ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) – ตอนที่ 23 ชูอี้เสิ่นเจ็บตัวอีกแล้ว!
บทที่ 23 ชูอี้เสิ่นเจ็บตัวอีกแล้ว!
“นี่ ลูกพี่ลูกน้อง ก็ฉันอยากมีเรื่องกับเธออ่ะ นายจะทำไม? ฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องของนายนะ ทำไมนายไม่ช่วยฉันเล่า” หลินจื่อชิงกล่าว แต่สายตากับจับจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยอย่างไร้ความปรานี
มู่หรงเสวี่ยเต็มไปด้วยความสับสน ไม่ใช่ฉันเหรอที่ต้องถามคนที่ไม่มีเหตุผลว่า ทำไมถึงได้มาจ้องฉันแบบนั้น! จ้องกันอยู่ได้! จ้องฉันทำไมนักหนา!
“อย่าบ่นได้ไหม นี่เธอจะขโมยหินคนอื่นไม่พอ ยังจะสร้างปัญหาอีกเหรอ ถ้าเป็นเรื่องขึ้นมา เธอคิดว่าตัวเองจะจัดการมันไหวไหม?” หยางเฟิงกล่าวเตือนแบบขอไปที
ดวงตาของหลินจื่อชิงเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความขุ่นเคือง เมื่อก่อน เธอก็จัดการกับผู้หญิงที่เข้ามาวนเวียนอยู่รอบตัวลูกพี่ลูกน้องแบบนี้ แต่เธอไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายพูดจาใจร้ายแบบนี้เลยสักครั้ง
แต่ตอนนี้ เขากลับบอกว่าเธอขโมยหินของคนอื่น ทั้งๆที่เธอพยายามช่วยเขาแท้ๆ แต่กลับถูกดุ… คำพูดพวกนั้นมันทำให้ลึกๆแล้ว เธอรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
“เธอยังไม่ได้จ่ายเงินเลยนะ นายจะมากล่าวหาว่าฉันขโมยของคนอื่นได้ยังไง…”
มู่หรงเสวี่ยไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งสนใจหลินจื่อชิง จึงพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“คุณหลินจื่อชิง กฎของสวนหินพนัน ไม่ว่าจะเป็นหินหรือเงิน ถึงคุณจะชื่นชอบมันมากขนาดไหน ก็ไม่มีสิทธิ์มาแย่งของคนอื่นนะ เข้าใจไหม?”
หลังจากนี้ มู่หรงเสวี่ยไม่อยากเห็นหน้าพวกเขาอีก เธอได้แต่คิดว่าวันนี้เป็นวันอะไร ทำไมถึงได้ซวยขนาดนี้เนี่ย!
“พี่กู่ ไปชำระเงินกันเถอะค่ะ พี่นำบัตรนี้ไปจ่ายเงินนะคะ ส่วนฉันจะรอพี่อยู่ตรงนี้” พูดจบ มู่หรงเสวี่ยก็ได้หยิบแบล็คการ์ดสีทองออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้กู่หมิง
