ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) – ตอนที่ 64 พ่อแม่ของชางกวนโม่
บทที่ 64
พ่อแม่ของชางกวนโม่
เช้าวันต่อมา หลังจากทานอาหารเสร็จ
ชางกวนโม่เริ่มที่จะค้นเสื้อผ้าในลิ้นชัก ที่มีแต่เสื้อผ้าของเธอ เขาคุ้ยเสื้อผ้าเธอไม่เลิก
มู่หรงเสวี่ยจับชางกวนโม่ที่กำลังมองเข้าไปในตู้อย่างสนใจ ใบหน้าแดงระเรื่อคำราม “ทำอะไรเนี่ย?! คนโรคจิต”
ชางกวนโม่มองไปที่แก้มระเรื่อพร้อมด้วยคิ้วที่เลิกสูงอย่างไม่พอใจ ช่างมีเสน่ห์อะไรอย่างนี้ “เสี่ยวเสวี่ย เธอนี่สวยจริงๆ…” เขายกหน้าเธอขึ้นมาและจูบลงไปที่ริมฝีปากแดงที่ยังคงไม่พอใจอยู่
ลมหายใจอุ่นที่หนักหน่วงทำให้หัวใจเธอเต้นรัวไม่เป็นจังหวะและก็ยิ่งเต้นรัวแรงมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เธอวางมือลงที่หน้าอกเขา พยายามที่จะผลักเขาออก
อย่างไรก็ตามความร้อนที่หน้าอกเขาดูเหมือนจะแผดเผามือของเธอ ความร้อนกระจายผ่านฝ่ามือเธอและกระจายไปทั่วร่างกายเธอ ลมหายใจของเธอเร็วจนหัวใจเต้นรัวเป็นจังหวะกลอง
เธออดไม่ได้ที่จะดึงมือกลับแต่ชางกวนโม่คว้าไว้และจับมือเธอมาโอบรอบด้านหลังเขา ส่วนอีกมือกางออกและตรึงเธอไว้กับเตียง
จูบนี้ไม่เหมือนจูบที่อบอุ่นอย่างทุกครั้งแต่กลับอ้อยอิ่งและหนักหน่วงมากกว่าทุกครั้ง
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกถึงร่างกายที่แข็งขึ้นและสั่นเทอมของเขา ในสายตาที่พร่ามัวของเธอ เขาเหมือนมีดคมที่มีใบหน้าหล่อเหลา สมองส่วนสติหยุดความคิดมีเพียงเธอในสายตาของเขาและมีเพียงเขาที่อยู่ในความคิดของเธอ ราวกับว่าอยู่ๆก็มีดอกไม้บานกลางใจเธอ เธออดไม่ได้ที่จะจมลงไปในจูบที่นุ่มนวลและหนักหน่วงของเขา
เมื่อรับรู้ถึงการตอบสนองของเธอ ชางกวนโม่ก็ยิ่งเพิ่มความหนักหน่วงเข้าไปอีก เขาบดขยี้ริมฝีปากอ่อนนุ่มของเธอตอบ ปลายลิ้นไหลลื่นระหว่างฟัน บดขยี้ริมฝีปากมีเสน่ห์
เธอดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงหัวใจแห่งความรักและมีค่าของเขา จึงปล่อยหัวใจให้หลุดล่องไปอีกครั้งซ้ำๆ
หลังจากเวลาผ่านไปนานชางกวนโม่ถึงปล่อยเธอ ใบหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปื้อนไปด้วยเสน่ห์ที่น่าหลงใหล ดวงตาคู่นี้แฝงไปด้วยความอบอุ่นที่คอยดึงดูดวิญญาณผู้คน!
“ชอบหรือเปล่า?” น้ำเสียงของเขาแหบและมีเสน่ห์ทำให้หัวใจของมู่หรงเสวี่ยสั่นไหวอีกครั้ง
มู่หรงเสวี่ยตอบเสียงเบา “ชอบค่ะ”
ดวงตาคู่สวยของเขาสว่างขึ้นมาในทันที “แม่หนูน้อยมู่หรง ฉันควรจะทำยังไงกับเธอดีเนี่ย…” เขากางแขนออกและกอดเธอไว้แน่นกว่าเดิมในอ้อมกอด
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกราวกับร่างทั้งร่างของเธอกำลังแผดเผาไปด้วยไฟ เธอถึงขนาดรู้สึกต้องการเขาขึ้นมาเลย นี่เป็นเพราะสัญชาตญาณของร่างกายหรือความรู้สึกที่เธอมีต่อเขากันแน่น่ะ
มู่หรงเสวี่ยผลักเขาออกแล้วพูดพึมพำ “คุณยังไม่ได้บอกเลยว่าเช้านี้จะทำอะไร?”
