม่ต้องห่วงนะเสี่ยวเสวี่ย ฉันไม่ปล่อยให้ไอ้พวกนั้นทำร้ายเธอเด็ดขาด” พูดจบ ฟางฉีฮัวก็จ้องหน้าชายผมทองราวกับกำลังเตือนอีกฝ่าย พร้อมกับก้าวไปข้างหน้าเพื่อปกป้อง มู่หรงเสวี่ยที่ยืนอยู่ข้างหลัง
มู่หรงเสวี่ยพูดเยาะเย้ย “หึ ฉันขอแนะนำให้นายหนีไปดีกว่านะ อีกไม่ถึงสามนาทีตำรวจก็จะมาถึงที่นี่แล้ว”
“เวร! ยัยนี้มีของไฮเทคแบบนั้นด้วยเหรอวะ ไปพวกเรา เผ่น!” ชายผมทองไม่สงสัยในคำพูดของมู่หรงเสวี่ยเลยแม้แต่น้อย เขารีบหันหลังแล้ววิ่งหนีไปทันที
“เสี่ยวเสวี่ย โทรศัพท์ของเธอทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ? ดีแล้วนะ หลังจากนี้ ฉันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของเธอแล้ว” ฟางฉีฮัวกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“น..นายอย่ามาเรียกฉันว่าเสี่ยวเสวี่ยนะ! พวกเราไม่ได้สนิทกันซะหน่อย แล้วเมื่อกี้ ฉันก็แค่โกหกคนพวกนั้นเฉยๆ มันก็แค่มือถือธรรมดาเท่านั้นแหละ ตาทึ่ม!” มู่หรงเสวี่ยเห็นฟางฉีฮัวทำหน้าอึ้ง จึงรู้สึกตลกอีกฝ่าย
“อ่า? แต่ว่าฉันดีใจนะที่ทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นมาได้ ฮ่าฮ่าฮ่า!” จากนั้น ฟางฉีฮัวตัดสินใจว่าวันนี้เขาจะไปส่งมู่หรงเสวี่ยที่บ้าน
มู่หรงเสวี่ยได้ปฏิเสธฟางฉีฮัวที่ต้องการไปส่งเธอที่บ้านไป จากนั้นก็เรียกแท็กซี่แล้วขึ้นไปบนรถโดยไม่หันกลับมามองอีกฝ่ายเลย
ด้านฟางฉีฮัวที่ยื่นมองแท็กซี่ขับออกไป นัยน์ตาของเขาขยายกว้างลึกขึ้นอย่างกับเหวนรกที่ไม่มีใครหนีพ้น จู่ๆรอยยิ้มที่ไม่ค่อยชัดเจนนักก็ได้ปรากฏออกมา “น่าสนใจจริงๆ” หลังจากนั้น ฟางฉีฮัวก็หันหลังกลับและเดินจากไป…
คอมเม้นต์