มหาจอมเวทย์ผู้กลับมาอีกครั้งหลัง 4000 ปี The Great Mage Returns After 4000 Years – บทที่ 28 ดันเจี้ยนมรดกและราชาแห่งขุนเขา(3)
ขนาดของห้องสุดท้ายมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับห้องก่อนหน้านี้
ทางด้านซ้ายเป็นโต๊ะและเก้าอี้และทางด้านขวามีกล่องเก็บของที่ดูซอมซ่อ
ถ้าห้องที่เขาเห็นจนถึงตอนนี้เป็นห้องเก็บของห้องนี้ก็ดูเหมือนห้องที่มีคนเคยอาศัยอยู่
เฟรย์ไปที่กล่องเป็นอันดับแรก
มีทั้งหมดสองกล่อง เมื่อเฟรย์เปิดกล่องแรกเขาก็พบไอเท็มที่เขาตามหา
ข้างในเป็นขวดเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยสารคล้ายๆนม
เมื่อมองดูแล้วเฟรย์ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่ามันชื่อ
“ โฟรเซินริฟเวอะ ”
มันเป็นของเหลวที่พบได้เฉพาะในถ้ำคร่ำครวญห่างไกลจากเงือมมือมนุษย์และก่อตัวขึ้นในอัตราหนึ่งหยดทุกๆพันปี
การดื่มเพียงหยดเดียวจะกระตุ้นเส้นเลือดทั้งหมดในร่างกายและเพิ่มปริมาณและความไวต่อมานาอย่างไม่น่าเชื่อ
นอกจากนี้ขนาดของห้องมานาจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าหาก ‘เฟรย์’ คนเดิมได้รับเพียงครั้ง1หยด เขาก็จะสามารถไปได้ถึงระดับ 4 ดาวแบบก้าวกระโดด
โฟรเซินริฟเวอะเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งที่หลายคนสงสัยว่ามีอยู่จริงหรือไม่
นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่เฟรย์ต้องการเพื่อไปให้ถึงระดับ 7 ดาวให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาต้องการ
เขาเก็บขวดใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง นี่เป็นไอเทมชิ้นเดียวในกล่องแรก
เขาเปิดกล่องที่สองทางด้านขวาของมัน
สิ่งที่เขาพบคือต่างหูคู่หนึ่ง อัญมณีสีแดงเลือดและสร้อยข้อมือสีน้ำเงิน
“ …”
เฟรย์หลับตาลง
ระหว่างทางมาที่นี่เฟรย์ได้เห็นสิ่งของวิเศษมากมาย ของวิเศษเหล่านี้เป็นของที่พ่อมดยอมแลกแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
อย่างไรก็ตามในขณะที่มองไปที่พวกมันเฟรย์กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป
ต่างหูที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นของที่เขาทำขึ้นมาเอง
“ ต่างหูไต้ฝุ่น”
มันช่วยทำให้ผู้ใช้มีสมาธิและยังมีเวทมนตร์ป้องกันอีกด้วย
มันไม่ใช่สิ่งของที่น่าทึ่งแม้ว่ามันจะอยู่ในห้องสุดท้ายก็ตาม
ในตอนแรกเฟรย์ทำมันขึ้นมาเพื่อฆ่าเวลาไปวันๆ แต่เขาได้ให้ชไวเซอร์หลังจากที่ชไวเซอร์บอกว่าเขาชอบต่างหูนี่ด้วยเหตุผลบางอย่าง
อย่างไรก็ตามเฟรย์ยกตุ้มหูออกจากกล่องเหมือนมันเป็นสมบัติ
‘ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านายจะทิ้งสิ่งนี้ไว้ในห้องสุดท้าย’
เฟรย์ยิ้มแล้วมองไปที่สร้อยข้อมือ
นี่คือสิ่งที่อยู่เหนือสิ่งของวิเศษทั้งหมดที่เขาเคยเห็นมาจนถึงตอนนี้
“ ไม้เท้าแห่งมหานักปราชญ์ ”
แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในรูปแบบของสร้อยข้อมือ แต่ก็เป็นไม้เท้าที่ชไวเซอร์รักมาก
มันเป็นเหมือนกับลายเซ็นของเขาด้วย
มันทำให้มานาของผู้ใช้บริสุทธิ์ขึ้นและเข้มข้นขึ้นจนถึงขีดสุดเพื่อเพิ่มพลังเวทย์มนตร์ของผู้ใช้ได้หลายเท่าตัว
นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการจัดเก็บคาถาได้ 5อย่างเพื่อไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
เฟรย์แทบไม่เคยใช้ไอเทมวิเศษเลย แต่ตอนนี้การตัดสินใจของเค้าเปลี่ยนไป
เพราะเหนือสิ่งอื่นใดสิ่งของนั้นเป็นของชไวเซอร์ด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะใช้มัน
เฟรย์สวมต่างหูและสวมสร้อยข้อมือทันที
จากนั้นเขาก็หยิบอัญมณีสีแดงขึ้นมา
‘นี่…คือแกนของโกเลม …’
เขาไม่ค่อยเข้าใจ
ชไวเซอร์เป็นพ่อมดที่ยอดเยี่ยม แต่เขาก็มีนิสัยที่ชอบสร้างโกเลมด้วย
เพียงแค่ดูว่ามีมานามากน้อยเพียงใดในแกนพลังเขาก็สามารถบอกได้ว่ามันมีพลังงานมากแค่ไหน
สุดท้ายเขามองไปที่โต๊ะทำงาน
มันอบอุ่นราวกับว่ามีใครเพิ่งใช้มันเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ในความเป็นจริงมีเทียนที่ดูเหมือนเพิ่งถูกจุด
สิ่งที่เขาพบบนโต๊ะทำงานคือหนังสือ
มันเป็นไดอารี่?
เขาเปิดมันและอ่านมัน
[ลูคัสจากไปแล้ว]
นี่เป็นเพียงวลีแรก แต่หน้าอกของเฟรย์กลับรู้สึกหนักอึ้ง
ลายมือสวยหรูที่เขาคุ้นเคยนั้นยุ่งเหยิงไปหมดราวกับว่าคนเขียนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้
[เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำของลอร์ด ไม่มีใครสามารถทำให้เขาหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย]
การวิเคาะของเขาถูกต้อง
เป็นลอร์ดที่ชไวเซอร์กล่าวถึงที่ส่งลูคัสไปขังในอเวจี
[ลูคัสเป็นผู้สร้างสันติ มันเป็นบทบาทเดียวที่เขาทำได้และเป็นงานที่ไม่มีใครสามารถรับช่วงต่อได้ ฉันพยายามแบกรับภาระของเขา แต่ไม่มีสักครั้งที่ฉันรู้สึกว่ามันเพียงพอ ฉันขอโทษฉันขอโทษ ลูคัสมันเป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน]
คำพูดในหนังสือจบลงที่นั่น
ไม่ดูเหมือนจะมีหนึ่งย่อหน้าสุดท้าย
[หากใครเห็นสิ่งนี้กรุณาสร้างอนาสตาเซียด้วยเพราะเบาะแสทั้งหมดอยู่ที่นั่น…ในผลงานชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉัน…อนาสตาเซีย]
เฟรย์หยิบอัญมณีออกมาอีกครั้ง
เมื่อมองดูอย่างละเอียดเขาเห็นตัวอักษรสลักอยู่บนอัญมณี
พวกมันถูกเขียนว่า
[อนาสตาเซีย]
* * *
“ฉันรู้แล้วนี่คือแกนของโกเลมที่สร้างโดยชไวเซอร์ ”
บางทีเขาอาจจะทำมันหลังจากที่เขาหายตัวไป
เฟรย์เริ่มอยากรู้อยากเห็น
จากสิ่งที่เขาจำได้ชไวเซอร์มาถึงจุดสุดยอดของการเป็นนักสร้างหุ่น
เขารักโกเลมทุกตัวที่เขาสร้างขึ้น
แต่เขาไม่เคยแสดงความไม่มั่นใจในโกเลมของเขาเลย
‘โกเลมที่ชไวเซอร์สามารถเรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของเขา’
มันจะมีพลังมากแค่ไหน?
