มหาจอมเวทย์ผู้กลับมาอีกครั้งหลัง 4000 ปี The Great Mage Returns After 4000 Years – บทที่ 105 ลอร์ด (4)
บทที่ 105 ลอร์ด (4)
(Note : แม่ของเฟรย์เปลี่ยนจาก เรตา เป็น เรต้า)
ลอร์ดบอกว่าพวกเขาจะต้องรออีกสักหน่อยเพื่อให้เดมิก็อดทั้งหมดมารวมตัวกัน
จากนั้นเขาสั่งให้อัครสาวกออกไปเพราะเขาต้องการที่จะพูดคุยบางอย่างกับเหล่าอะโพคาลิปส์
ไม่มีทางที่พวกเขาจะฝ่าฝืนลอร์ดดังนั้นอัครสาวกทั้งห้าจึงมุ่งหน้าลงไปที่ชั้นใต้ดินของปราสาท
เฟรย์เป็นคนที่ทําหน้าที่เป็นไกด์ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเนื่องจากเฟรย์และริกิเป็นคนที่ไปถึงที่นั่นก่อน
ห้องใต้ดินมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่เนื่องจากมันถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยของทาสจึงค่อนข้างสกปรก
เฟรย์และริกิไม่ต้องกังวลกับการทําความสะอาดเพราะพวกเขาอยู่แค่ชั้นบนเท่านั้น
ด้วยเหตุนั้นทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าที่รุนแรง
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะไม่มีอัครสาวกคนใดสนใจเรื่องนี้
แม้แต่เรต้า ท่านหญิงแห่งตระกูลเบลคยังคว้าเก้าอี้ไม้เก่าๆมาไว้นั่งที่ก้นของเธอโดยไม่ลังเล
ส่วนที่เหลือก็ทําเช่นกัน
พวกเขาต่างก็หามุมสําหรับนั่งอยู่อย่างเงียบ ๆ
“ คุณมีอะไรกินไหม?”
เป็นปีศาจที่ถามคําถามนี้ด้วยเสียงทุ่ม
เฟรย์เหลือบมองเขาครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ ฉันมีขนมปัง
“ แล้วเครื่องดื่มล่ะ”
”เบียร์”
”เยี่ยม”
จากนั้นเฟรย์ก็ขึ้นไปชั้นบนไปที่คลังอาหารและนําขนมปังและเบียร์กลับมาสี่ชุดเพื่อมอบให้ทุกคน
“ไม่จําเป็นหรอก”
เรต้าเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมรับอาหาร
เฟรย์ก็ยังไม่กินอะไรเลย
เขาไม่หิวและยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่อยากเอาหน้ากากออก
หลังจากรับประทานอาหารได้ไม่นานเจนตาก็เดินเข้าไปหาเฟรย์ซึ่งนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ ถอดหน้ากากออกซะ!”
เห็นได้ชัดว่าเขากําลังสั่ง
เฟรย์ไม่แปลกใจ แต่เขาคาดหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น
พวกเขารู้สึกไม่พอใจที่เฟรย์ไม่เปิดเผยใบหน้าเหมือนคนอื่น
* จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันไม่ทํา”
แน่นอนว่าเขาไม่จําเป็นต้องสนใจสิ่งที่ถูกสั่ง แต่เฟรย์เลือกที่จะยั่วโมโหเขาแทน
“ คุณจะเอาออกดีๆหรือต้องใช้กําลัง”
“ ฉันไม่เห็นว่าทําไมฉันต้องทํา”
“ พอเถอะ”
ไม่ใช่เฟรย์ที่พูดแบบนั้น
แต่เป็นปีศาจที่ฉีกขนมปังอย่างโหดเหี้ยม
เขามีผิวสีแดงและดวงตาที่ไม่มีรูม่านตาและดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะซ่อนอยู่หลังหน้ากาก
เจนตาและฟีนิกซ์ทั้งคู่กินขนมปังของพวกเขาในขณะที่พยายามปกปิดใบหน้าให้ได้มากที่สุด
