ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) – ตอนที่ 60 สำนักงานทนายความ
บทที่ 60
สำนักงานทนายความ
“มู่หรงเสวี่ย เธอ…เธอลืมไปแล้วเหรอว่าสัญญาว่าจะไปดูดอกยี่เข่งกับฉันอีกน่ะ?” ชางกวนหลินถาม
ชางกวนโม่กำมือแน่น สองคนนี้ไปติดต่อกันตั้งแต่เมื่อไร? เขาไม่รู้ว่าหัวใจของมู่หรงเสวี่ยสั่นไหว เธอไม่รู้ว่าทำไม ทันทีที่เธอเห็นดวงตาสีม่วงของเขา เธอจะต้องมีความรู้สึกแปลกๆที่ตัวเองก็ต้านทานไม่ได้ “ฉันจำได้…” ด้วยความเจ็บปวดที่มือของเธอ ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ได้สติ เธอจะลืมได้ยังไง
ชางกวนหลินยิ้ม “เสี่ยวเสวี่ย ครั้งหน้าเราไปดูดอกยี่เข่งด้วยกันนะ โอ้ ฉันมีอย่างอื่นต้องไปทำ ฉันไปก่อนนะ…” ชางกวนหลินพูดแล้วก็จากไป…เขาจะไม่รีบ หนทางยังอีกยาวไกล
ชางกวนโม่มองร่างของชางกวนหลินและเงียบไปนาน แล้วก็พูดกับมู่หรงเสวี่ยอย่างเคร่งขรึม “เสี่ยวเสวี่ย ต่อไปอย่าติดต่อกับชางกวนหลินอีก เขาไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่เห็นหรอก…”
“ทำไมล่ะ?” พวกเขาเป็นพี่น้องกันไม่ใช่เหรอ?
“สัญญากับฉันสิ เขาอันตรายมากๆ อย่าไปอยู่ใกล้ๆเขา…”
อันตรายงั้นเหรอ? มู่หรงเสวี่ยคิดถึงทุ่งดอกยี่เข่งในดวงตาสีม่วงพร้อมรอยยิ้มของเขา แต่แล้วก็หันกลับมามองท่าทางเป็นกังวลของชางกวนโม่แล้วจึงพยักหน้า
“ดีแล้ว!”
ชางกวนโม่รู้สึกไม่สบายใจ หลังจากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็เงียบกันไปนาน
เย่เฟิงอยู่กับชางกวนโม่มานาน เขารู้อะไรหลายอย่าง แม้แต่เขาเองบางครั้งก็ยังกลัวนายน้อยชางกวนหลินเลย เขามักจะรู้สึกว่าดวงตาสีม่วงนั้นไม่ธรรมดา
“พี่โม่ อย่าคิดมากเลยนะคะ ฉันดูแลตัวเองได้นะ” มู่หรงเสวี่ยพยายามที่จะคลายความกังวลของชางกวนโม่
ชางกวนโม่มองไปที่ร่างเล็กๆของเธอและก็ต้องรู้สึกกังวล “เธอ เธอปล่อยให้ฉันปกป้องเองดีกว่านะ…”
มาดูถูกกันแบบนี้ได้ยังไง มู่หรงเสวี่ยทำปากจุจุ “ฉันก็โหดได้เหมือนกันนะ!”
“โอเค โอเค โอเค เธอเก่งที่สุดเลย!” เขาอดไม่ได้ที่จะจับจมูกเล็กเบาๆ
มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่เขา “อย่ามาหยิกจมูกฉันนะ เดี๋ยวเสียโฉมหมด!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”
“ไปดูหินหยกตรงโน้นกันเถอะ” ในที่สุดเขาก็หัวเราะออกมาและรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
“ดีค่ะ! ไปกันเถอะ”
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว มู่หรงเสวี่ยก็นึกถึงโชคของตัวเอง ครั้งหน้าถ้าเธอจะออกมาข้างนอก คงจะต้องเช็กดวงซะหน่อยแล้ว
“เสี่ยวเสวี่ย บังเอิญจังเลยนะ?” ฟางฉีฮัวมองมาที่ มู่หรงเสวี่ยอย่างประหลาดใจ
บังเอิญงั้นเหรอ?! ก่อนหน้านี้เขายังเห็นเธอทำให้แม่ของเขาต้องขายหน้าอยู่เลย มันคงจะยากสำหรับเธอถ้าต้องมาทำเป็นประหลาดใจ
ชางกวนโม่กัดฟันแน่น ผู้หญิงคนนี้นี่มันอะไรกันเนี่ย?!!! ถึงได้มีผู้ชายมารุมล้อมตลอด นี่เขาต้องเป็นไม้กันหมาซะแล้วล่ะมั้ง?!!!