“ …”
เฟรย์ส่ายหัวและใส่แกนโกเลมกลับเข้าไปในกระเป๋า
โดยพื้นฐานแล้วมันคือนิวเคลียส เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดแต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างโกเลม
เขาแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการสร้างโกเลมเลย โกเลมที่เขาสร้างขึ้นในขณะที่เบื่อหน่ายนั้นเป็นเหมือนหายนะมากจนทำให้ชไวเซอร์แทบคลั่ง
ชไวเซอร์ถึงกับระเบิดหัวเราะออกมา
‘ข้อร้องละ อย่าพยายามสร้างโกเลมอีกเด็ดขาด!’
เขาจำได้ว่าผู้ชายคนนั้นหัวเราะอย่างหนักจนน้ำตาไหลและโดนลูกไฟฟาดเข้าที่ใบหน้า
อย่างไรก็ตามเขาไม่มีส่วนผสมในการสร้าง และเขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ดังนั้นเขาจึงต้องรอเพื่อหานักสร้างหุ่นที่มีความสามารถสร้างให้เขาได้ในภายหลัง
‘ถ้าฉันสร้างโกเลมตัวนั้นฉันจะมีภาพที่ชัดเจนว่าสิ่งต่างๆเป็นอย่างไรหลังจากที่ฉันหายตัวไป’
ข้อมูลในหนังสือมันน้อยเกินไป
เพื่อใกล้ชิดกับชไวเซอร์ที่กำลังคร่ำครวญเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขาในเวลานั้น
ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ชไวเซอร์ทิ้งไว้น่าจะอยู่กับอนาสตาเซีย
เฟรย์เหลือบมองไปรอบๆ ห้อง
มีอีกหนึ่งประตูซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางออก
เขามองไปรอบๆ ห้องอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาได้เอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการออกมาแล้ว
เฟรย์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอาหนังสือและปากกาบนโต๊ะใส่ลงในกระเป๋าของเขาและจากไป
กร๊ากกก…
ทันทีที่เฟรย์ออกจากห้องประตูก็ปิดลง
ชิ้ง
เวทมนตร์ป้องกันก็ดูเหมือนจะปกป้องห้องซึ่งหมายความว่าไม่มีใครสามารถเข้ามาในห้องได้อีกหลังจากออกไปแล้ว
แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่สำคัญเพราะเขาได้สิ่งที่ต้องการมาหมดแล้ว
เฟรย์เดินผ่านถ้ำมืดและเมื่อเดินไปถึงทางออกไม่กี่ก้าวเขาก็หยุด การแสดงออกของเขาดูแข็งกร้าว
“ …”
เขาหันกลับมามอง
ถ้ำที่เขาอยู่นั้นเป็นทางตันเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไป
เขาแน่ใจว่ามันรู้เรื่องนี้และมันกำลังรอเขาอยู่ข้างนอก
หายใจเข้าลึกๆ เฟรย์เดินออกจากถ้ำ
[….]
มันคือเดรก
มีขนาดใหญ่กว่าเดรกธรรมดาหลายสิบเท่า มันกำลังจ้องมองไปที่เฟรย์ด้วยดวงตาสีแดงเพลิง
ฟันที่แหลมคมทุกซี่มีขนาดเท่ากับตัวเฟรย์
– แดรกคิง
มันเป็นผู้ปกครองภูเขาที่เฟรย์ไม่อยากเจอ
ไม่ใช่แค่แดรกคิงแต่มี แดรกหลายสิบตัวโฉบอยู่ใกล้ๆ
ราวกับว่าพวกมันกำลังปกป้องกษัตริย์
เฟรย์มองไปรอบๆ
‘นี่คือตำแหน่งที่แย่ที่สุด’
มันเป็นหน้าผาสูงชันละพื้นที่นั้นขยับไปมาได้ยาก
อีกทั้งคู่ต่อสู้ยังเป็นสัตว์ประหลาดที่บินได้และมีผิวหนังที่แข็งแกร่งซึ่งเวทมนตร์จะไม่สามารถทำอะไรได้ดีนัก
เฟรย์ถอนหายใจและอ้าปาก
“ แกรอฉันอยู่หรือเปล่า? ”
[…]
ดวงตาที่สดใสของเดรกคิงจ้องมองไปที่เฟรย์
เฟรย์พูดต่ออย่างใจเย็น
“ ฉันรู้ว่าแกมีสติปัญญา ตอบฉันมา แกกำลังรอฉันอยู่หรือเปล่า?”