“ พอแล้วเหรอ? คุณไม่อยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของผู้ชายคน นี้หรือ”
“ แน่นอนว่าฉันอยากรู้อยากเห็น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องกังวล”
“ คุณไม่สามารถทําอะไรได้มากกับความสังสัยของคุณโดย เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดมิก็อดอยู่ใกล้ๆ ”
เจนตาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาเพียง แค่หันหลังเดินกลับไปที่มุมของเขาและนั่งลง
เฟรย์ถอนหายใจก่อนที่จะหันไปหาปีศาจ
เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองของเขาปีศาจก็หันกลับไปมองเฟรย์
นอกจากนั้นยังมีสายตาอีกอย่างที่จ้องมองไปที่เฟรย์ฟีนิกซ์
เธอยังมองไปที่เขา
เฟรย์หันหน้ามาและพบกับการจ้องมองของเธอแต่ทุกคนยังคงเงียบ
* มันแย่มากที่ไม่สามารถใช้โทรจิตได้
เขาสงสัยว่าเธอกลายเป็นอัครสาวกของอัคนี้ได้อย่างไรและอะไรอยู่ในความคิดของเธอในขณะนั้น
สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งคือเขาไม่รู้สึกสงสัยหรือเป็นศัตรูกับการจ้องมองของเธอเลย
มิฉะนั้นเธอคงจะเปิดเผยตัวตนของเขาไปแล้ว
เฟรย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบกับเธออย่างมีความสุข อย่างไรก็ตามนี้ค่อนข้างตรงกันข้ามกับการกลับมาพบกันใหม่ที่เขาจินตนาการไว้
สําหรับตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะไม่คิดถึงเรื่องนั้น
นั่นคือทั้งหมดที่ฉันต้องพูดในตอนนี้
เมื่อลอร์ดพูดเช่นนั้นเดมิก็อดคนอื่นๆ ก็พยักหน้า
[ที่เหลือกลับไปได้แล้วส่วนริกิฉันอยากคุยกับนายสักครู่
เข้าใจแล้ว”
– ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ?
ความคิดนี้ลอยอยู่ในหัวของริกขณะที่เดมิก็อดคนอื่นๆออกจากห้องไปอย่างช้าๆ
ขณะที่อนันตาเดินผ่านไปเขามองริกด้วยสายตาและท่าทาง
เยาะเย้ย
เขามั่นใจว่าตอนนี้ลอร์ดจะตรวจเชคริกเป็นพิเศษ
ไม่นานมีเพียงลอร์ดและริกเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องโถง
ลอร์ดสั่นมือเล็กน้อย
อูววว
ทันใดนั้นห้องก็ถูกปกคลุมไปด้วยกําแพงอีกชั้น
การแสดงออกของริกิแข็งกระด้างเมื่อเขารู้สึกถึงพลังของกําแพงนั้น
เขามั่นใจว่าเขาจะไม่สามารถหลบหนีได้เว้นแต่เขาจะใช้พลังทั้งหมดจริงๆ
[ไม่จําเป็นต้องรู้สึกกังวลไปริกิ]
ลอร์ดพูดเบาๆ
ริกิก็ตระหนักได้ว่าเขาได้เอามือจับด้ามดาบโดยที่ไม่รู้ตัว
(ฉันไม่ต้องการให้ใครได้ยินการสนทนาของเรา นายทราบดีว่าตอนนี้นอซดอกและอนันตไม่มีความรู้สึกในเชิงบวกต่อ นายเรย์รินดูเหมือนจะไม่สงสัยอะไร แต่เธอก็คงอยากรู้อยากเห็นอย่างแน่นอน
แน่นอนว่ามีโอกาสที่พวกเขาจะพยายามดักฟังการสนทนา
นี้
แต่ตอนนี้ลอร์ดได้สร้างกําแพงกั้นหลายชั้น พวกเขาไม่สามารถดักฟังได้
“นายต้องการที่จะพูดคุยเกี่ยวกับ?”
