Against the Gods อสูรพลิกฟ้า ตอนที่ 1937
บทที่ 1937 ลางก่อนหายนะ
อ่านนิยายจีน.com
กล้าทำตัวโหวกเหวกโวยวายบนภาราจักรพรรดิเมฆา หากเป็นผู้อื่นคงถูกสามบรรพชนเหยียนเตะโด่งออกไปไกลนับพันลี้แล้ว แต่กับจวินซีเล่ย พวกมันทำได้เพียงรับมืออย่างระมัดระวัง ครึ่งค่อนวันไม่กล้าลงมือผลีผลาม ด้วยเกรงว่าจะเป็นการดึงดูดหายนะมาใส่ตัว
“ราชันจักรพรรดิกระบี่น้อย?”
เหยียนอีขณะกำลังจะเอ่ยคำ ด้านหลังพลันมีเสียงพึมพำแผ่วเบาของไฉจือแว่วมา รัศมีพลังของหยุนเช่อเองก็ปรากฏขึ้นในประสาทสัมผัส
หยุนเช่อกับไฉจือออกมาก่อนกำหนด ทำให้สามบรรพชนเหยียนพากันโล่งอกทันควัน พวกมันต่างรีบร้อนเปิดทางให้จวินซีเล่ย
พริบตาที่เห็นหยุนเช่อ สภาวะจิตใจที่สับสนวุ่นวายของจวินซีเล่ยก็ระเบิดออกดุจทำนบแตก นางไม่แยแสสนใจใครอื่น เพียงโผกายเข้าใส่หยุนเช่อ สองมือเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งกุมคอเสื้อชายหนุ่มไว้แน่น “หยุนเช่อ เจ้ารีบ… รีบหนีไป! เจ้าจะตายไม่ได้… มีแค่เจ้าเท่านั้น… ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามตายเป็นอันขาด!”
“…..!?” หยุนเช่อขมวดคิ้วแน่นทันที
ด้วยพลังฝีมือหยุนเช่อในปัจจุบัน รวมถึงขุมกำลังในมือเวลานี้ อย่าว่าแต่การสังหาร ใต้หล้านี้เกรงว่าไม่อาจมีสิ่งใดที่เป็นภัยต่อมันได้อีกแล้ว
วาจาของจวินซีเล่ยนี้หากเป็นผู้อื่นได้ยิน คงมองเป็นเพียงเรื่องเหลวไหลน่าหัวร่อ
จักรพรรดิมังกรปฐมต้นกำเนิดสิ้นใจกะทันหัน ทำให้หยุนเช่อสงสัยยิ่งจนตัดสินใจเลิกเก็บตัวฝึกวิชากับไฉจือก่อนกำหนด จวินซีเล่ยตรงหน้ามันเอง… ทั้งสีหน้าและรัศมีพลังล้วนแต่สับสนวุ่นวายถึงขีดสุด คำพูดของนางยิ่งทำให้ความสงสัยในใจชายหนุ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นความกังวลอันยากจะคลี่คลาย
หยุนเช่อยื่นมือออกมาแตะไหล่จวินซีเล่ยพลางสบตานางก่อนกล่าว “เกิดอะไรขึ้น ค่อยๆเล่ามาช้าๆ”
ลมปราณของหยุนเช่อกลับไม่อาจช่วยคลี่คลายความสับสนในดวงจิตของจวินซีเล่ยได้ สองตาของนางสั่นเครือ ปากส่งเสียงกระท่อนกระแท่นอย่างยากเย็น “หุบเหวสุญญตา… มีคน… จักรพรรดิมังกรปฐมต้นกำเนิดสิ้นแล้ว… ท่านอาจารย์… ท่านอาจารย์…”
เมื่อกล่าวถึงท่านอาจารย์ ดวงจิตของนางที่ก่อนหน้าถูกแรงกดดันอันน่าพรั่นพรึงสุดเปรียบบดขยี้จนแทบแหลกสลายก็เอ่อล้นท่วมท้นด้วยความเศร้าโศก จนนางพลันส่งเสียงสะอื้นไห้ออกมาทันที
หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาดุจห่าฝน แต่นางถึงอย่างไรก็คือราชันจักรพรรดิกระบี่น้อย ศีรษะเล็กก้มต่ำเค้นเสียงสะอื้นสั่นเครือออกมา “ดูความทรงจำ… ของข้า…”
ห้วงทะเลดวงจิตของนางเปิดทางให้อย่างสมบูรณ์ต่อหน้าหยุนเช่อ… แม้จะเปี่ยมล้นความเศร้าโศกสุดขีด แต่ก็ยังแสดงออกถึงความเชื่อใจอันสูงสุดที่มีให้แก่ชายหนุ่มด้วย
“เจ้ารู้หรือว่าจักรพรรดิมังกรปฐมต้นกำเนิดตายยังไง?” ไฉจือก้าวเท้าออกมาอย่างดุดัน
หยุนเช่อยกมือขึ้นปรามไฉจือไว้ ฝ่ามือที่สัมผัสหัวไหล่จวินซีเล่ยอยู่บีบแน่นขึ้นเล็กน้อย พลังจิตเสี้ยวหนึ่งชำแรกเข้าสู่ห้วงทะเลดวงจิตของจวินซีเล่ยที่ไร้การป้องกันอย่างแช่มช้า
ความทรงจำทั้งหมดในช่วงสิบห้านาทีก่อนของจวินซีเล่ยปรากฏขึ้นในดวงจิต… ทุกสิ่งเงียบสนิทไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนม่านตาหยุนเช่อจะหดวูบช้าๆ รัศมีพลังเก็บรั้งกลับมาอย่างเงียบเชียบ สีหน้าเรียบเฉยถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกทมิฬอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น!?”
รัศมีพลังที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของหยุนเช่อ ทำให้หัวใจไฉจือบีบรัดแน่นอย่างกังวล
หยุนเช่อไม่เอ่ยปาก ฝ่ามือยกเหยียดจี้ปลายนิ้วจรดสัมผัสหว่างคิ้วไฉจือ ความทรงจำที่เพิ่งเห็นเมื่อครู่ไหลบ่าเข้าสู่ห้วงทะเลดวงจิตของนางอย่างไร้เสียง
เพียงชั่วพริบตา รัศมีพลังของไฉจือก็หดรั้งกลับมาซุกงำไว้แน่นราวกับถูกแม่เหล็กดึงดูด
สะกดข่มสองศิษย์อาจารย์ราชันจักรพรรดิกระบี่โดยไม่ต้องกระดิกนิ้ว เพียงยกมือก็ปลิดชีพจักรพรรดิมังกรปฐมต้นกำเนิด…
รูปลักษณ์แปลกตาไม่คุ้นหน้า คำพูดคำจาแปลกประหลาด พลังพิสดาร…
จะหยุนเช่อก็ดี ไฉจือก็ดี ทั้งสองต่างก็เป็นยอดฝีมือที่บรรลุถึงขอบเขตสูงสุดแห่งยุคปัจจุบันแล้ว ย่อมรับรู้ถึงขีดจำกัดสูงสุดที่พลังฝีมือของโลกยุคปัจจุบันจะสามารถเอื้อมถึงได้อย่างชัดแจ้ง
ดังนั้น ทั้งคู่จึงตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เห็นในความทรงจำของจวินซีเล่ยนั้น… ก้าวข้ามขอบเขตพลังฝีมือของยุคปัจจุบันไปไกลถึงเพียงไหน!
เป็นพลังอันน่าหวาดหวั่นที่ไม่สมควรมีอยู่ในยุคนี้!
หัวใจไฉจือแตกตื่นถึงขีดสุดราวกับสามัญสำนึกกำลังพังทลายย่อยยับ และพร้อมกับสามัญสำนึกที่กำลังพังทลายนี้เอง โลกหล้าที่อยู่ใต้กำมือหยุนเช่อ… ก็กำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน!
