Against the Gods อสูรพลิกฟ้า ตอนที่ 1938

อ่านนิยายจีนเรื่อง Against the Gods อสูรพลิกฟ้า ตอนที่ 1938 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 1938 เลือก

อ่านนิยายจีน.com

ณ ใจกลางของแดนเทพ ปากทางเข้าแดนเทพปฐมต้นกำเนิด
เงาร่างทั้งเจ็ดจากหุบเหวย่างกรายออกมาจากแดนเทพปฐมต้นกำเนิดพร้อมห้วงมิติที่บิดผันรุนแรง ข้ามฝั่งบรรลุถึงห้วงมิติของแดนเทพยุคปัจจุบัน — ดินแดนที่เวลานี้อยู่ภายใต้การปกครองของหยุนเช่อ
“แดน… เทพ…”
ม่อเป่ยเฉินพึมพำเบาๆ มันสำรวจดูสภาพรอบด้านอย่างเนิบช้าพลางเปิดประสาทรับรู้ทั้งหมด สองตาเหม่อลอยยากจำแนกว่าเศร้าโศกหรือยินดี
“กฎเกณฑ์ต่ำต้อยเปราะบาง รัศมีพลังแปดเปื้อนโสมม นี่ใช่ดินแดนที่ทวยเทพและมวลมารเคยอาศัยอยู่ในอดีตจริงหรือ?” แววตาหนันจ้าวหมิงแฝงด้วยความตื่นเต้นยินดีเจ็ดส่วน หยามหยันสามส่วน
“ท่านทูตเทวะเคยกล่าวเอาไว้ ว่าหากอิงจาก【กงล้อเวลาของโลกใบนี้】นับตั้งแต่การดับสูญของเผ่าเทพและเผ่ามาร เวลาเพิ่งสมควรผ่านไปราวหนึ่งล้านปีเท่านั้น” ม่อเป่ยเฉินหลับตาลง ปากส่งเสียงพึมพำ “เวลาแสนสั้นเพียงหนึ่งล้านปี ที่นี่กลับตกต่ำลงถึงเพียงนี้ แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตของโลกนี้ต้อยต่ำปานใด”
“สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำกลับยึดครองดินแดนของทวยเทพและมวลมารรวมถึงมรดกตกทอดที่หลงเหลือเอาไว้ ใช้ชีวิตเสวยสุขอยู่บนโลกที่ปราศจากเถ้าหุบเหว… เหอเหอ” หนันจ้าวกวงกล่าวพึมพำพลางขบฟันแน่น “ช่างน่าขัน… ช่างน่าชัง!”
วาจานี้ ทำให้ร่างของพวกมันหลายคนแผ่กลิ่นอายบ้าคลั่งดุร้ายออกมาพร้อมกันอย่างสุดระงับ
“องค์จักรพรรดิหุบเหวทรงเปี่ยมพระเมตตา ท่านสมควรไม่ยินยอมให้เกิดการข่มเหงฆ่าล้างโดยไร้เหตุผล” ม่อเป่ยเฉินกล่าว “ที่หุบเหวในปัจจุบันสงบสุขร่มเย็นได้ ก็ล้วนเป็นพรอันประเสริฐที่องค์จักรพรรดิหุบเหวทรงประทานให้”
“ที่แห่งนี้แม้จะต้อยต่ำ แต่อีกไม่ช้าก็จะกลายเป็นดินแดนใต้อาณัติขององค์จักรพรรดิ ข้ารู้ว่าในใจพวกเจ้าเปี่ยมด้วยโทสะ แต่เมื่อองค์จักรพรรดิหุบเหวเสด็จมาถึง ท่านคงอยากเห็นผู้คนที่นี่ก้มศีรษะน้อมต้อนรับมากกว่าหดหัวด้วยความกลัวจากการถูกล้างสังหารเป็นแน่”
ม่อเป่ยเฉินเหลือบตามอง “นี่ก็ยังเป็นคำเตือนจากท่านทูตเทวะ พวกเรากำลังจะถูกจารึกชื่อลงบนหน้าประวัติศาสตร์ในฐานะผู้บุกเบิก นับเป็นเกียรติยศอันสูงสุด ดังนั้น พวกเราสมควรยับยั้งความปรารถนาส่วนตัว ทำตามหน้าที่ที่สมควรกระทำ เพื่อองค์จักรพรรดิหุบเหวและเพื่อตัวของพวกเราเอง”
คำพูดของม่อเป่ยเฉินทำให้ท่าทีของอีกหกคนที่เหลือเย็นลงทันตา
หนันจ้าวหมิงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนตอบ “ช่องทางก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว ในอีกห้าสิบปีให้หลัง องค์จักรพรรดิหุบเหวจะสามารถรวบรวมพลังเทพได้มากพอเปิดทางขึ้นมาเยือนที่แห่งนี้ แม้ห้าสิบปีจะแสนสั้น แต่กับโลกใบนี้ที่จ้าวเทวะเป็นจุดสูงสุด อาศัยพลังฝีมือของพวกเราใช้เวลาแค่ไม่กี่ปีก็คงสามารถปกครองได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก่อนจะถึงตอนนั้น ขอลงมือระบายอารมณ์ไปก็คงไม่เสียหายอะไร”
“ห้าสิบปีรึ? เหอะ” ม่อเป่ยเฉินกลับแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าลืมเรื่อง 【กระแสเวลาทมิฬ】ไปแล้วหรือไร?”