ริกิน้องชายคนโตของฉัน ฉันยังจําความสุขที่ฉันรู้สึกเมื่อได้เห็นนายเป็นครั้งแรก]
มันเป็นคําพูดที่ไม่คาดคิด แต่น้ําเสียงของลอร์ดเต็มไปด้วยความคิดถึงโดยที่ริกไม่จําเป็นต้องถามเขาเลย
ลอร์ดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เขาจําไม่ได้ด้วยซ้ําว่านานเท่าไหร่แล้ว
ในสมัยก่อนมนุษย์และสัตว์มรรตัยอื่น ๆ ยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะ ใช้เครื่องมือที่เหมาะสมมังกรเป็นเพียงสัตว์ประหลาดข นาดใหญ่และภูมิประเทศของทวีปก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นั่นคือตอนที่ลอร์ดหลุดออกมา ชิ้นส่วนเล็กๆซึ่งหลุดออกจากเจตจํานงของโลก
ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าที่เขาจะได้รับมีความรู้สึก
ในเวลานั้นลอร์ดใช้เวลาไม่นานนักที่จะตระหนักว่าเขา แข็งแกร่งกว่าทุกสิ่งที่มีชีวิตอยู่เขาเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ๆ
เขารู้สึกว่าแม้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ทั้งหมดจะร่วมมือกันเพอต่อสู้กับเขาเขาก็ยังสามารถเอาชนะได้โดยไม่ยาก
แต่ความจริงนั้นไม่ได้ทําให้ลอร์ดประทับใจ
สิ่งที่สําคัญ
เขาไม่รู้ด้วยซ้ําว่าทําไมเขาถึงมีอํานาจเบ็ดเสร็จเช่นนี้
เขามีอํานาจที่จะครองโลก แต่เขากลับไม่มีจุดมุ่งหมายที่แท้จริง
เขาไม่รู้ด้วยซ้ําว่าทําไมเขาถึงมีตัวตนตั้งแต่แรก เมื่อเวลาผ่านไปเขาค่อยๆถูกกลืนกินไปอย่างช้าๆด้วยความรู้สึกเหงาอยู่
ลึกๆ
จากนั้นชิ้นส่วนอีกชิ้นหนึ่งก็ตกจากความประสงค์ของโลก
[นายคงไม่เข้าใจความสุขที่แท้จริงที่ฉันรู้สึกได้เพราะในที่สุดฉันก็ได้พบอีกคนบนโลกนี้ที่เหมือนกับฉัน]
ในที่สุดเขาก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
ความจริงนั้นเพียงอย่างเดียวก็ทําให้ลอร์ดมีพระประสงค์ที่จะมีชีวิตอยู่
ไม่มีจุดประสงค์?
ถ้าเช่นนั้นเขาก็ต้องสร้างมันขึ้นมา
เขามีพลังที่จะทําอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ
นั่นไม่ใช่ทั้งหมด
หลังจากการปรากฏตัวของริกิ เดมิก็อดคนอื่นๆก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นทีละคน
พวกเขาเหมือนลอร์ดที่สับสนในตอนแรก
พวกเขารู้สึกเหงาและสับสนแบบเดียวกับที่ลอร์ดรู้สึก
นั่นคือตอนที่ลอร์ดทรงตระหนักว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร
เขาต้องเป็นผู้นําของพวกเดมิก็อด
ผู้นําที่จะแนะนําคนเหล่านี้ที่ไม่รู้จักวิธีควบคุมพลังเหนือธรร
มชาติ
สาเหตุที่เขามีสติก่อนคนอื่น ๆ ก็เพราะว่าจะต้องมีผู้บุกเบิกสักคนหนึ่งที่ต้องทนทุกข์เพื่อพวกเขา
ตั้งแต่นั้นมาลอร์ดก็นําเหล่าเดมิก็อดได้อย่างยอดเยี่ยม
“ ทําไมนายถึงยกเรื่องนี้มาบอกฉัน”
[ริกิ ฉันอยากจะปฏิบัติต่อคนของฉันอย่างยุติธรรมและฉันก็พยายามทําเช่นนั้น แต่…ฉันรู้สึกว่ามีความจริงบางอย่างจากการร้องเรียนของนอซด็อก]
[อย่างที่เขาพูดฉันยอมนายมากเกินไปฉันปล่อยนายทําตัว เหลวไหลมากไปเมื่อเทียบกับเดมิก็อดคนอื่นๆพวกเขาไม่กล้าทําด้วยซ้ํา ไม่ทําตรงตามโควต้าของนายไม่จัดการพื้นที่ของนายไม่สนใจคําขอของฉัน…]