“เป็น… เป็น… เป็นไปได้อย่างไร…” ไฉจือพึมพำอย่างเลื่อนลอย ร่างกายและสายตาคล้ายหมดสิ้นเรี่ยวแรง “พวกมันเป็นใคร…”
“หุบ… เหว…” หยุนเช่อเหม่อมองไปเบื้องหน้า สองมือบีบแน่นโดยไม่รู้ตัว
การตายอย่างกะทันหันของจักรพรรดิมังกรปฐมต้นกำเนิดก็ทำให้ตนกับไฉจือหวาดระแวงแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร หยุนเช่อก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้กลับเป็น… ตัวตนที่อยู่เหนือสามัญสำนึกทั้งมวล
หุบเหว…
ช่องทาง…
เถ้าหุบเหว…
จักรพรรดิหุบเหว…
ขุนพล…
ผู้บุกเบิกแห่งยุคสมัยใหม่…
ขอบเขตแท้จริงของทวยเทพ…
ถ้อยคำจากห้วงความทรงจำของจวินซีเล่ยกระแทกเข้าสู่ทะเลดวงจิตหยุนเช่อ แต่ละคำล้วนแต่ชวนขนลุกราวกับฟ้าสวรรค์กำลังถล่มทลาย
“รีบหนี… รีบหนี!”
ฝ่ามือจวินซีเล่ยยังคงคว้าคอเสื้อหยุนเช่อไว้แน่นพร้อมส่งเสียงสะอื้นวิงวอน “หนีไป… ยังที่ที่ไม่มีใครหาเจ้าพบ… คนพวกนั้นล้วนแต่เป็นสัตว์ประหลาด… มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ห้ามตาย… มีเพียงเจ้า… ที่เป็นความหวังเดียว… ในอนาคต…”
แม้ดวงจิตจะยังสับสน แตกตื่น หวาดกลัว และเอ่อล้นด้วยความเศร้าจนแทบแหลกสลาย จวินซีเล่ยก็ยังทราบดีว่าการปรากฏตัวของ “สัตว์ประหลาด” เหล่านี้หมายความเช่นไรกับโลกใบนี้
หยุนเช่อไม่เอ่ยปาก คนเพียงทอดตามองไปเบื้องหน้าอย่างเงียบงันเนิ่นนาน สามบรรพชนเหยียนต่างสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันแปลกประหลาดจนไม่กล้าหายใจ
ในที่สุด หยุนเช่อก็ดันตัวจวินซีเล่ยออกอย่างอ่อนโยน ก่อนเบื้องหน้าจะปรากฏข่ายปราณสื่อสารกางขึ้น ชายหนุ่มเอ่ยปากหนักแน่นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“เม่ยอิน พาตัวราชินีมาร เซวียนยิน เชียนหยิง ชางซื่อเทียน ฉีเทียนหลี และมังกรฟ้ามาที่นี่ด้วยหมุดโลกาทันที…”
เพิ่งเอ่ยจบ หยุนเช่อก็พลันกล่าวต่อ “เดี๋ยวก่อน สงวนพลังของหมุดโลกาเอาไว้ให้มากที่สุด รีบพาแค่ราชินีมารมาที่ภาราจักรพรรดิเมฆาก่อน”
หลังถ่ายทอดสัญญาณเสียงไป สุ่ยเม่ยอินก็ไม่ถามอะไรแม้สักคำ วาจาและน้ำเสียงของหยุนเช่อทำให้นางตระหนักได้ทันทีว่ากำลังมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
หนึ่งลมหายใจ… สองลมหายใจ… สามลมหายใจ…
ประกายแสงเทวะสีชาดสาดทอเล็กน้อย เงาร่างสุ่ยเม่ยอินกับฉืออู่เหยาก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
“เกิดเรื่องอันใด?”