“ได้เลย” กู่หมิงไม่พูดให้มากความ รับบัตรจากคนตรงหน้า และเข็นรถเข็นไปยังเคาน์เตอร์ชำระเงินในทันที
“เสี่ยวเสวี่ย เธอจะกลับแล้วเหรอ? พวกเราไปทานอาหารเย็นด้วยกันไหม หยางเฟิงมองดูมู่หรงเสวี่ยที่กำลังจะกลับพร้อมกับเอ่ยถาม
มู่หรงเสวี่ยเหลือบมองหลินจื่อชิงที่ยืนถัดจากหยางเฟิง อีกฝ่ายเห็นเธอเป็นศัตรูขนาดนี้ เธอคงไม่อยากเห็นสายตาดูถูกแบบนั้นอีก
“ไม่ดีกว่า วันนี้ฉันไม่สะดวก เอาไว้คราวหน้านะ”
หยางเฟิงเห็นท่าทางไม่เต็มใจของมู่หรงเสวี่ย วันนี้เขามีลูกพี่ลูกน้องตามมาด้วย คงไม่เหมาะจริงๆ เขาควรชวนเธอวันหลังมากกว่า
“งั้นเจอกันที่โรงเรียนพรุ่งนี้นะ” หยางเฟิงกล่าว
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าตอบแล้วเดินไปที่ประตูทางออก ระหว่างนั้นเธอได้เดินผ่านหน้าฟางฉีฮัวไป
ดูเหมือนว่าเขากำลังจะเปิดปากพูดอะไรสักอย่าง แต่ มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจว่าเขาจะทำอะไร เดินออกไปทันที ส่วนเสี่ยวเข่อลี่กลับเป็นคนที่รอให้เธอออกไปจากที่นี่เร็วๆแทบไม่ไหว
หลังจากนั้นไม่นาน กู่หมิงที่ชำระเงินเสร็จแล้ว ส่งหินไปให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะจัดการต่อ เนื่องจากว่า โดยปกติแล้ว ถ้าผู้ซื้อซื้อหินในจำนวนที่มากพอ ทางร้านจะมีบริการจัดส่งหินให้ถึงที่
“พวกเรากลับไปที่บริษัทกันเถอะค่ะ” มู่หรงเสวี่ยหันไปพูดกับกู่หมิงที่พึ่งเดินมาถึง
บริษัท เจวี๋ยลี่กรุ๊ป
มู่หรงเสวี่ย กู่หมิงขึ้นลิฟต์พิเศษจากชั้นหนึ่งที่ขึ้นไปถึงออฟฟิศของท่านประธานที่อยู่ชั้น 9 เรื่องนี้ได้สร้างความสนใจให้กับพนักงานในออฟฟิศไม่น้อย
เนื่องจากว่าไม่มีพนักงานคนไหนในเจวี๋ยลี่กรุ๊ปไม่รู้จัก กู่หมิง ในฐานะประธานของเจวี๋ยลี่กรุ๊ปที่มีอายุเพียง 30 ปี พวกพนักงานไม่เคยเห็นว่าประธานของเขาจะมีผู้หญิงมาวนเวียนอยู่รอบตัวเขามาก่อน
ในสายตาของเหล่าพนักงานหญิงในเจวี๋ยลี่กรุ๊ป เขาเหมาะสมกับคำว่าใบปริญญาทองคำ แถมยังเป็นหุ้นส่วนในอุดมคติของใครหลายๆคนอีกด้วย
ไม่แปลกที่เห็นเจ้าชายพราวเสน่ห์ของพวกเธอจะพาเด็กสาวอายุ 15 ไปที่ออฟฟิศประธาน ที่พวกเธอไม่เคยเห็นผู้หญิงอยู่รอบตัวประธาน เป็นเพราะเขาชอบเด็กสาวสินะ?!