หนันจ้าวหมิงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าแปรเปลี่ยน “หมายความว่า…”
ม่อเป่ยเฉินยกมือขึ้น กลางฝ่ามือปรากฏกงล้อสีดำ “ท่านทูตเทวะจะมอบกงล้อเวลานี้ให้แก่ผู้บุกเบิกแต่ละรุ่นเพื่อใช้ตรวจสอบเวลา เจ้าดูเอาเองเถอะ”
บนกงล้อปกคลุมไปด้วยเส้นสายและแสงสีดำ ที่ถูกผนึกเอาไว้เบื้องหลังเส้นสายสีดำนี้คือเขตแดนกาลเวลาอันเป็นเอกเทศและเที่ยงตรงสมบูรณ์แบบ
ภายในเขตแดน แสงเจิดจ้าของดวงดาราเคลื่อนคล้อยเร็วรี่ ราวกับหิ่งห้อยที่ถูกพายุใหญ่โหมกระหน่ำ
“สิบ… เท่า…” หนันจ้าวหมิงสีหน้ากลายเป็นหนักอึ้งอย่างรวดเร็ว “หรือก็คือ… เหลือเวลาอีกแค่ห้าปี!?”
ม่อเป่ยเฉินรวบกำนิ้วทั้งห้า กงล้อสีดำในมือมันก็หายวับไป “ยังมีอีกเรื่องที่เจ้าสมควรจำให้ขึ้นใจ”
ม่อเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าคนทั้งหกด้วยสายตาเย็นชาสะท้านจิต “ท่านทูตเทวะเคยกล่าววาจาลึกลับยิ่งออกมา: ท่านว่าดินแดนแห่งนี้สำหรับจักรพรรดิหุบเหวและพวกเราแล้ว ก็คือมาตุภูมิ”
“แต่คำว่า ‘มาตุภูมิ’ นี้ สำหรับองค์จักรพรรดิหุบเหวแล้วย่อมหมายความแตกต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง”
“ดังนั้น ต่อให้ในใจพวกเจ้าจะเคียดแค้นชิงชังถึงเพียงไหน ต่อให้ในสายตาพวกเจ้าจะมองว่าพวกมันต่ำต้อยปานใด ก็จงอย่าได้ทำ… ให้… เสีย… การ!”
ความหมายแฝงก็คือ: บางทีสำหรับตัวจักรพรรดิหุบเหวแล้ว ดินแดนแห่งนี้อาจมีความสำคัญยิ่งกว่าหุบเหวเสียอีก
ร่างคนทั้งหกสะกดระงับโทสะในใจลงอย่างยากลำบาก หนันจ้าวหมิงและหนันจ้าวกวงตั้งสติกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ทราบแล้ว” หนันจ้าวกวงกล่าว “ขอบคุณท่านขุนพลที่ตักเตือน ถ้าเช่นนั้น จากนี้ไปสมควรทำอย่างไร ต้องขอท่านขุนพลชี้แนะด้วย”
ม่อเป่ยเฉินเบนสายตาไปทางตะวันตก “แดนเทพปฐมต้นกำเนิดดำรงอยู่เป็นเอกเทศจากแดนเทพ มังกรที่ข้าเพิ่งสังหารไปนั้นสมควรเป็นผู้ปกครองแดนเทพปฐมต้นกำเนิดมากกว่าจะเป็นนายเหนือของแดนเทพ”
“ตามที่คนนอกกล่าวไว้ แดนเทพเคารพนับถือมณฑลเทวะประจิมเป็นใหญ่ ฝากมณฑลเทวะประจิมที่รับสืบทอดสายเลือดเทวะมังกรอวดอ้างตนเป็น ‘เผ่าเทวะมังกร’ โดยมี ‘จักรพรรดิมังกร’ เป็นผู้ปกครอง เป็นนายเหนือสูงสุดของแดนเทพ”
“จักรพรรดิ?”