เพียงพริบตาแรก ฉืออู่เหยาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศผิดปกติ โดยเฉพาะบนหน้าหยุนเช่อและไฉจือที่ปรากฏเงามืดหม่นมัวอย่างไม่สมควรมี
“ความสงบสุขชั่วครู่ถึงคราวสิ้นสุดแล้ว”
หยุนเช่อถอนหายใจบางอย่างอัดอั้น ความทรงจำที่ได้จากจวินซีเล่ยถูกถ่ายทอดต่อให้ฉืออู่เหยาและสุ่ยเม่ยอิน
เมื่อความแตกตื่นรุนแรงถึงขีดสุดจนแม้แต่ความคิดอ่านและสามัญสำนึกยังไม่อาจทานรับไหว สิ่งที่ตามมาไม่ใช่การระเบิดอารมณ์รุนแรง แต่เป็นความคิดที่ว่างเปล่าจนไม่อาจแม้แต่จะเค้นเสียงพูด
นับเป็นครั้งแรก ที่รัศมีพลังและจิตใจของสัตว์ประหลาดสายดวงจิตอย่างฉืออู่เหยาชะงักนิ่งค้างไปนาน
“ราชินีมาร” หยุนเช่อเอ่ยปาก “ข้าอยากฟังการตัดสินใจของท่าน”
“…..” เนตรมารของฉืออู่เหยาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนนางจะหลับตาลงช้าๆ เนิ่นนานไม่เอ่ยคำ
ความทรงจำอันแสนสั้น วาจาเพียงไม่กี่คำ คนจำนวนเพียงเจ็ดคน… แต่ดวงจิตมารอันทรงพลังของนางกลับต้องใช้เวลานานที่สุดในชีวิตเพื่อดึงสติกลับมา
“หุบเหว…สุญญตา….” สุ่ยเม่ยอินพึมพำอย่างเหม่อลอย “พวกมันเป็นคนที่มาจาก… หุบเหวสุญญตา… หุบเหวที่… เปลี่ยนทุกสิ่งให้กลับคืนสู่ความว่างเปล่านั่นจริงๆ”
“ใช่บันทึกที่มีอยู่ผิดพลาด แท้จริงเบื้องล่างหุบเหวนั่น… มีโลกอีกใบมาตลอด?”
“บันทึกไม่ได้ผิดพลาด” หยุนเช่อกล่าวอย่างจริงจัง “เมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าได้พูดคุยกับ… ดวงจิตของปฐมเทพีแรกกำเนิด”
“…..!?” ฉืออู่เหยาพลันลืมตาโพลง สุ่ยเม่ยอิน จวินซีเล่ย และไฉจือล้วนต่างพากันตกตะลึง
ปฐมเทพีแรกกำเนิด ตัวตนอันสูงส่งสูงสุดอย่างแท้จริงเพียงหนึ่งเดียว ความแตกตื่นที่นามนี้นำมาล้วนสามารถจินตนาการได้
บัดนี้ หยุนเช่อได้แต่เล่าสิ่งที่ตนตั้งใจจะเก็บเป็นความลับติดตัวไปชั่วชีวิตออกมา “นางบอกข้าว่าโลกที่พวกเราอาศัยอยู่เวลานี้ ไม่ใช่ห้วงบรรพโกลาหลที่สมบูรณ์ ในอดีต นางได้แบ่งแยกห้วงบรรพโกลาหลดั้งเดิมออกเป็นสองเพื่อสร้างโลกที่สามารถให้กำเนิดสรรพชีวิตได้”