ทั้งสองคนมาถึงออฟฟิศประธานโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองได้กลายเป็นประเด็นร้อนของพนักงานทั้งบริษัทไปแล้ว
“พี่กู่บริหารบริษัทได้สุดยอดมากเลยค่ะ ฉันเลือกคนไม่ผิดจริงๆ”
“เสี่ยวเสวี่ย ฉันแค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น จริงๆฉันควรจะขอบคุณเธอที่มอบชีวิตใหม่ให้ด้วยซ้ำ…”
“พี่กู่ ฉันเคยบอกพี่ว่าไม่ต้องสุภาพไงคะ พูดไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ชินเองค่ะ อ้อ จริงด้วย ที่ฉันมาที่บริษัทวันนี้ ฉันมีเรื่องจะปรึกษาพี่” มู่หรงเสวี่ยนึกถึงเรื่องเมื่อสองวันก่อนขื้นมาได้
นั่นคือที่ดินที่ตงหวนลู่ แต่ตอนนี้มันเป็นแค่ที่รกร้าง ปกติจึงไม่มีใครซื้อที่ดินตรงนั้น ทำให้ที่ดินมีราคาถูกมาก
แต่อีกหนึ่งปี จะมีนโยบายทางรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมระหว่างตะวันออกและตะวันตก โดยจะถูกสร้างขึ้นใน ตงหวนลู่ ตรงนั้นก็จะเริ่มเจริญขึ้น และมูลค่าที่ดินก็จะเพิ่มขึ้นหลายพันเท่า
ในชีวิตที่แล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ฟางฉีฮัวก็ได้ครอบครองที่ตรงนั้น เธอไม่รู้ว่าเขาไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ไหน ถ้ามันมาจากมุมมองของเขาทั้งหมด การที่เขาเห็นโอกาสในการพัฒนาของที่ตรงนั้น ดูจะเก่งเกินไปหน่อยแล้ว
มู่หรงเสวี่ยจำเป็นต้องปกป้องที่ตรงนั้นเอาไว้ เพราะที่ตรงนั้นทำประโยชน์ให้กับฟางฉีฮัวมากเกินไป และมันเป็นก้าวสำคัญสำหรับฟางฉีฮัวที่จะไปสู่จุดสูงสุด
ในชีวิตนี้ เธอถึงได้อยากซื้อที่ในตงหวนลู่
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” กู่หมิงนึกสงสัย
“ที่ดินที่ตงหวนลู่พรุ่งนี้พี่ลองไปดูนะคะ ถ้าพี่ซื้อที่ได้ พี่ซื้อมาให้หมดเลยนะคะ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินนะคะ ฉันยังมีเงินเก็บอยู่ห้าร้อยล้าน ฉันจะเอาเงินไปลงทุนกับที่ดินในตงหวนลู่ทั้งหมดเลย แล้วก็ สำนักงานใหญ่ของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปก็จะย้ายไปที่นั่นด้วยค่ะ”
“เสี่ยวเสวี่ย คือว่าเท่าที่ฉันรู้มา ที่ตรงนั้นมันเป็นพื้นที่รกร้างไม่ใช่เหรอ ถึงการจราจรจะดีกว่าเมื่อก่อนก็เถอะ ฉันขอถามเหตุผลได้ไหมว่าทำไมเธอถึงได้อยากให้ฉันซื้อที่ดินตรงนั้น” กู่หมิงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามู่หรงเสวี่ยมีเงินไม่น้อย แต่เขาก็ไม่อยากให้เธอใช้มันพร่ำเพรื่อ
ในความคิดของกู่หมิง มู่หรงเสวี่ยเป็นคนที่มั่นใจและกล้าหาญ แต่ถึงยังไง เธอก็เป็นแค่เด็กสาวอายุ 15 เขากลัวว่าเธอจะทำพลาดและมานั่งเสียใจในภายหลัง
“พี่กู่ ฉันรู้ว่าพี่เป็นห่วง แต่ฉันมีเหตุผลส่วนตัวค่ะ เอาเป็นว่า พี่แค่ซื้อที่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่พี่จะทำได้ก็พอค่ะ อีกหนึ่งปีข้างหน้า พี่ก็จะเข้าใจเองว่าทำไมฉันถึงให้พี่ซื้อที่ดินตรงนั้น”
“เสี่ยวเสวี่ย ฉันอยากรู้เหตุผล…”
มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าถ้าเธอไม่บอกเหตุผลให้เขารู้ เธอก็จะโน้มน้าวให้กู่หมิงไปซื้อที่ดินตรงนั้นไม่ได้เช่นกัน
“งั้นฉันจะบอกความจริงกับพี่ก็ได้ ในอีกหนึ่งปี ราคาที่ดินตรงนั้นจะสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ถ้าถามว่าทำไมฉันถึงรู้เรื่องนี้ ก็เพราะหนึ่งปีให้หลัง รัฐบาลจะสร้างทางรถไฟความเร็วสูงจากตะวันตกไปตะวันออก และที่ดินตรงนั้นจะกลายเป็นจุดศูนย์กลางของตงหวนลู่ยังไงละคะ ที่นี้ พี่เข้าใจรึยัง?”