“ขอโทษทีนะ ฉันมีอย่างอื่นที่ต้องทำ ขอตัวก่อนนะ” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าอย่างเย็นชาแล้วเดินออกมา ไม่งั้นเธอคงอดไม่ได้ที่จะฆ่าเขาแน่ๆ
“เสี่ยวเสวี่ย รอเดี๋ยว ฉันมีบางอย่างจะบอกเธอ…” เขาเอื้อมมือออกมาเพื่อหวังที่จะจับมู่หรงเสวี่ยไว้
ชางกวนโม่รีบยื่นมือออกไปและผลักออก ใครหน้าไหนก็อย่าบังอาจมาแตะต้องผู้หญิงของเขา แต่เด็กหนุ่มคนนี้หน้าดูคุ้นๆนะ เหมือนกับว่าเขาเคยเจอมาก่อน
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย”
ฟางฉีฮัวที่ถูกผลักออกไปเริ่มอธิบายต่อ “วันนั้นเธอเข้าใจฉันผิดนะ ฉันแค่อยากจะพาเธอไปโรงพยาบาล วันนั้นเธอดูไม่ค่อยสบาย…” ชายคนนี้ไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งด้วย ถ้าชายคนนี้รู้ว่ามู่หรงเสวี่ยที่เป็นคนโปรดของเขามีเรื่องกับตัวเขา แบบนี้เขาคงจะไม่รอดแน่ๆ
ใครจะไปคิดว่าตระกูลมู่หรงเล็กๆของจังหวัดจะไปเตะตาตระกูลเก่าแก่ขนาดนี้ได้ เขาจึงต้องมาอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ มู่หรงเสวี่ยเข้าใจ ไม่งั้นต่อไปเขาลำบากแน่ๆและสำหรับลูกนอกกฎหมายอย่างเขามันก็คงไม่ง่ายที่จะต้องไปเริ่มใหม่ ถ้าคนในตระกูลฟางรู้ว่าเขามามีเรื่องกับตระกูลชางกวน เขาจะต้องถูกตัดออกจากตระกูลแน่ๆและมันก็คงไม่ง่ายสำหรับเขาที่จะได้กลับเข้าไปอยู่ในตระกูลฟางอีก
เธอกล้าพูดเลยว่าถึงแม้ในวันนั้นเธอจะไม่ได้สติเท่าไร แต่เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าเขากอดเธอไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าเขาอยากที่จะมุ่งร้ายแต่สิ่งที่เธอไม่เข้าใจคือชางกวนโม่สัญญากับเธอว่าจะให้บทเรียนกับเขา แล้วเขายังอยู่ที่นี่ได้ยังไง ดูเหมือนเขาไม่ได้เป็นอะไรเลยสักนิด
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่หรงเสวี่ยก็หันหัวและจ้องไปที่ชางกวนโม่อีกครั้ง ชางกวนโม่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาหันหลังใส่เธอได้ยังไง? เขาควรที่จะจ้องกลับมาที่เธอไม่ใช่เหรอ? ใครกันแน่ที่โกหก?!!!