ชั่วขณะหนึ่ง ชางกวนโม่ถึงได้ปล่อยเธอออก”วันนี้จะพาเธอไปที่หนึ่ง” เขาลุกขึ้นและมองไปที่เสื้อผ้าของเธออีกครั้ง
มู่หรงเสวี่ยถามเขาว่ามองอะไร
หลังจากนั้นสักพักชางกวนโม่ก็หยิบชุดกระโปรงลายดอกไม้สีฟ้าออกมาและพูดกับมู่หรงเสวี่ยว่า “มาเถอะ ฉันจะช่วยเธอแต่งตัวเอง!”
มู่หรงเสวี่ยที่ยังติดกับความนุ่มนวลของชางกวนโม่ก็ถูกชางกวนโม่จับถอดเสื้อผ้าก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนอง แล้วก็ต้องยืนโป๊อยู่ต่อหน้าเขา
สายตาดำมืดของชางกวนโม่กลายเป็นเข้มขึ้นมาในทันที เขาหายใจอย่างหนักและแทบจะเก็บกดหัวใจที่สั่นไหวไว้ไม่ได้ มู่หรงเสวี่ยค่อยสวมกระโปรงยาวที่เขาเลือกให้
สีฟ้าสดใสราวกับท้องฟ้าที่อยู่ในร่างของมู่หรงเสวี่ย บวกกับท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอก็ยิ่งทำให้สวยขึ้นไปอีก “เสี่ยวเสวี่ย จะทำยังไงดีเนี่ย? เธอสวยเหลือเกินจนฉันอยากจะเอาไปซ่อนเลยจริงๆ!”
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่กระจก ยังไงซะนี่ก็ยังน้อยกว่าในชีวิตที่แล้ว
ในสายตา ราวกับเธอเห็นตัวเองในชีวิตที่แล้วที่ต้องคอยทำให้ผู้ชายพอใจอยู่ทุกวันแต่ผู้ชายก็ไม่ได้พอใจกับความสวยของเธอเลย
ทันใดนั้นก็รู้สึกเจ็บที่มือ สายตาของชางกวนโม่ลุกเป็นไฟขึ้นมาเล็กน้อย น้ำเสียงที่แหบพร่าดังขึ้น “เธอกำลังคิดถึงใคร?” ใครคือเหตุผลที่เข้ามาขัดจังหวะในเวลานี้ได้? เขายืนอยู่ข้างเธอแท้ๆ
หัวใจของมู่หรงเสวี่ยสั่นไหว ในหัวก็ตอบไปอย่างลุกลี้ลุกลน “เปล่า!”
ชางกวนโม่ไม่ได้ถามต่อ เพียงแค่หยิบสร้อยคอและต่างหูออกมาจากตู้เสื้อผ้าที่ตั้งใจซื้อมาให้เธอแล้วก็หยิบหวีมาค่อยๆแปรงผมดำยาวให้เธอ
ไม่นานนักชางกวนโม่ก็วางหวีลงแล้วจับมือเธอ “ไปกันเถอะ!”
ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ได้สติ “จะไปไหนกันเหรอคะ?”
ชางกวนโม่มองที่มู่หรงเสวี่ยที่แต่งตัวอย่างสวยงามตรงหน้าเขาแล้วหัวเราะ “ไปที่ที่หนึ่ง!”
ชางกวนโม่กับเธออยู่ในรถเพื่อที่จะขับรถไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จัก
ชั่วโมงต่อมาก็ปรากฏสุสานที่สวยงามขึ้นมา
มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจ ไม่คิดว่าชางกวนโม่จะพาเธอมาที่นี่ ดูเหมือนเขาจะรู้ว่ามู่หรงเสวี่ยสงสัยเรื่องอะไร ชางกวนโม่จึงพูดออกมาเบาๆ “นี่คือพ่อแม่ฉันเอง!”
มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจ เธอไม่เคยถามเรื่องนี้กับ ชางกวนโม่เลยไม่รู้ว่าพ่อแม่เขาเสียชีวิตไปแล้ว ที่หลุมศพเป็นรูปของพ่อแม่ของชางกวนโม่ จากรูปพ่อของชางกวนโม่ และชางกวนโม่เหมือนกันมาก และแม่ของเขาก็ดูอ่อนหวานและสวยมาก ดูสง่างามจริงๆ
ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ไม่รู้ว่าจะปลอบผู้ชายที่อยู่ข้างๆเธอยังไง เธอไม่เคยรู้เลยว่าชีวิตที่ไม่มีพ่อแม่มันจะเป็นยังไง?! พ่อกับแม่รักเธอ แม้แต่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่แล้ว พ่อแม่เธอก็ยังไม่ทอดทิ้งเธอ มีแค่เธอที่ทำตัวเอง “ชางกวนโม่…”
ชางกวนโม่เริ่มพูด “ตอนนั้นฉันอายุ 13 เสี่ยวหลินอายุ 10 ขวบเอง พ่อแม่ฉันตายในอุบัติเหตุเครื่องบินเพราะพวกท่านต้องรีบกลับมางานวันเกิดชางกวนหลิน”
เป็นเพราะแบบนี้เขาถึงไม่ชอบชางกวนหลินงั้นเหรอ? แต่มันก็โทษชางกวนหลินไม่ได้นี่ “แต่ มันก็จะ…”
ชางกวนโม่ไม่รอให้เธอพูดจบ “เธออยากจะบอกว่าไม่ใช่ความผิดเขาใช่ไหม? ถ้าเป็นเพราะแค่เรื่องงานวันเกิดของเขาแล้วพ่อกับแม่อยากจะกลับมา แน่นอน ฉันคงโทษเขาไม่ได้แต่ต่อมาฉันก็เจอเบาะแสบางอย่าง…ตอนนี้ฉันยังไม่แน่ใจ…เอาเป็นว่าต่อไปเธอต้องอยู่ห่างๆเขา…”
มู่หรงเสวี่ยเบิกตากว้าง ชางกวนโม่หมายความว่าชางกวนหลินฆ่าพ่อแม่เขางั้นเหรอ?!!! เธอนึกถึงสายตาบริสุทธิ์ในทุ่งดอกยี่เข่ง เธอจะนึกภาพชางกวนหลินเป็นคนแบบที่ชางกวนโม่บอกได้ยังไง
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พ่อครับ แม่ครับ นี่คือภรรยาในอนาคตของผม ลูกสะใภ้ของพ่อกับแม่ วันนี้ผมพาเธอมาพบพ่อกับแม่แล้วนะครับ หวังว่าพ่อกับแม่จะอวยพรให้เราด้วย…” ชางกวนโม่วางดอกไม้ตรงหน้าหลุมศพและก็เผยรอยยิ้มอ่อนเพื่อแนะนำมู่หรงเสวี่ย
“คุณกำลังพูดเรื่องอะไร…” มู่หรงเสวี่ยเขินจนต้องหยิกเขา
“ลูกสะใภ้ก็ต้องอยากมาเจอพ่อสามีอยู่แล้ว จะเขินเรื่องอะไรล่ะ?” ชางกวนโม่พูดแซว
มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่เขาแล้วจึงทำความเคารพหลุมศพ “คุณลุงคะ คุณป้าคะ ต่อไปหนูจะดูแลพี่โม่อย่างดี ให้เหมือนที่พวกท่านรักเขา หนูก็จะรักเขาเหมือนกันค่ะ…”
ชางกวนโม่ยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาว่าเธอรักเขา หลังจากที่ยืนอยู่นาน พวกเขาก็ค่อยๆขับรถกลับ
ระหว่างทางกลับ มู่หรงเสวี่ยคิดถึงหุ้นส่วนของชางกวนโม่ที่เป็นเหมือนน้องสาวของเขาแล้วพูดว่า “พี่โม่ นี่ยังเช้าอยู่เลย ทำไมพี่ไม่พาฉันไปเจอน้องสาวที่พี่พูดถึงเมื่อคืนล่ะคะ?”
วันนี้ไม่เหนื่อยเหรอ? ไปพรุ่งนี้ก็ได้นะ” หลังจากที่วันนี้เดินมาทั้งวัน เขาก็เป็นห่วงว่าเธอจะเมื่อย
มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไรค่ะ รีบไปเจอเธอก่อนดีกว่า…”
“แต่ถ้าเธอเหนื่อยก็บอกได้นะ อีกอย่างเธอชื่อไป๋เสวี่ยหลี่ เธออายุ 20 แก่กว่าเธอ 5 ปี” ชางกวนโม่แนะนำสั้นๆ
มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย “เธอไม่ได้อยู่ในตระกูลของคุณเหรอคะ? ทำไมถึงนามสกุลไป๋ล่ะ?”