ดวงตาของกู่หมิงถึงกับหรี่ลง แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าที่ดินตรงนั้นจะมีราคาสูงขนาดไหน ถ้าเปิดเส้นทางที่นั่นจริงๆ
เห็นว่ามู่หรงเสวี่ยรู้เรื่องนี้ ดูเหมือนว่าครั้งนี้ เขาจะประเมินความสามารถของมู่หรงเสวี่ยต่ำเกินไปจริงๆ
“เข้าใจแล้ว พรุ่งนี้ ฉันจะไปจัดการเรื่องที่ดิน”
จากนั้นมู่หรงเสวี่ยและกู่หมิงก็ได้พูดคุยเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องบริษัทเจวี๋ยลี่ โดยใช้เวลานานถึงสองชั่วโมง
ในตอนที่มู่หรงเสวี่ยกลับมาถึงอะพาร์ตเมนต์เธอก็เข้าไปในมิติทันที เมื่อเห็นผักกับผลไม้ที่โตเต็มที่ ทันใดนั้น ภาพของคุณปู่และคุณย่าก็แล่นเข้ามาในความคิดของเธอ
จากนั้น มู่หรงเสวี่ยก็ลงมือเก็บผักผลไม้ และเดินทางไปคฤหาสน์ของคุณปู่
“ยินดีต้อนรับค่ะ คุณหนู” ก่อนที่เท้าจะก้าวข้ามประตูไป คนรับใช้ที่สายตาเฉียบคมเอ่ยทักทายเธอด้วยความดีใจ คนรับใช้ในบ้านคุณปู่เอ็นดูมู่หรงเสวี่ยมาก
ตอนที่เธอยังเป็นเด็ก มู่หรงเสวี่ยมักจะมาอาศัยอยู่กับคุณปู่และคุณย่า แต่พอเธออายุมากขึ้น เธอก็ยังไม่ยอมไปโรงเรียนจนกว่าเธอจะอายุมากกว่านี้
มู่หรงเสวี่ยเล่นกับคนรับใช้ในบ้านบ่อยมาก เพราะเธอไม่จำเป็นต้องอยู่ในกฎระเบียบเหมือนตอนอยู่ที่โรงเรียน
“เสี่ยวเสวี่ย ทำไมหลานถึงไม่มาให้ย่าเห็นหน้าเห็นตานานขนาดนี้ล่ะลูก?” คุณย่ามู่หรงที่กำลังเบื่อหน่าย ได้ยินคนรับใช้พูดว่าคุณหนูมาที่นี่ ก็รีบเดินออกมาจากห้อง
ทันทีที่คุณย่าเห็นหน้ามู่หรงเสวี่ย เธอก็โผเข้ากอดหลานสาวด้วยความรักความคิดถึง
คุณปู่มู่หรงที่เดินตามมากล่าวว่า “โอ้ เสี่ยวเสวี่ยนี่เอง”
“หนูคิดถึงคุณปู่คุณย่า หนูก็เลยมาหาค่ะ อ๊ะ คุณปู่คุณย่า หนูเอาผักผลไม้มาฝากด้วยนะคะ” มู่หรงเสวี่ยอวดถุงสองใบที่ถืออยู่ในมือ
“จริงๆหนูไม่จำเป็นต้องซื้อผลไม้มาฝากย่าก็ได้นะ”
มู่หรงเสวี่ยมุ่ยปาก “คุณย่าคะ จริงๆหนูไม่ได้ซื้อมาหรอกค่ะ พอดีว่าเพื่อนของหนูเป็นคนปลูกผักผลไม้พวกนี้เอง มันดีต่อสุขภาพมากเลยนะคะ คุณปู่คุณย่าควรจะทานมันเยอะๆเลยนะคะ”
“ดี ดี ไหนๆเสี่ยวเสวี่ยก็เอามาฝากทั้งที เดี๋ยวปู่กับย่าจะกินมันให้หมดเลย”
“จริงด้วย คุณปู่คะ วันนี้หนูไปเจอชายชราสกุลชูมาด้วยค่ะ เขาฝากหนูมาทักทายคุณปู่ด้วย คุณปู่รู้จักเขาไหมคะ?”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ปู่ของมู่หรงเสวี่ยก็ลูบเคราของตัวเองแล้วตอบเธอว่า“อ้อ ตาแก่คนนั้น ครั้งสุดท้าย ปู่กับเขาพนันเรื่องตกปลากัน แต่เขาไม่ยอมรับว่าตัวเองแพ้ แถมยังยืนยันว่าผลคือเสมออีกต่างหาก”