เพียงคำนี้ก็ทำให้สีหน้าของคนทั้งหกเปลี่ยนไป ราวกับได้ยินคำต้องห้ามเทียมฟ้า
“ในโลกของจักรพรรดิหุบเหว ผู้ใดบังอาจอ้างตนเป็นจักรพรรดิ!”
“เพียงคำนี้คำเดียว… ก็สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง!” หนันจ้าวกวงเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
ม่อเป่ยเฉินกล่าวต่อ “ข้าจะไปมณฑลประจิมคนเดียวเอง ทางมณฑลบูรพามอบหมายให้พวกเจ้าจัดการ”
ขณะเอ่ยปาก ร่างของมันก็เคลื่อนสู่ทางตะวันตกไปไกล ทิ้งไว้เพียงเสียงเยียบเย็นสั่นสะท้านดวงจิตของคนทั้งหก “ที่องค์จักรพรรดิหุบเหวปรารถนาคือการปกครอง ไม่ใช่การกวาดล้าง ใครก้มหัวให้ไว้ชีวิต ใครขัดขืนตาย! ห้ามฆ่าล้างตามใจโดยไม่แบ่งแยก ยิ่งไม่อาจใช้กำลังกดขี่คนไร้ทางสู้!”
“เกียรติยศในฐานะผู้บุกเบิกจะถูกลูกหลานหมื่นชั่วอายุคนจดจำไว้ อย่าให้เกียรติยศสูงสุดนี้ต้องแปดเปื้อนมัวหมองเพียงเพราะความปรารถนาชั่ววูบ!”
“อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง”
“ขอรับ!” คนทั้งหกโค้งศีรษะคำนับให้ทางตะวันตกอย่างนอบน้อม จวบจนรัศมีพลังของอีกฝ่ายเลือนหายไปจากจิตสัมผัสอย่างสมบูรณ์แล้วจึงค่อยผ่อนคลายลง
…………
ท้องนภาดาวกว้างใหญ่ไพศาล เปล่งแสงเจิดจรัสสุดจินตนาการ ปราศจากเถ้าหุบเหวคอยกัดกินชีวิต ปราศจากหมอกดำคอยสูบกลืนดวงจิต
สิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุดสำหรับสรรพชีวิตในแดนเทพ แต่ครั้งหนึ่งกลับเคยเป็นได้เพียงดินแดนในฝันที่ม่อเป่ยเฉินคอยเฝ้าถวิลหา
ร่างของมันที่มุ่งหน้าสู่ทางตะวันตกเริ่มลดความเร็วลงทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว มันยกฝ่ามือขึ้นสัมผัสทุกอณูรอบกาย ทุกกลิ่นอายรัศมีพลังที่เคลื่อนผ่าน ทั้งหมดช่างเป็นความรู้สึกอันเลิศล้ำหรูหราจนมันแทบไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่านี่เป็นความจริงมิใช่ห้วงฝัน
มณฑลเทวะประจิมกระชิดใกล้เข้ามา กลิ่นไอมังกรสับสนวุ่นวายปรากฏขึ้นในจิตสัมผัส ก่อนม่อเป่ยเฉินจะหยุดเท้าลงในเวลานี้
มันทอดตามองสู่ตะวันตกอย่างเงียบงัน สายตาที่เคยเย็นชาเริ่มคลายลง หัวไหล่ของมันเริ่มสั่นสะท้านก่อนทั้งร่างจะสะท้านไหวรุนแรง