ในขณะที่เขาเงียบดวงตาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลอร์ด
เขาหันมามองริกิ
โดยเฉพาะการฆ่าพวกพ้องของเรา]
ริกิดไม่แปลกใจ
เพราะเขาได้คาดหวังสิ่งนี้ไว้แล้ว
เขาคิดมาตลอดว่าลอร์ดน่าจะรู้ว่าเขาเป็นคนทรยศตั้งแต่
แรก
ตั้งแต่ลอร์ดได้ขอให้พวกเขาเปิดเผยอัครสาวกให้คนอื่นๆ ริ กิก็มั่นใจแล้ว
เขาจึงวางแผนไปอีกขั้นหนึ่ง
เฟรย์อาจไม่เข้าใจว่าทําไมเขาถึงต่อต้านการแสดงตัวของอัครสาวกแต่เขาจําเป็นต้องสร้างสถานการณ์ที่จะทําให้ลอร์ดไม่ใจอ่อนอีกครั้ง
ริกิไม่รู้ว่าตัวเองพลาดไปตอนไหนหรือลอร์ดรู้ตอนไหนแต่ริกิมั่นใจว่าลอร์ดจะไม่รู้ทุกรายละเอียด
แต่ด้วยความสายตาที่แหลมคมของเขาลอร์ด เขาสามารถสังเกตเห็นแม้แต่รายละเอียดที่เล็กที่สุด
เสียงของลอร์ดดังขึ้นอีกครั้ง
[การฆ่าคนของเราเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยริกิ]
“ฉันเข้าใจดี”
[ฉันอยากถามทําไมนายถึงหักหลังเรา? นายไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน นายเข้าใจฉันดีกว่าใครๆทั้งหมด และยังเห็นด้วยกับเป้าหมายของฉัน
“ ชัดเจนแล้วยังไงละลอร์ด”
ริกิมองไปที่ลอร์ดด้วยสายตาที่แน่วแน่
“ เป็นเพราะฉันรู้ตัวแล้วว่า ว่าพวกเราได้ทําผิดพลาดไป”
(นายกําลังบอกว่าตอนนี้นายกําลังทําสิ่งที่ถูก]
“ถูกต้อง”
ลอร์ดถอนหายใจอย่างมีอารมณ์
ดวงตาที่ดุร้ายของเขาหายไปอีกครั้ง
หน้าตาของลอร์ดจะเปลี่ยนไปก็ต่อเมื่ออารมณ์ของเขา เปลี่ยนแปลงไป
ดูเหมือนว่าเขาจะฟื้นคืนสู่ความสงบ
[บางทีทั้งหมดนี่อาจเป็นความผิดพลาดของฉันเอง]
“อะไรนะ?”
เมื่อ 4,000 ปีที่แล้วฉันไม่เคยเห็นนายโกรธเท่านี้มาก่อนหลังจากที่ฉันฆ่าอัศวินคนนั้น]
เขาไม่สามารถปฏิเสธได้
นั่นเป็นเพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่ความคิดเชิงลบต่อลอร์ดปรากฏขึ้นในใจของเขา
นั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
มุมมองเชิงลบต่อลอร์ดเปลี่ยนวิธีคิดของเขาและเริ่มทําให้เขาตั้งคําถามกับการดํารงอยู่ของเดมิก็อด
และเขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่พวกเดมิก็อดกําลังทํา
การกระทําของเราถูกต้องจริงหรือ?
เงั้นเรามาทําเป็นว่าสิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน
” อะไรนะ?”
นั่นเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดอย่างสิ้นเชิง
ริกิมองเขาด้วยความสงสัย
อย่างไรก็ตามมันเป็นไปไม่ได้ที่จะอ่านความตั้งใจของลอร์ดเมื่อเขาอยู่ในสภาพไร้หน้าตา
วิธีเดียวที่จะสังเกตเห็นอารมณ์ของเขาได้ก็คือผ่านเสียงของเขา แต่ถึงอย่างนั้นเสียงของเขานั่นมีเพียงโทนเดียว
(ฉันจะยกโทษให้นายริกิเพราะนี่เป็นความผิดของฉันไม่ต่างจากนาย]
“ นายจะยกโทษให้ฉันที่ฆ่าพวกพ้องเราหรือ?”
[ถูกต้อง]
ริกิไม่ได้คาดหวังผลเช่นนั้น แต่เขารู้ว่าลอร์ดไม่ได้พยา
ยามหลอกลวงเขา
คําพูดที่เขาพูดตอนนี้จริงใจมาก
ลอร์ดเต็มใจที่จะให้อภัยเขาแม้ว่าเขาจะฆ่าคนของพวกเขาไปมากมายก็ตาม
“ เดมิก็อดคนอื่นๆ จะยอมรับอะไรแบบนั้นไหม?”
(อืม…มันเป็นเรื่องโชคร้าย แต่เราจะต้องหลอกพวกเขา]
“ หลอก?”