“อิอิ คุณปู่ หนูช่วยอะไรคุณปู่ได้บ้างไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยคลี่ยิ้ม รู้สึกว่าพวกคุณปู่น่ารักจัง
แต่คุณปู่มู่หรงไม่คิดเช่นนั้น “ไม่ใช่ว่าวันนี้หนูต้องไปโรงเรียนเหรอ หนูไปเจอเขาที่ไหนมาละ?”
มู่หรงเสวี่ยเห็นท่าไม่ดี จึงงัดท่าไม้ตายออดอ้อนอีกฝ่าย “คุณปู่ขา~ ช่างเรื่องที่หนูไปเจอเขาที่ไหนไปเถอะค่ะ ว่าแต่ คุณปู่จะไม่บอกหนูจริงๆเหรอคะว่าปู่ชูเป็นใคร? นะคะคุณปู่”
“ตาแก่คนนั้นเป็นราชาแห่งการพนันหินในโลกนี้ แต่เขาเป็นคนที่เงียบมาก ถ้าเป็นแค่คนธรรมดาก็ไม่มีทางรู้ตัวตนของเขาได้เลย
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เขาวางมือและส่งต่อกิจการการพนันหินให้ลูกหลานของเขาไปแล้ว ไม่แปลกที่หนูจะไม่รู้สถานะของเขา”
“โอ้โห นี่ปู่ชูมีอำนาจมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ” มู่หรงเสวี่ยตกใจจริง
สถานะของปู่ชูเกินความคาดหมายของเธอไปมาก … เอ๊ะ แล้วอย่างนี้ ฟางฉีฮัวรู้ตัวตนของปู่ชูได้ยังไงกัน?
หลังจากนั้น มู่หรงเสวี่ยรวมถึงคุณปู่คุณย่าก็รับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากัน และแน่นอนว่าอาหารมื้อนี้มีผักสดของมู่หรงเสวี่ยเป็นวัตถุดิบหลัก
มู่หรงเสวี่ยแอบนำน้ำแห่งจิตวิญญาณสองขวดให้คุณปู่คุณย่าดื่ม ทั้งยังกำชับกับท่านทั้งสองว่าต้องดื่มมันทุกวันอีกด้วย
นอกจากนี้ เธอยังบอกกับพวกเขาว่า จากนี้เป็นต้นไป เธอจะมาเยี่ยมพวกเขาทุกสัปดาห์
มู่หรงเสวี่ยได้สอบถามเกี่ยวกับพวกคนรุ่นอาวุโสจากคุณปู่มู่หรง ถ้าเธอต้องการเพิ่มความสามารถ เธอก็ควรจะรู้ในสิ่งที่เธอควรจะรู้
เธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เธอไปทำให้ผู้มีอำนาจคนไหนขุ่นเคืองรึเปล่า นอกจากนี้ เธออาจจะต้องติดต่อกับพวกเขาอีกด้วย เพราะฉะนั้นเธอต้องระวังตัวให้มาก
อย่างไรก็ตาม มู่หรงเสวี่ยเห็นว่าสุขภาพของคุณปู่ ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เหมือนกับชีวิตก่อนไม่มีผิด
คุณปู่มู่หรงต้องทำงานหนักตั้งแต่ยังเยาว์วัย ร่างกายของเขาไม่แข็งแรง
หลังจากนี้ไปอีกหนึ่งปี คุณปู่ของเธอจะป่วยหนักกะทันหัน ขาทั้งสองข้างใช้การไม่ได้ จนต้องนั่งรถเข็น ทำให้คุณย่าล้มป่วยตามไป เพราะเรื่องของคุณปู่
ในชีวิตนี้ โชคดีมากที่เธอมีมิติ แถมยังมีตำราแพทย์มากมายที่เป็นมรดกตกทอดอยู่ในนั้นอีกด้วย ไม่ว่ายังไง เธอจะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาสุขภาพของคุณปู่คุณย่าเอาไว้ให้ได้!