“เจินเอ๋อร์ หลงเอ๋อร์…” ม่อเป่ยเฉินกางสองมือออก ริมฝีปากที่แย้มออกเล็กน้อยเปล่งเสียงแหบพร่าออกมาอย่างยากลำบาก “เห็นหรือเปล่า โลกที่ปราศจากเถ้าหุบเหว… โลกที่ไร้ซึ่งเถ้าหุบเหวแม้แต่เสี้ยวเศษ… พ่อไม่ได้โกหกพวกเจ้า… พ่อทำได้แล้ว… พ่อทำได้แล้วจริงๆ… ลูกเห็นหรือเปล่า…”
“แค่หาก… แค่หากว่าทำสำเร็จเร็วกว่านี้อีกแค่ไม่กี่ปี… แค่… หาก”
รอบกายไม่มีผู้ใดอยู่ มีเพียงหยาดน้ำตาของม่อเป่ยเฉินที่ทะลักออกมาพร้อมสะอื้นไห้อย่างไร้เสียง
…………
ห้วงมิติที่สั่นไหวในที่สุดก็เริ่มบรรเทาลง ราวกับความสงบสุขหวนคืนมาอีกครั้ง
ทว่าบรรยากาศหนักอึ้งชวนอึดอัดกลับยังคงดำรงอยู่ไม่ไปไหน
การสั่นสะเทือนของห้วงมิติเช่นนี้ หยุนเช่อแท้จริงใช่ว่าจะไม่คุ้นเคย
ในมณฑลเทวะอุดร เมื่อครั้งมันสังเวยต้นกำเนิดพลังเทวะเทพดาราไปสี่องค์เพื่อเปิดใช้เถ้าเทวะ…
ในมณฑลเทวะทักษิณ เมื่อครั้งปืนใหญ่เทพสมุทรสำแดงอานุภาพไร้เทียมทานจากห้วงบรรพกาล…
ยังมี เมื่อครั้งจักรพรรดินีมารทลายสวรรค์หวนคืน ที่ทำเอาทั้งห้วงบรรพโกลาหลสั่นสะเทือนจนราวกับจะแหลกสลาย
สิ่งที่สามารถทำให้ห้วงมิติสั่นสะเทือน วิถีฟ้าสั่นสะท้านได้เช่นนี้… ย่อมเป็นพลังที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของใต้หล้ายุคปัจจุบันไม่ผิดแน่
และยังเป็นเครื่องบ่งชี้ที่บดขยี้โชคส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของทุกคนอย่างโหดร้าย
“พี่ใหญ่หยุนเช่อ จะให้ข้าทำเช่นไร?” สุ่ยเม่ยอินกุมข้อมือหยุนเช่อไว้แน่น อีกมือกำหมุดโลกาที่เปล่งแสงสีแดงเข้มเจิดจ้าไว้
“ด้วยพลังที่เหลืออยู่ของหมุดโลกา ยังสามารถใช้เดินทางข้ามมิติระยะไกลได้อีกกี่ครั้ง?” ฉืออู่เหยาถาม
“ขึ้นอยู่กับระยะทางด้วย” สุ่ยเม่ยอินตอบอย่างกังวล “ถ้าหากใช้เดินทางระยะสั้นข้ามมณฑลดารา ยังสามารถใช้ต่อเนื่องได้ราวยี่สิบกว่าครั้ง แต่ถ้าหากใช้เดินทางระยะไกลด้วยคนจำนวนมากในครั้งเดียว ใช้ได้เพียงไม่กี่ครั้งพลังเทวะก็คงหมดสิ้น”
ส่วนการเคลื่อนย้ายดาวเคราะห์ข้ามมณฑลดาราเช่นในอดีตนั้น ไม่อาจเกิดขึ้นได้อีกแล้ว
“….” ฉืออู่เหยาไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงรอฟังคำตอบของหยุนเช่อ
ทุกคนต่างทราบดีว่าถ้าหากหยุนเช่อเลือกที่จะถอยจริงๆ ด้วยบุคลิกนิสัยมัน ย่อมไม่มีทางหลบหนีไปเพียงลำพังแน่
อีกอย่าง ด้วยนิสัยรวมถึงสถานะจักรพรรดิหยุนในปัจจุบันของมัน เป็นไปได้หรือที่มันจะเลือกถอย?