[คุคุคุ]
เดรกคิงหัวเราะและเหล่าเดรกที่อยู่รอบ ๆ ก็กรีดร้องเหมือนกำลังตอบสนอง
[นายเป็นผู้ชายที่น่าสนใจทีเดียว ใช่ฉันกำลังรอนายอยู่ ฉันกำลังรอมนุษย์ที่เข้ามาในภูเขาของทอร์กุนทาโดยไม่รู้สึกกลัว]
ทอร์กุนทาเดรกคิงได้ปล่อยเสียงหัวเราะอีกครั้ง
[นายมาที่นี่เพื่อหาพลังที่ซ่อนอยู่ในภูเขานี้]
“ …แกรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของดันเจี้ยนนี้?”
[โอ้โอ้ แน่นอน เป็นเวลาหนึ่งพันปีแล้วที่ฉันได้ปกครองสถานที่แห่งนี้ ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง?]
หนึ่งพันปี
เฟรย์ขมวดคิ้ว
เขารู้สึกได้ตั้งแต่วินาทีที่เห็น แต่หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากมันเองเขาก็มั่นใจ
‘มันก้าวข้ามเผ่าพันธุ์ของมันไปแล้ว’
เพราะมันมีขนาดตัวที่ใหญ่มากๆเกินเดรกทั่วไป สติปัญญาที่เหมือนมนุษย์ และอายุไขที่ยาวนานของมัน
มันต้องผ่านอะไรมามากมาย
เจ้าตัวกลายพันธุ์ตัวนี้โดดเด่นตั้งแต่ตอนถือกำเนิด มันมาพร้อมกับสติปัญญาที่เหนือกว่าเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์ตัวอื่นๆของมันและมันโชคดีที่ได้กินสมุนไพรวิเศษหรือสิ่งของต่างๆ
หากคุณจะเปรียบเทียบมันกับเดรกธรรมดาๆการดำรงอยู่ของทอร์กุนทาอาจถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่ทับซ้อนกันซึ่งไม่สามารถทำซ้ำอีกได้
เฟรย์รู้ตัวอีกครั้ง
สัตว์ประหลาดตรงหน้าเขาเป็นคนแรกที่มีความสามารถในการฆ่าเขาตั้งแต่เขากลับมาโลกนี่
[ตอนแรกฉันก็สงสัยว่าทำไมมนุษย์ที่ไม่ได้อยู่แถวนี่ถึงมากัน ฉันอยากรู้ว่าพวกมันต้องการอะไรดังนั้นฉันจึงปล่อยให้พวกมันไปตามทางของตัวเองสักพัก]
ผู้ที่มาก่อนเฟรย์น่าจะกำลังมองหาไอเทมต่างๆของชไวเซอร์
[ฉันค้นหาสถานที่หลายแห่งก่อนที่จะสังเกตเห็นภูเขาลูกนี้ มันค่อนข้างง่ายที่จะสังเกตเห็น ฉันยังรู้ว่ามีช่องว่างซ่อนอยู่ข้างใน…]
ทอร์กุนทาพูดด้วยวิธีที่ไม่พอใจเล็กน้อย
[แต่…ฉันเข้าไปที่นั่นไม่ได้ ฉันไม่สามารถทำลายมันได้]