“เธอไม่ได้อยู่ในตระกูล เธอเป็นเด็กกำพร้า ตอนที่ยังเด็กแม่ของเธอพาเธอมาที่ตระกูลชางกวน ก็เหมือนน้องสาวของฉัน เราโตมาด้วยกัน” ชางกวนโม่พูดถึงน้องสาวคนนี้จนอดไม่ได้ที่หันไปมองตาของเขา
“แล้วเธอหมดสติไปได้ยังไงคะ?” มู่หรงเสวี่ยถามคำถามที่เธออยากจะรู้ที่สุด
ชางกวนโม่กำมือแน่นบนพวงมาลัยรถและเส้นเลือดก็โป่งขึ้นมา เขาพยายามที่จะเก็บความโกรธไว้ในใจและพูดออกมา “ในตอนนั้น พ่อแม่ของฉันเพิ่งจะเสีย และกลุ่มคนในตระกูลก็จ้องที่จะแย่งตำแหน่งผู้นำของตระกูล ในตอนนั้นบ้านวุ่นวายไปหมดและพวกเลือดเย็นบางคนก็จ้างนักฆ่าให้มาฆ่าฉัน ตอนนั้นฉันอยู่กับเสวี่ยหลี่ พี่คนพยายามยิงฉันจากด้านหลัง แต่เป็นเสวี่ยหลี่ที่ผลักฉันออกไป เธอเลยถูกยิงเข้าที่หลังแทน หมอเอากระสุนออกมาแล้วแต่เธอก็ยังไม่ฟื้น…”
ชางกวนโม่รู้สึกผิดกับน้องสาวคนนี้มาก เป็นเพราะเขา เธอถึงกลายเป็นแบบนี้ มู่หรงเสวี่ยตบไหล่เขาเพื่อปลอบใจ เธอไม่อยากให้ความหวังเขา ถ้าเธอรักษาไม่ได้ เขาจะได้ไม่หวังมาก ดูเหมือนน้องสาวเขาคนนี้จะเป็นคนที่ดีมาก ถ้าเธอไม่ผลักเขาออกไป เขาเองก็คงจะเป็นคนที่ถูกยิง เธอจะทำสุดฝีมือเพื่อช่วยเธอ
สองชั่วโมงต่อมา ทั้งสองก็มาถึงคฤหาสน์ที่มีวิวสวยและอากาศสดชื่นแห่งหนึ่ง ในคฤหาสน์มีการ์ดคอยรักษาความปลอดภัยอยู่เยอะมาก พวกเขาแต่ละคนจะมีร่างกายใหญ่และดูแข็งแกร่ง ดูเหมือนว่าชางกวนโม่เองก็สนใจน้องสาวคนนี้มากเหมือนกันจึงได้จ้างการ์ดมาคอยคุ้มกันขนาดนี้
ไม่ช้าพวกเขาก็เข้าไปในห้องของไป๋เสวี่ยหลี่ ห้องของไป๋เสวี่ยหลี่ไม่ได้หรูหรามากนัก แต่กลับเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ถ้าจะดูหรูหราก็เพราะมันเต็มไปด้วยหยกชั้นดีที่มีทั้งชิ้นเล็กและใหญ่ รวมทั้งหยกจักรพรรดิสองชิ้นที่เธอเพิ่งจะเปิดออก
ชางกวนโม่ค่อยเดินเข้าไป ดวงตาของเขายิ้มและลูบลงที่หัวของไป๋เสวี่ยหลี่ด้วยความเอ็นดู “เสี่ยวลี่ พี่แวะมาเยี่ยมแล้วนะ…”
มู่หรงเสวี่ยเองก็ค่อยๆเดินเข้าไปด้วยเช่นกัน เธอนอนหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียง อย่างไรก็ตามเครื่องมือมากมายก็ไม่สามารถบดบังความสวยของเธอได้เลย ดวงตาที่ปิดอยู่ของเธอแต่ยังสามารถเห็นขนตางอนยาวได้, คิ้วที่โค้งได้รูปแสดงให้เห็นถึงความอ่อนหวานและสวยงามของผู้หญิงเจียงหนาน ถึงแม้ริมฝีปากแดงจะดูซีดแต่เธอก็ยังสวย ซึ่งทำให้ผู้คนใจสั่นได้ มีเพียงหญิงสาวคนเดียวที่นอนอยู่บนเตียงสีขาว แม้แต่มู่หรงเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจอยู่เล็กๆ
มู่หรงเสวี่ยแตะลงที่ไหล่ของชางกวนโม่ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ตอนที่เขาหันกลับมาเธอจึงเอ่ยขออนุญาตเขา เธออยากที่จะเห็นสถานการณ์ของเจ้าหญิงนิทราแสนสวยคนนี้