จากนั้น มู่หรงเสวี่ยก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้ มีผู้คนมากมายที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่กับความเจ็บป่วย และยังมีอีกหลายคนที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ถ้าเธอมีตำราพวกนี้ เธอก็ควรทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนยากจนเหล่านั้น
ทันใดนั้น ความคิดแน่วแน่แล่นเข้ามาในสมอง ถึงเธอจะนำของที่อยู่ในมิติออกมาไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะปรุงยาแล้วนำออกมาขายไม่ได้นี่! เหนือสิ่งอื่นใด เธอจะจัดตั้งสถาบันทางการแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรก!
มู่หรงเสวี่ยแอบตัดสินใจอยู่เพียงลำพัง
หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยกลับมาที่อะพาร์ตเมนต์ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงกริ่งดังมาจากหน้าประตู
แปลกจัง ปกติไม่น่าจะมีใครมานี่!
มู่หรงเสวี่ยนึกสงสัย จากนั้นก็เดินไปเปิดประตู และได้พบกับ ชูอี้เสิ่น! “มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“ผมได้รับบาดเจ็บอีกแล้ว” ชายที่อยู่อีกด้านหนึ่งของประตูมีสีหน้าเจ็บปวด ดูเหมือนว่ามือขวาของอีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บ คราบเลือดสีแดงสดไหลย้อยจากมือขวาเลอะเสื้อเขาไปเรียบร้อยแล้ว
อย่างกับคู่แต่งงาน นายได้รับเจ็บ แต่แทนที่นายจะวิ่งแจ้นไปโรงพยาบาล ไปให้หมอช่วยรักษา ดันมาหาฉันเนี่ยนะ? หรือนายคิดว่าใบหน้าหล่อๆที่แน่วแน่ของนายมันจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้?
นี่มันไม่แปลกไปหน่อยเรอะ?!!!
“แล้ว?”
“อ้าว ไม่ใช่ว่าเธอเป็นหมอเหรอ?” ความหมายของเขาก็คือ ถ้าฉันได้รับบาดเจ็บ เธอก็ต้องรักษาฉันสิ!
ก็ใช่น่ะสิ!!!