“โลกที่พวกเราอาศัยอยู่คือภพแห่งชีวิต ส่วนหุบเหวคือภพแห่งการดับสูญ ขุมพลังที่บดขยี้ทุกสิ่งที่ตกลงสู่หุบเหวให้กลับคืนสู่ความว่างเปล่าอย่างที่มีบันทึกไว้ ก็คือพลังแห่งการดับสูญดั้งเดิม สองภพอาศัยแดนเทพปฐมต้นกำเนิดเป็นจุดเชื่อมโยง รักษาไว้ซึ่งสมดุลแห่งการดำรงอยู่และแตกดับ”
“แต่ว่า… เมื่อใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของมหาสงครามเทพมาร ดวงจิตของปฐมเทพีแรกกำเนิดกลับค้นพบความผิดปกติบางอย่าง ทั้งไอบรรพกาล ไอวิญญาณเทวะ ไอมารทมิฬ… ทั้งหมดล้วนต่างไหลเวียนไปในทิศทางเดียวกัน”
“มุ่งสู่หุบเหวสุญญตา”
“และเวลานั้นเอง ที่นางตกใจเมื่อสัมผัสได้ว่ากฎเกณฑ์ของหุบเหวสุญญตาที่นางบัญญัติไว้ตอนสร้างโลกหลังผ่านพ้นกาลเวลาอันแสนยาวนานและมหาสงครามเทพมาร ก็บังเกิดรอยร้าวแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว… จนแบ่งแยกตัวออกเป็นเอกเทศอย่างสมบูรณ์ จนแม้แต่ดวงจิตปฐมเทพีก็ยังไม่อาจตรวจสอบได้อีก”
“กล่าวคือ” สุ่ยเม่ยอินเอ่ยเสียงแผ่ว “นับตั้งแต่ตอนนั้นหรืออาจก่อนหน้า หุบเหวสุญญตาที่แยกตัวออกจากกฎเกณฑ์ดั้งเดิมก็ไม่ได้มีเพียงการดับสูญอีกแล้ว? แต่บางที… อาจเริ่มก่อเกิดกฎเกณฑ์ของตัวเอง กลายเป็นโลกอีกใบ…”
“…..” หยุนเช่อไม่อาจตอบได้ หุบเหวสุญญตาที่แยกตัวออกจากกฎเดิมที่ปฐมเทพีบัญญัติไว้จะแปรสภาพไปเป็นเช่นไร แม้แต่ดวงจิตปฐมเทพียังไม่อาจให้คำตอบได้ ในใจนางมีเพียงความกังวลว่าพลังแห่งการดับสูญจะทะลักทลายออกจากหุบเหวสุญญตาเข้ากลืนกินภพแห่งชีวิตเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่นางเลือกกำเนิดใหม่เพื่อผ่านหนึ่งพันสังสารวัฏ
แต่ไม่ว่าอย่างไร หยุนเช่อก็ไม่คาดคิดว่าหายนะหุบเหวที่ดวงจิตปฐมเทพีกังวลจะปรากฏขึ้นเร็วปานนี้… หากหายนะนี้ไม่ได้เกิดจากพลังแห่งการดับสูญที่หลุดออกมา แต่กลับเป็น…
สัตว์ประหลาดน่าหวาดหวั่นเจ็ดตนที่ปรากฏตัวขึ้นในโลกหล้า!