แน่นอนว่าจะเป็นเช่นนั้น
ไม่ว่าทอร์กุนทาจะฉลาดแค่ไหนเมื่อเทียบกับเดรกทั่วไป เขาไม่มีทางที่เขาจะต่อกรกับมหานักปราชญ์ชไวเซอร์ที่เป็นคนที่สร้างดันเจี้ยนบนภูเขานี้ได้
[ดังนั้นฉันจึงรอ ฉันเฝ้าดูสิ่งที่พวกมนุษย์กำลังทำ พวกมันเอาอาวุธบางชนิดออกมาด้วยหรือไม่ก็แข็งแกร่งขึ้นโดยตรงเมื่อพวกมันออกมา จากถ้ำที่นายเพิ่งเดินออกมา]
ดวงตาของทอร์กุนทาโค้งเป็นดวงจันทร์ครึ่งดวง
[แน่นอนเมือพวกมันเป็นมนุษย์ จึงไม่แปลกที่พวกมันจะกลายเป็นเหยื่อของฉัน]
ในขณะนั้นความไม่พอใจจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทอร์กุนทา
เป็นเพราะเขาจำผู้หญิงคนหนึ่งที่หลบหนีการจับกุมของเขาได้
เธอมีผมสีม่วงและสายตาเย็นชา
ทอร์กุนทายังคงพูดคุยต่อเพื่อไล่ความทรงจำที่น่าอับอายออกไป
[มันทำให้ฉันมีความสุขมาก บางคนมีอาวุธที่แม้แต่ฉันก็ไม่สามารถทำลายมันได้ อาวุธพวกนั่นน่ารำคาญทดังนั้นฉันจึงเอาพวกมันไปทิ่ง แต่สิ่งที่ฉันให้ความสนใจมากที่สุดไม่ใช่คนที่ออกพร้อมอาวุธ]
ทอร์กุนทาหัวเราะเบา ๆ
[คนที่กินน้ำอมฤต … พวกมันมีกลิ่นที่หอมมาก และเมื่อฉันกินมันฉันก็แข็งแรงขึ้น จากนั้นมาฉันรอให้มนุษย์อย่างนายมาที่นี้เสมอ]
ทอร์กุนทาดูดีใจ
ตอนนี้เฟรย์เข้าใจแล้วว่าทำไมทอร์กุนทาถึงสามารถมีช่วงชีวิตได้ยาวนานขนาดนี้
‘เมื่อเขากินมนุษย์ที่เลือกรับยาอายุวัฒนะ เข้าก็จะได้รับยาอายุวัฒนะที่พวกเขาครอบครอง’
หรือเขากินมนุษย์ที่กินยาเข้าไปแล้ว ไม่ว่าวิธีใดผลลัพธ์ก็จะเหมือนกัน
ทอร์กุนทาตกเบ็ดมนุษย์ด้วยวิธีนี้
เขาไม่สามารถเข้าไปในดันเจี้ยนใต้ดินได้ดังนั้นเขาจึงรอให้มนุษย์ที่เข้าไปในดันเจี้ยนและรับน้ำอมฤตจากนั้นเขาก็ฆ่าและกินพวกเขา
เฟรย์เริ่มโกรธ
ผมของเขาเกือบจะกลายเป็นสีขาวจากความโกรธ
สัตว์ประหลาดสกปรกตัวนี้กำลังใช้ดันเจี้ยนล้ำค่าของเพื่อนซี้ของเขาเป็นเหยื่อล่อ
มันจะสร้างความอับอายให้กับชไวเซอร์ที่ปฏิบัติต่อดันเจี้ยนใต้ดินนี้เสมือนลูกของเขาเอง