มู่หรงเสวี่ยที่ยืนมองเขาอยู่สักพัก สุดท้ายก็เป็นฝ่ายแพ้ในศึกนี้
“อ่ะๆ เข้ามาๆ!” มู่หรงเสวี่ยเปิดประตูแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง
แน่นอนว่ามู่หรงเสวี่ยไม่ทันสังเกต รอยยิ้มแห่งความสำเร็จที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของชูอี้เสิ่นเลย
“คุณนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นก่อนก็แล้วกัน ฉันจะไปเอายามาให้”
“ได้เลย!” ชูอี้เสิ่นทิ้งน้ำหนักลงบนโซฟาแบบสบายๆ อย่างกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้านไม่มีผิด
มู่หรงเสวี่ยที่เดินเข้าไปในห้องค่อยๆล็อกประตูอย่างระมัดระวัง และหยิบยารักษาบาดแผลออกมาจากมิติ แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ใช้น้ำแห่งจิตวิญญาณเพราะบาดแผลที่แขนของเขาไม่ได้ร้ายแรงเหมือนอย่างครั้งก่อน
นอกจากนี้ การใช้น้ำแห่งจิตวิญญาณในครั้งนี้อาจทำให้ ชูอี้เสิ่นที่มีสติครบถ้วนสงสัยได้ ส่วนเหตุผลที่เธอใช้มันคราวก่อน เป็นเพราะเขาบาดเจ็บสาหัสและอยู่ในอาการโคม่า อีกฝ่ายจึงไม่มีทางรู้ว่าเธอใช้อะไรรักษาเขาบ้างนั่นเอง
มู่หรงเสวี่ยนำน้ำฆ่าเชื้อและผ้าก๊อซออกมาจากกล่องยา แล้วเดินไปทำแผลให้ชูอี้เสิ่น
มู่หรงเสวี่ยค่อยๆตัดผ้าบริเวณแขนเสื้อของชูอี้เสิ่นอย่างระมัดระวัง เนื่องจาก แขนเสื้อของเขาโดนบาดแผลที่มีเลือดข้นเหนียวอยู่
ถ้าจะให้เขาถอดเสื้อออก แรงเสียดสีของผ้าบริเวณนั้นอาจทำให้บาดแผลของเขาฉีกมากกว่าเดิม เธอจึงเลือกใช้กรรไกรตัดผ้าที่ติดอยู่กับบาดแผลออกอย่างระมัดระวัง
ชูอี้เสิ่นมองดูมู่หรงเสวี่ยที่กำลังทำแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง จู่ๆก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เดิมทีเขารู้สึกปวดตื้อๆที่แผล แต่ดูเหมือนว่าอาการจะทุเลาลงแล้ว
เวลาผ่านไปสักพัก มู่หรงเสวี่ยที่ทำการรักษา โดยการทายาและพันผ้าก๊อซเสร็จแล้ว หยุดการกระทำทุกอย่างแล้วเอ่ยถามว่า
“พี่ชู ทำไมพี่ถึงได้รับบาดเจ็บอีกแล้วล่ะ? โธ่ พี่ไม่น่าเป็นพวกกุ๊ยพวกนักเลงเลยอ่ะ!”
ตอนนี้ ในสมองของชูอี้เสิ่นเต็มไปด้วยเส้นขดสีดำ นี่ เขาดูเหมือนพวกนักเลงเหรอ?! เขาทั้งหล่อมาก! แถมยังฉลาดมากอีกด้วย!
“นักเลงอะไรกัน?! เธอเคยเห็นนักเลงคนไหนหล่อเท่าฉันบ้าง?”
“ชิ! งั้นทำไมพี่ถึงได้เจ็บตัวมาอีกแล้วล่ะ?”
“ช่วยไม่ได้ ฉันคงหล่อเกินไปจนดูน่าหมั่นไส้มั้ง” ชูอี้เสิ่นเสยผม พร้อมกับพูดอวดเธอด้วยสีหน้าแบบคนหลงตัวเอง
ตาบอด! ยังจะกล้ามาพูดแบบนี้อยู่อีก!
“พี่ชู ฉันพันแผลให้พี่เสร็จแล้ว พี่เอายาขวดนี้กลับไปทาต่อนะ” ความหมายของฉันก็คือ เสร็จธุระก็กลับไปได้แล้วค่ะพ่อคนหลงตัวเอง
“หิวจัง” ตาโต ส่งวิ๊ง! ปิ๊ง! ปิ๊ง!
“ …… ”
ครู่ต่อมา มู่หรงเสวี่ยยกบะหมี่ร้อนๆหนึ่งชามออกมาจากห้องครัว “เอ้า! เสร็จแล้ว รีบกินสิ”
“แต่มือฉันเจ็บอยู่นะ” ตาโตส่งวิ๊งอีกรอบ!
เดี๋ยวปั๊ด เททิ้งซะเลยนี่! อย่าคิดว่ามาทำท่าน่ารักแถวนี้แล้วฉันจะใจอ่อนนะ!