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเท้าความถึงอดีต ไม่ว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้จะพิสดารน่าแตกตื่นปานใดก็ล้วนแต่ไม่สำคัญ”
ฉืออู่เหยาในที่สุดก็เอ่ยปาก เนตรมารของนางเวลานี้ทอประกายสีดำอันลึกล้ำเงียบงันที่สุดในชีวิตออกมา
ทุกสายตาพากันจับจ้องไปยังตัวฉืออู่เหยา
ฉืออู่เหยากล่าวเนิบช้า “เรื่องการมีคนจากภพเบื้องนอกไม่ได้น่ากลัว ที่น่ากลัวคือพวกมันมีพลังฝีมือที่เราไม่อาจต่อกรด้วยได้ต่างหาก”
นางเน้นย้ำด้วยการยกตัวอย่าง “อาศัยเพียงรัศมีพลังก็สะกดข่มจนราชันจักรพรรดิกระบี่ไม่อาจขยับเขยื้อน ปลิดชีพจักรพรรดิมังกรปฐมต้นกำเนิดในไม่กี่ลมหายใจ… นี่ไม่อาจเรียกว่ายากจะต่อกร แต่เป็นไม่มีทางต่อกรได้เลย”
“ที่น่ากลัวยิ่งกว่า ก็คือความเกลียดชังที่คนนอกเหล่านี้มีต่อโลกเรา”
หลังถอนหายใจ ฉืออู่เหยาก็รำพึงออกมาเบาๆ “โลกอื่นอีกใบ… ช่างไร้สาระสิ้นดี”
ถูกต้อง ช่างน่าขันนัก ราวกับฝันร้ายที่จู่ๆแผ่ลงมาปกคลุมทั่วหล้าโดยปราศจากเค้าลางใดล่วงหน้า
ทางด้านหลัง สามบรรพชนเหยียนพากันมองหน้ากันไปมาด้วยสีหน้าเหม่อลอย หากในใจล้วนแต่แตกตื่น
แม้พวกมันทั้งสามจะเป็นทาสรับใช้ใต้ฝ่าเท้าหยุนเช่อ แต่นอกเหนือจากตราประทับทาสแล้ว ความรู้ความเข้าใจที่พวกมันมีต่อโลกหล้าก็ล้วนยังครบถ้วนสมบูรณ์ พวกมันที่มีชีวิตอยู่มาร่วมแสนปี ไม่ว่าจะเป็นในความทรงจำหรือบันทึกที่เคยอ่าน… ทั้งหมดต่างไม่เคยมีเรื่องของโลกอีกใบแม้แต่น้อย
“ความเกลียดชัง…” เมื่อหวนย้อนคิดถึงภาพและเสียงที่ได้เห็นผ่านความทรงจำของจวินซีเล่ย บรรดาคนเหล่านั้นนอกจากความตื่นเต้นยินดีแล้ว ก็ยังมีความเกลียดชังชวนขนหัวลุกอยู่จริงๆ วิธีที่ใช้สังหารจักรพรรดิมังกรปฐมต้นกำเนิดก็ยังโหดเหี้ยมคล้ายลงมือเพื่อระบายอารมณ์
“หรือก็คือ” สุ่ยเม่ยอินกล่าวช้าๆ “พวกมันมาเพื่อทำลายล้าง?”
“ไม่ใช่” ฉืออู่เหยากลับส่ายหน้า “จากที่พวกมันกล่าว พวกมันต้องการเป็นผู้ปกครองมากกว่าจะทำลายล้าง ดังนั้น ความเกลียดชังของพวกมันจึงถูกระงับไว้ ถึงพวกมันจะสังหารจักรพรรดิมังกรปฐมต้นกำเนิด แต่กลับไม่ได้ลงมือสังหารศิษย์อาจารย์ราชันจักรพรรดิกระบี่… เพราะเทียบกับการระบายอารมณ์ชั่วครู่คราวแล้ว ที่พวกมันต้องการก็คือ ‘คนนำทาง’”
จักรพรรดิหุบเหว… สองคำนี้กระแทกใส่จิตใจของฉืออู่เหยาอย่างหนักหน่วงจนนางอึดอัดแทบขาดใจ
ตัวตนที่น่าหวาดหวั่นสุดเปรียบทั้งเจ็ดนี้ กลับเป็นเพียงแค่คนเบิกทาง
แม้จะมาจากความทรงจำของจวินซีเล่ย หากความเคารพนับถือที่พวกมันทั้งเจ็ดมีต่อ “จักรพรรดิหุบเหว” นั้นก็ชัดเจนจนไม่ว่าใครก็สัมผัสได้