ในขณะเดียวกันเขาจะต้องมีสมาธิ เขาประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของเขาอย่างรวดเร็ว
‘คาถาของฉันฆ่าทอร์กุนทาไม่ได้’
เขาไม่สามารถเอาชนะมันได้
มันเหมือนกันที่พ่อมดระดับ 6 ดาวไม่สามารถเอาชนะพ่อมดระดับ 7 ดาวได้
แม้ว่าเขาจะใช้คาถาที่แข็งแกร่งที่สุดเขาก็ไม่สามารถฆ่ามันได้
การใช้ไม้เท้าแห่งมหานักปราชญ์ก็คงไม่ได้ช่วยสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้เลย
‘ไอ้บ้าเอ่ย’
เฟรย์พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่แสดงสีหน้าใดๆ บนใบหน้าของเขา แต่การปรากฏตัวของทอร์กุนทานั้นน่าตกใจมาก
จากมุมมองของมนุษย์สิ่งนี้มีพลังที่เหนือธรรมชาติแถมมันก็ไม่ได้ใจร้อนเลย
ไหวพริบของเขาเข้ากับอายุของเขาในขณะที่เขาไม่รีบร้อนในการล่าเหยื่อ
หึ…
[ดวงตาของนายค่อนข้างดุ แต่นั่นคือทั้งหมดที่นายทำได้ มา…นายจะเป็นอาหารเสริมทีดีของฉัน]
ทอร์กุนทาอ้าปากกว้างและสัมผัสได้ว่าลาวาที่เหมือนเปลวไฟกำลังเลื้อยขึ้นไปบนคอของมัน
เฟรย์ใส่มานาของเขาลงในสร้อยข้อมือ
ในขณะนั้นไม้เท้าแห่งมหานักปราชญ์ก็อยู่ในมือของเขาและเขาใช้หนึ่งในคาถาที่เก็บไว้โดยไม่ลังเล
“ กำแพงดิน ”
กรร
มันเป็นคาถาง่ายๆที่ยกพื้นขึ้นไปทางด้านหน้าของเขาและสร้างกำแพง แต่เฟรย์ได้ใช้ภูมิประเทศและทำให้เกิดประโยชร์สูงสุด
เขาใช้มุมของหน้าผาสูงแทงไปที่คอของทอร์กุนทาเหมือนหอก
มันทรงพลังมากจนดูไม่เหมือนกำแพงดินอีกต่อไป
จึก!
แต่มันไม่ได้ผล
หอกอย่างกำแพงดินซึ่งน่าจะแข็งแกร่งกว่าหอกเหล็กก็ไม่อาจแม้แต่จะสร้างรอยขีดข่วนบนคอของทอร์กุนทา
ตอนนี้ถึงตาของทอร์กุนทาและดูเหมือนมันกำลังจะพ่นไฟออกมา
แม้แต่หน้าผาก็ละลายเหมือนกับน้ำแข็งที่อยู่ในทะเลทรายภายไฟของเขา
เฟรย์กระโดดขึ้นไปในอากาศและเปิดใช้งานเวทมนตร์บิน
ฮุ๊ก
จากนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างร้อนๆไหลผ่านหลังของเขา แต่เฟรย์ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก
“ ขี้กกกกกก!”