“ความจริงมันเป็นยังไงกันแน่? บอกฉันมาที ฉันมองออกนะ และต่อไปอย่ามาเรียกฉันว่าเสี่ยวเสวี่ยอีก ฉันไม่ได้สนิทอะไรกับนาย!” มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่ชายที่บอกว่าจะพยายามอย่างดีที่สุดแล้วพูดออกมา
ใช่ เขากล้าเรียกเธอว่าเสี่ยวเสวี่ยได้ยังไง? เขากล้ามาทำตัวสนิทสนมกับเธอต่อหน้าเขาได้ยังไง? อยากจะตายหรือไง ชางกวนโม่กำลังคิดที่จะหันกลับมา
ในเวลานี้ ฟางฉีฮัวเห็นสายตาอาฆาตของชางกวนโม่ ดวงตาที่มองกลับมาไม่สู้ดีเท่าไรซึ่งทำให้ผลเป็นตรงกันข้าม บ้าเอ๊ย มู่หรงเสวี่ยแตกต่างจากที่สืบมาได้ยังไง? เธอเป็นผู้หญิงที่จิตใจดีไม่ใช่เหรอ? มันกลายเป็นเรื่องยากแบบนี้ไปได้ยังไงกัน
ช่างเถอะ หาโอกาสอื่นแล้วกัน ตอนนี้อธิบายคงยาก นอกจากนี้ชางกวนโม่ก็สนใจมู่หรงเสวี่ยมากกว่าที่เขาคิด บางทีเขาน่าจะใช้วิธีอื่น เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ฟางฉีฮัวก็แสดงรอยยิ้มอย่างสุภาพออกมา “คุณมู่หรง อย่าใจร้ายสิ ก่อนหน้านี้คุณดูไม่ได้โกรธเท่าไรผมเลยอยากจะบอกคุณว่าใครเป็นคนวางแผนเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คุณจะไม่ค่อยพร้อมที่จะรับฟังผมเท่าไร งั้นผมจะอธิบายอีกทีที่หลัง…” เขาพูดเป็นนัยๆว่าเธอโกรธผิดคน…เขาพร้อมที่จะเปิดโปงเรื่องหลินจื่อชิง…ให้คนอื่นตายดีกว่าตัวเขาเองต้องตาย
มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะคุยกับเขาด้วยซ้ำ ไอ้คนเสแสร้ง
หลังจากเงียบไปสักพัก ฟางฉีฮัวที่รู้ตัวมู่หรงเสวี่ยไม่พูดอะไรต่อจึงเดินจากไปด้วยความอับอาย
มู่หรงเสวี่ยไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแล้ว เธอจึงบอกชางกวนโม่ว่าจะกลับไปพักที่ห้อง และชางกวนโม่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ…สำหรับพวกเขามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝ่าฟันในความสัมพันธ์นี้เลย เรื่องเล็กน้อยแบบนี้เข้ามากระทบความรู้สึกของพวกเขาได้ยังไง
ช่วงสองวันต่อมาชางกวนโม่ไม่มีเวลาเลย มู่หรงเสวี่ยจึงใช้ประโยชน์ตรงนี้เพื่อที่จะไปเลือกหินหยกเพิ่ม ซึ่งเป็นโอกาสที่ไม่ได้หาได้บ่อยๆและร้านเป่าหยูของเธอก็ต้องการหินหยกเพิ่มด้วย
ในระหว่างที่เธอกำลังเลือกหินหยกอย่างตั้งใจ อยู่ดีๆก็มีเสียงเย่อหยิ่งของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเธอ
“หวัดดี ดูหินหยกเป็นหรือเปล่า? อย่าเอาเงินพี่โม่มาผลาญหมดล่ะ” ฉินเมิ่งหยาคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเอาเงินของพี่โม่มาผลาญกับเรื่องการแต่งตัวหมด เพราะเธอรู้จักตระกูลดังๆในเมืองหลวงทั้งหมด เธอไม่รู้จักผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้างั้นเธอก็คงเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่เธอจะข่มได้
“คุณถามว่าฉันดูหินหยกเป็นหรือเปล่าเหรอคะ? มันไม่ใช่เรื่องของคุณว่าฉันจะดูเป็นหรือเปล่า!” มู่หรงเสวี่ยปวดหัว แฟนของเธอดีเลิศมากจนทำให้เธอมีปัญหาเข้ามามากมาย
“เธอมันก็แค่ผู้หญิงชั้นต่ำ ควรจะละอายใจถ้าจะเอาพี่โม่มาผลาญ”
“คุณเห็นเหรอว่าฉันเอาเงินจากไหนมาใช้?” มู่หรงเสวี่ยไม่เข้าใจ นี่เธอดูจนมากเลยงั้นเหรอ?