ที่แท้นั่นเป็นตัวตนระดับไหนกัน
สองตาของสุ่ยเม่ยอินยังคงมืดหม่นปราศจากแสงแม้ได้ยินคำพูดของฉืออู่เหยา นางเอ่ยเสียงแผ่ว “ไม่ว่าพวกมันจะมาเพื่อทำลายล้างหรือเพื่อปกครอง แต่สำหรับพวกเราแล้วก็ไม่มีอันใดแตกต่าง หากแดนเทพตกอยู่ในกำมือพวกมัน คนอื่นยังสามารถเลือกยอมสวามิภักดิ์ได้ แต่อดีตจักรพรรดิ คงไม่พ้นต้องถูก…”
นางเงยหน้ามองหยุนเช่อ นิ้วมือกุมชายเสื้ออีกฝ่ายแน่น “ราชันจักรพรรดิกระบี่น้อยกล่าวไม่ผิด พี่ใหญ่หยุนเช่อ พวกเราทำได้เพียงหลบหนีไปก่อนชั่วคราว ขอเพียงพี่ใหญ่หยุนเช่อยังอยู่ ไม่ว่าพวกมันจะน่ากลัวปานไหน ในภายภาคหน้า… พี่ใหญ่หยุนเช่อก็ยังสามารถสร้างความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุด”
สุ่ยเม่ยอินกล่าวถูกต้อง คนอื่นยังสามารถยอมจำนนได้ แต่มีเพียงจักรพรรดิเท่านั้น… ที่ต่อให้ยอมคุกเข่าก้มศีรษะ ก็ยังไม่พ้นต้องถูกประหารอยู่ดี
“หลบหนีชั่วคราว” เป็นประโยคที่นุ่มนวลที่สุดเท่าที่สุ่ยเม่ยอินจะคิดได้แล้ว
“หนี… หนีเร็ว! อย่าได้… ถูกอารมณ์ส่วนตนชักนำ!” จวินซีเล่ยสองแก้มเปียกชุ่มด้วยน้ำตา ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย นางแม้เปี่ยมล้นด้วยความเศร้าโศกและหวาดกลัว แต่ก็ยังเข้าใจชัดเจน ตัวนางที่เผชิญหน้ากับแรงกดดันของคนทั้งเจ็ดมากับตัว นางกระจ่างแจ้งดีกว่าผู้ใดว่านั่นคือพลังฝีมือที่หยุนเช่อไม่มีวันต่อกรด้วยได้เป็นอันขาด
ฉืออู่เหยาไม่กล่าวอะไรอีก เนตรมารเพียงมองตรงไปยังหยุนเช่อ “อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่เจ้าแล้ว เรื่องเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายแบบนี้ ข้ารู้ว่าต่อให้ข้าตัดสินใจเห็นแย้งกับเจ้า ข้าก็ห้ามเจ้าไม่ได้อยู่ดี”
นางเพิ่งกล่าวจบ หัวใจของทุกคนก็พลันกระตุกวูบอย่างแรง
ห่างออกไปไกลโพ้น มีเสียงร้องแผ่วเบาดังกังวาลแว่วมา ราวกับทั่วฟ้าดินพลันสั่นสะเทือนไหวเล็กน้อย… เนิ่นนานไม่ยอมสงบ
หยุนเช่อ ฉืออู่เหยา ไฉจือ สุ่ยเม่ยอิน จวินซีเล่ย และสามบรรพชนเหยียน… รวมถึงยอดฝีมือนับไม่ถ้วนของแดนเทพล้วนต่างพากันเบนสายตาหันมองตามขุมพลังไร้สภาพอย่างไม่อาจต่อต้าน มองไปยังเส้นขอบฟ้าอันไกลโพ้น… สู่ตำแหน่งที่แดนเทพปฐมต้นกำเนิดตั้งอยู่
“พวกมัน… ออกมาแล้ว…” จวินซีเล่ยพึมพำอย่างเลื่อนลอย
แรงสั่นสะเทือนนี้ก่อหวอดสร้างความหวาดหวั่นไปทั่วแดนเทพ ฉืออู่เหยากล่าวออกมา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเหลือเวลาให้ลังเลอีกไม่มากแล้ว”
คอมเม้นต์