“เหอะ พี่ก็ยังมีมือซ้ายอยู่ไง รีบกินรีบกลับห้องตัวเองไปได้แล้ว”
เห็นว่าลูกไม้ตาโตของตนใช้ไม่ได้ผล ชูอี้เสิ่นปั้นหน้าอมทุกข์ จำใจกินบะหมี่ด้วยมือซ้าย
มู่หรงเสวี่ยจะบ้าตายให้ได้! นี่ยังกล้าทำหน้าอมทุกข์แบบนั้นอีกเหรอ! มันใช่ความผิดของฉันที่ไหนล่ะ!
ก่อนหน้านั้น คนคนนี้ยังไม่ได้เผยธาตุแท้ของตัวเองออกมา ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้นะ? โอ๊ย ปวดหัว! ปวดหัว! ปวดหัว!
ในที่สุด คนที่ค่อยๆเคี้ยวบะหมี่ช้าๆ ก็ได้กินบะหมี่จนหมดถ้วยไม่เหลือแม้แต่น้ำซุป มู่หรงเสวี่ยก็เริ่มปฏิบัติการไล่อีกฝ่ายให้ออกไปอีกรอบ
“พี่ชู ตอนนี้พี่ควรจะกลับไปพักผ่อนที่ห้องตัวเองได้แล้วนะ พรุ่งนี้ ฉันก็มีเรียนด้วย”
ชูอี้เสิ่นเห็นใบหน้าของมู่หรงเสวี่ยที่ดูหมดแรง จึงอดไม่ได้ที่จะก่นด่าตัวเองในใจที่สร้างภาระให้มู่หรงเสวี่ย เห็นที ตอนนี้ เขาคงรอช้าไม่ได้แล้ว
หลังจากนั้น มู่หรงเสวี่ยก็ได้เดินมาส่งเขาที่หน้าประตู อีกฝ่ายจุ๊บที่หน้าผากของมู่หรงเสวี่ย พร้อมพูดว่า “ฝันดีนะ วันนี้เข้านอนเร็วหน่อย ต้องพักผ่อนให้เยอะๆนะ เข้าใจไหม”
กว่าชูอี้เสิ่นจะเดินเข้าไปห้องแล้วปิดประตู มู่หรงเสวี่ยที่ยืนอยู่หน้าประตูก็แข็งเหมือนกับฟอสซิลไปแล้ว
ทั้งสองคนไม่ได้สังเกตเห็นกล้องที่ซ่อนอยู่ที่มุมหนึ่ง ในตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังเผชิญกับหายนะที่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้
ในเวลาเดียวกัน บริษัทเอกชน ชั้นบนสุดของตึกในเมืองหลวง ชางกวนโม่ที่เพิ่งจะได้รับรายงานจากลูกน้อง จู่ๆดวงตาของเขาเผยความดุร้ายออกมา
ชูอี้เสิ่น นายกล้ามายุ่งกับผู้หญิงที่ฉันชอบ!
หลังจากที่เขาได้พบกับเธอครั้งแรก เขาก็ให้ความสนใจกับชีวิตความเป็นอยู่ของเธอมาโดยตลอด เขามักจะได้รับสายจากลูกน้องเรื่องของมู่หรงเสวี่ยอยู่ตลอด
ล่าสุด ได้มีรายงานความคืบหน้าของมู่หรงเสวี่ยเข้ามาว่า ชูอี้เสิ่นได้ปรากฏตัวอยู่ข้างกายของมู่หรงเสวี่ยถึงสองครั้ง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นชางกวนโม่ได้ต่อสายหาใครสักคน “กำหนดเวลางานทั้งหมดเป็นอาทิตย์นี้ แล้วให้เวลาในการจัดการหนึ่งเดือน”
เขาจำเป็นต้องสู้! ไม่อย่างนั้น เขาจะต้องสูญเสียคนที่เขารักไป
คอมเม้นต์