ฉินเมิ่งหยามองเธออย่างดูถูก “ฉันต้องเห็นด้วยเหรอ? เธอไม่ใช่คุณหนูจากตระกูลในเมืองหลวงไหน งั้นเธอมาจากไหนล่ะ? ถ้าไม่มีพี่โม่ เธอยังมีผู้ชายคนอื่นอีกไหมล่ะ?!!” คำพูดของ ฉินเมิ่งหยาออกจะดังสักหน่อยซึ่งทำให้คนรอบข้างสนใจและเริ่มที่จะซุบซิบกันบ้างแล้ว
มู่หรงเสวี่ยถูกดูถูกซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ว่าเธอจะถูกฝึกมาดีแค่ไหนแต่มู่หรงเสวี่ย อดไม่ได้ที่จะเริ่มโมโหแล้ว “ถึงแม้ฉันจะไม่ได้มีตระกูลที่โด่งดัง แต่ฉันก็สามารถที่จะดูแลตัวเองได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแค่หินเล็กๆน้อยๆพวกนี้เลย ฉันไม่ใช่คนที่ไร้ยางอายอย่างที่บางคนที่โตแล้วแต่ก็ยังขอเงินจากครอบครัวอยู่…”
“ที่พูดเธอหมายถึงใคร?” ฉินเมิ่งหยาอยากที่จะตบหน้าสวยๆนี้
“อะไร? เธอไม่รู้เหรอ?” พร้อมรอยยิ้มถากถาง
“งั้นเธอบอกว่าเธอดูแลตัวเองได้ใช่ไหม? เอาแบบนี้แล้วกันเรามาพนันกัน คนแพ้จะต้องไปจากพี่โม่โอเคไหม?” ฉินเมิ่งหยามองไปที่หินหยกที่อยู่ตรงหน้าและเกิดความคิดในหัว เธออยู่ในแวดวงนี้มาตั้งแต่ยังเด็กๆ แน่นอนว่าเธอจะต้องรู้เรื่องหินหยกเป็นอย่างดี เธอมีความมั่นใจอย่างมากว่าผู้หญิงอย่าง มู่หรงเสวี่ยที่มาจากไหนก็ไม่รู้คงไม่รู้เรื่องพวกนี้ ถ้าเป็นแบบนั้นเธอก็มีโอกาสที่จะเอาชนะได้อย่างง่ายๆ
มู่หรงเสวี่ยแสยะ “อื่ม ทำไมฉันต้องอยากที่จะเอาชนะเธอด้วยล่ะ? ชางกวนโม่เป็นแฟนของฉัน ทำไมเธอจะต้องเอาเขามาพนันด้วยล่ะ? การพนันนี้ไม่ยุติธรรมเลย อีกอย่าง ฉันเอาแฟนตัวเองมาพนันไม่ได้หรอก ฉันไม่ได้ไร้ยางอายเหมือนกับเธอ…”
“เธอ…เธอ…โอเค เธออยากพนันด้วยอะไรล่ะ?” เธอพยายามสงบอารมณ์ อีกไม่นานเธอจะทำให้เธอเสียหน้าที่กล้ามาพนันทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องการพนันเลย ก่อนที่จะคุย เธอแอบมองไปที่การเลือกหินหยกของเธอ เธอนี่ช่างไร้เดียงสาจริงๆและเธอไม่มีแม้แต่แว่นขยายด้วยซ้ำ
“เอาเป็นว่าเงินคนละหนึ่งพันล้านเป็นไง?” มู่หรงเสวี่ยแสยะ
“หนึ่งพันล้านงั้นเหรอ? จะบ้าเหรอ?” ฉินเมิ่งหยามองอย่างตกใจ แม้แต่ทรัพย์สินของเธอทั้งหมดรวมกันก็ยังได้ไม่ถึงพันล้านเลย ทรัพย์สินทั้งหมดของเธอรวมกันก็มีแค่ 200 ล้านหยวนเอง
มู่หรงเสวี่ยพูดถากถางพร้อมรอยยิ้ม “มีอะไรเหรอคุณหนู คุณไม่มีเงินพันล้านงั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าคุณจะจนกว่าผู้หญิงธรรมดาๆอย่างฉันอีกนะเนี่ย!”
เธอถูกผู้หญิงบ้านนอกดูถูก “ใคร…ใครบอกว่าฉันไม่กล้าพนัน? ฉันต้องร่างจดหมายก่อน” ยังไงซะเธอก็ไม่แพ้อยู่แล้ว มีอะไรที่เธอจะต้องกลัว
“ได้เลย เชิญเลยแล้วไปเจอกันที่ห้องรับรองทนายความแล้วกันนะคะ” มู่หรงเสวี่ยยิ้มแสยะไปที่เธอ
ห้องรับรองทนายความคือห้องที่เตรียมไว้ให้ผู้แข่งขันหินการพนัน ในห้องนี้จะมีการรับรองระหว่างประเทศอยู่ในนั้นด้วยซึ่งจะไม่มีการลำเอียง หลังจากที่ทั้งคู่เตรียมสัญญาและเงื่อนไขเสร็จ พวกเขาจะต้องมอบให้สำนักทนายความแล้วพวกเขาถึงจะเปิดหินการพนันได้
ผู้แพ้จะต้องส่งมอบเงินพนันภายใน 10 วันทำการ ไม่งั้นสำนักทนายความจะใช้มาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันการรับรองเอกสาร
“ไป ไปสิ!” ฉินเมิ่งหยาเดินนำไปที่สำนักทนายความ ฮึ่ม! นั่งผู้หญิงชั้นต่ำนี่จะรอดไปได้ยังไง?!!!
คอมเม้นต์