[เพราะฉันสัญญาว่าจะตามหาคนทรยศโดยไม่มีเงื่อนไขคนอื่นๆอาจไม่พูดอะไรแต่นอซด็อกและอนันตาคงไม่ยอมรามือง่ายๆ
“ แน่นอน”
ลอร์ดยิ้ม
หรือมากกว่านั้นคือรู้สึกเหมือนเขากําลังยิ้ม
(ฉันได้เลือกตัวแทนที่เหมาะสมในหมู่เดมิก็อดที่กําลังจะเข้าร่วมการประชุมนี้ จะไม่มีความระแวงและทุกอย่างจะราบรื่นนายจะไม่มีอะไรต้องกังวล
คําพูดเหล่านั้นทําให้ริกิพูดไม่ออก
เขาจ้องมองลอร์ดด้วยความไม่เชื่อ
“ นายจะกล่าวหาเดมิก็อดผู้บริสุทธิ์ ใส่ร้ายและฆ่าเขาเร
อะ?”
[เป็นเรื่องโชคร้ายแต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะนายสําคัญมากกว่าใครๆ]
ชีพจรของริกแข็งขึ้นในขณะนั้น
” ฉันเข้าใจละ
ริกิไม่ใช่คนเดียวที่เปลี่ยนไปในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา
หากเป็นลอร์ดในอดีตเขาจะไม่พูดเช่นนี้
ไม่ว่าเขาจะดีต่อริกิมากแค่ไหนเขาก็จะไม่กล่าวหาและดําเนินการกับสมาชิกผู้บริสุทธิ์ของเผ่าพันธุ์ของเขาเอง
[แน่นอนว่านายจะต้องร่วมมือในการแสดงครั้งนี้ด้วย]
(มันไม่มีอะไรมาก เพียงแค่นายฆ่าอัครสาวกของนายด้วยมือของนายเอง]
“อะไร?”
โจากนั้นนายจะตกอยู่ในภาวะจําศีล อาจจะเป็นเวลา 100 ปีแต่นั้นไม่ใช่เวลาที่นานสําหรับเราดังนั้นจงงีบหลับให้นาน ใน ระหว่างนี้ฉันจะปกป้องนายเองและเมื่อนายตื่นขึ้นมา ฉันรับรองกับนายว่าจะไม่มีอะไรเหลือให้นายต้องกังวล
งั้นหรือ
หากเขาตกอยู่ในภาวะจําศีลก็จะทําให้ความสงสัยของอนั้นตาและนอซด็อกหายไป
เห็นได้ชัดว่าลอร์ดได้คิดทุกอย่างเพื่อให้แผนการดําเนินไปอย่างราบรื่น
บางทีแม้แต่เดมิก็อดที่ถูกใส่ร้ายก็ยังเชื่อว่าริกิบริสุทธิ์
[เดมิก็อดที่จะรับโทษแทนนายคือ “เออร์” ต้องใช้เวลา อีกสองสามวันกว่าเขาจะมาที่นี่ ลงมือฆ่าอัครสาวกของนาย ทันทีที่เขามาถึง ฉันจะจัดการส่วนที่เหลือเอง]
ลอร์ดลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา
(นั่นคือทั้งหมดที่ฉันอยากจะพูดริก โปรดทราบว่าหากนายเลือกที่จะยอมรับสิ่งนี้เราก็สามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้ เช่นเดียวกับการที่พื้นดินจะแข็งตัวขึ้นหลังฝนตกเราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นด้วยความไว้วางใจที่มากกว่าเดิม]
จากนั้นเขาก็แตะไปที่ไหล่ของริกและเดินออกจากห้องไป
เมื่อถึงเวลานั้นกําแพงก็ได้หายไปแล้ว
“พวกเขาเปลี่ยนแปลงได้จริงๆหรือ? ลอร์ดและเหล่าเดมิก็อด? ”
เนื่องจากเขาเองก็เปลี่ยนได้ ไม่มีอะไรที่ขัดขวางไม่ให้คนอื่นเปลี่ยนไปเช่นกัน
ถ้าอย่างนั้นเขายังจําเป็นต้องฆ่าพวกพ้องอยู่อีกหรือ?
เขาทํางานร่วมกับลอร์ดเพื่อเปลี่ยนเดมิก็อดจากภายในได้
ถ้าเป็นไปได้มันจะมีเหตุผลมากกว่าการพยายามต่อสู้กับเดมิก็อดด้วยตัวเขาเอง
แม้จะคิดอยู่นานแต่ริกิก็ยังหาคําตอบไม่ได้
ริกิยืนขึ้นราวกับถูกตอกให้หยุดอยู่ตรงนั้น
คอมเม้นต์