พวกเดรกที่เฝ้ามองบนอากาศทั้งหมดเริ่มบินโฉบลงมา
เฟรย์กัดริมฝีปากของเขาและเริ่มร่ายเวทมนตร์ด้วยมือทั้งสองข้าง
“ หอกน้ำแข็ง พายุลม”
หอกน้ำแข็งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและได้รับพลังจากพายุลม หอกน้ำแข็งบินด้วยพลังที่น่าทึ่งและแทงไปยังพวกเดรก
หอกฉีกผิวหนังที่หนาของพวกเดรกออกจากราวกับกระดาษ
ตอนนี้เฟรย์สามารถทำการร่ายมนต์ได้พร้อมกันถึงสามเวทย์ แต่เขาไม่มีเวลาทำเช่นนั้น
‘พวกมันมีจำนวนมากเกินไป’
คุคคค
เกราะเวทย์ของเขามีรอยขีดข่วน มันถูกสร้างขึ้นจากต่างหูไต้ฝุ่นของเขา
หากไม่ใช่เพราะเกราะเวทย์ เขาจะถูกบังคับให้ร่ายเวทย์ป้องกันอย่างแน่นอน
เขาไม่อยากเสียเวลาสนใจกับพวกลูกกระจ๊อกเหล่านี้
เว้นแต่เขาจะจัดการกับทอร์กุนทาที่เป็นราชา ไม่เช่นนั่นฝูงเดรกจะโจมตีเขาไปเรื่อย ๆ
เฟรย์มองไปรอบๆ อย่างโกรธเกรี้ยวขณะที่กำลังฆ่าเดรคที่อยู่ใกล้ ๆ
‘ฉันสามารถทำให้เกิดการระเบิดภายในร่างกายของมันได้ไหม? ถ้าฉันประสานตำแหน่งได้อย่างถูกต้องฉันก็น่าจะทำได้ บางทีฉันควรจะปิดกั้นสายตาของมันด้วยหมอกหรือควัน…ไม่ การกระพือปีกง่ายๆของมันก็เพียงพอที่จะกำจัดกลเม็ดเล็กๆ เช่นนี้ได้ ‘
นอกจากนี้แม้ว่าเขาจะสามารถทำให้เกิดการระเบิดภายในได้ แต่เขาก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายได้มากพอที่จะทำให้มันสลบไปกลางอากาศ
ทอร์กุนทาใหญ่เกินไปสำหรับเรื่องนั้น
เขาต้องการที่จะหลบหนีมากกว่า แต่ในขณะที่เขาคิดถึงเรื่องนี้เขาก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลบหนีทัน
พวกมันจะไม่มีวันปล่อยให้เขาหนีไปและเขาก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะใช้เวทย์วาร์ปได้
ถึงแม้ว่าเขาจะใช้มันได้เขาก็ยังต้องใช้เวลาประมาน 10 นาทีในการเปิดใช้งาน
‘เวทมนตร์ไม่สามารถทำอะไรได้เลย มิฉะนั้นคนอื่นๆที่เขาล่ามาก็คงไม่โดนกินแบบนี้ …’
มันเป็นวิกฤตแน่นอน
หากต้องการกำจัดทอร์กุนทาเขาต้องใช้คาถาที่ทรงพลังขนาดใหญ่ ไม่ใช่คาถาขนาดเล็กและอ่อนแอ
แต่ในขณะนี้เฟรย์ไม่สามารถใช้เวทย์มนตร์ดังกล่าวได้
‘ถ้าฉันทำไม่ได้ฉันต้องดื่มโฟรเซินริฟเวอะ …’
แต่จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์เพื่อให้โฟรเซินริฟเวอะมีเสถียรภาพ
ที่เขาออกมาจากดันเจี้ยนก่อนเพราะเขาอาจจะตายได้ถ้าหากเขาไม่ได้รับอาหารและน้ำดื้ม
‘ฉันไม่มีทางเลือก’
เฟรย์ตัดสินใจ เขาไม่รู้ว่ามันจะสถียรแค่ไหน
หากเขาทำพลาดเพียงครั้งเดียวร่างกายของเขาจะได้รับความเสียหายอย่างมาก แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องตายที่นี่
ด้วยความคิดนั้นเฟรย์จึงหยิบโฟรเซินริฟเวอะออกมาจากกระเป๋าของเขา
“ กรืบ!”
จากระยะไกลบางสิ่งบางอย่างบินเข้าหาพวกเขาด้วยเสียงกรีดร้อง
พวกเดรกทั้งหมดรวมถึงทอร์กุนทาหันไปจ้องมองที่ร่างที่กำลังจะมาถึง
เฟรย์อดไม่ได้ที่จะพึมพำเมื่อเห็นรูปร่างของสิ่งมีชีวิตนี้
“คุณ…”
มันคือนกฟีนิกซ์
มันเป็นตัวเดียวกับที่เฟรย์ช่วยรักษาโดยใช้มานาของเขา ตอนนี้มันกำลังกรีดร้องไปที่ทอร์กุนทาพร้อมที่ความร้อนที่เกิดจากความโกรธที่รุนแรง
คอมเม้นต์