ชางกวนโม่พยักหน้าและขยับถอยห่างไปเล็กน้อยเพื่อไปยืนอยู่ข้างหลังมู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยค่อยๆวางมือลงที่ข้อมือของไป๋เสวี่ยหลี่และจับชีพจรของเธออย่างระวัง เธอพบว่าถึงแม่ชีพจรเธอจะอ่อนแต่ก็ยังมั่นคงและในร่างกายก็ไม่ได้มีปัญหามากนัก งั้นเธอน่าจะมีปัญหาเส้นประสาทของสมองถูกกดทับ
มู่หรงเสวี่ยวางมือลง เพ่งการมองเห็นไปที่สมองของไป๋เสวี่ยหลี่ แล้วก็ได้เห็นหนองและแผลบวมจากกระสุนอยู่เบื้องหน้าเธอ และนอกจากนี้ระบบประสาทบางส่วนของไป๋เสวี่ยหลี่ก็อ่อนแอและไม่มีทางที่จะฟื้นขึ้นมาได้ตอนนี้
บางทีเธอน่าจะกระตุ้นสมองของเธอด้วยเข็มทองคำ, กระตุ้นพลังของเธอแล้วค่อยลดอาการบวมออกจากร่างของเธอ บางทีแบบนี้เธออาจจะฟื้นขึ้นมาได้
หลังจากเวลาผ่านไปนาน มู่หรงเสวี่ยก็ค่อยๆผ่อนคลายพลังทางจิต นี่เป็นการสังเกตที่ยาวนานมาก ร่างกายของเธอสั่นไปหมด ชางกวนโม่จับเธอไว้ได้ทัน “เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? เป็นอะไรหรือเปล่า!”
มู่หรงเสวี่ยส่ายหัวและรู้สึกเวียนหัว หลังจากนั้นก็ทำท่าให้ช่างกวนโม่ปล่อยเธอได้แล้ว “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่ลุกขึ้นเร็วไปหน่อยเลยเวียนหัว…”
“ไม่นะ เธอหน้าซีดมากเลย ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล” ชางกวนโม่พูดพร้อมทั้งอุ้มมู่หรงเสวี่ยออกมา และไม่สนใจว่าพวกคนงานจะประหลาดใจกันมากแค่ไหน
หลังจากที่ออกจากประตูมา มู่หรงเสวี่ยรู้สึกอายมากจนไม่กล้าที่จะเงยหน้า “คุณจะทำอะไร? ทุกคนกำลังมองอยู่นะ ฉันอายจะตายอยู่แล้วนะ!” มู่หรงเสวี่ยทุบเขาเบาๆที่ไหล่
“ฉันไม่อายหรอกที่ต้องอุ้มเมียตัวเอง ฉันคิดว่าพวกเขาก็แค่อิจฉาแหละ ฮ่าฮ่าฮ่า!” ชางกวนโม่ยิ้มให้กับมู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยได้ยินว่าเขายังหัวเราะอยู่ก็เลยกัดไปที่หน้าอกของชางกวนโม่ด้วยความไม่พอใจ
ความรู้สึกเจ็บชาๆที่หน้าอก ทำให้ร่างของชางกวนโม่สั่นไปหมด แม่หนูแมวป่านี่!!!!
ไม่นานนักชางกวนโม่ก็วางมู่หรงเสวี่ยลงที่เบาะฝั่งคนนั่งและหลังจากที่เธอถูกคาดเข็มขัดเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปที่อีกฝั่งเปิดประตูและขับออกไป
มู่หรงเสวี่ยพูดด้วยความโกรธ “ฉันไม่ไปโรงพยาบาลนะ ฉันมีความรู้เรื่องการรักษาอยู่แล้ว แล้วจะไปโรงพยาบาลอีกทำไม?! ฉันหิวแล้ว ฉันอยากจะกิน!!!”
ชางกวนโม่ถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ไม่เป็นไรจริงๆเหรอ? ฉันเห็นเธอหน้าซีดมากเลยนะ ฉันว่าไปเช็กหน่อยดีกว่านะ” เขาไม่มั่นใจจนกว่าเธอจะได้รับการตรวจ
คอมเม้นต์