“ราชินีมาร” หยุนเช่อส่งเสียงในที่สุด “ถ่ายทอดข้อความไปยังทุกมณฑลให้คอยติดตามความเคลื่อนไหวของพวกมัน ถ้าหากเผชิญหน้า อย่าได้ต่อต้านขัดขืนเด็ดขาด”
“เข้าใจแล้ว” ฉืออู่เหยาผงกศีรษะรับ สีหน้าไม่แปลกใจอะไร
“ยังมี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีอยู่สองคนที่ไม่อาจเชื่อใจได้อีก” หยุนเช่อกล่าวเสริม
ฉืออู่เหยายกมุมปากขึ้นพลางเอ่ยสองชื่อออกมาช้าๆ “ฉีเทียนหลี กับชางซื่อเทียน”
“คนแรกเผชิญลมฝนมาตั้งแต่โบราณ ยึดถือหลักการเอาตัวรอดเป็นสำคัญ ยินดีติดตามรับใช้ผู้แข็งแกร่ง ส่วนคนหลัง… หากไม่ใช่เพราะเรื่องของหุบเหว มันก็คงยังเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดอยู่ แต่ในเวลานี้ มันคงยินดีแว้งกัดเจ้านายแน่!”
ฉีเทียนหลีปกครองแดนกิเลน เป็นหัวหอกของมณฑลเทวะประจิม ชางซื่อเทียนเวลานี้เป็นหัวหน้าผู้คุมกฎ เขี้ยวเล็บแผ่ขยายไปทั่วทั้งแดนเทพ
พวกมันทั้งสองล้วนเป็นคนที่ฉืออู่เหยาเชื่อใจฝากฝังอำนาจและงานใหญ่ให้ แต่ไหนเลยนางจะสามารถคาดการณ์เรื่องเช่นนี้ได้…
“หยุนเช่อ!?” จวินซีเล่ยเงยหน้าขึ้นทันควัน “หรือว่าเจ้าคิดจะ…”
หยุนเช่อสบตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาของนางอย่างสงบนิ่งเยือกเย็น “เมื่อฟ้าส่งอุปสรรคใหญ่หลวงลงมา หากคนเป็นจักรพรรดิกลับม้วนหางหนีไม่กล้าสู้ ความอัปยศนี้ไม่มีวันลบเลือน ทายาทรุ่นหลังของข้ารวมถึงคนรอบตัวข้าเองก็จะต้องพบกับ…”
“ไม่! ไม่ได้… ไม่ได้!” จวินซีเล่ยส่ายหน้าระรัว ฝ่ามือซีดเผือดกุมมือหยุนเช่อแน่น “หยุนเช่อ เจ้าฟังข้านะ ข้าเห็นท่านอาจารย์ตายเพราะพวกมันต่อหน้าต่อตา ข้าเกลียดพวกมันมากกว่าเจ้าเป็นพันเป็นหมื่นเท่า”
“แต่พวกมันเป็นคนที่ไม่อาจเผชิญหน้าด้วยได้เป็นอันขาด นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเกียรติหรือศักดิ์ศรี! ที่เจ้ายอมถอยชั่วคราวไม่ใช่การม้วนหางหนี แต่เป็นการรักษาความหวังเพียงหนึ่งเดียวเอาไว้ เจ้า… เจ้าทำได้ ใช่ไหม?”
“….” เนตรมารของฉืออู่เหยากวาดมองจวินซีเล่ยช้าๆ ในใจลอบถอนหายใจ: นี่ก็อีกคนแล้ว
หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์อันตรายสิ้นหวัง ด้วยบุคลิกหัวรั้นสุดขั้วของจวินซีเล่ย ชั่วชีวิตก็คงไม่มีวันแสดงอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ออกมาต่อหน้าหยุนเช่อ
ต่อหน้าราชันจักรพรรดิกระบี่น้อยที่ระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นครั้งแรก สีหน้าแววตาหยุนเช่อกลับดูสงบนิ่งจนน่ากลัว มันสบตาจวินซีเล่ยเขม็งพร้อมกล่าว “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ได้คิดที่จะตายเพียงเพราะเกียรติของจักรพรรดิอะไรทั้งนั้น แม้คนพวกนั้นจะน่ากลัว แต่ว่าข้าเอง…”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สองตาทอประกายเย็นชา “ก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีกำลังสู้ศึก”
“ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ ก็ค่อยใช้พลังเทวะสายมิติของหมุดโลกาหลบหนีเอาก็แล้วกัน” ฉืออู่เหยาเองก็พูดเสริมอย่างสงบ
“…..” สุ่ยเม่ยอินผงกศีรษะรับเบาๆ นางเข้าใจว่าหยุนเช่อตัดสินใจไปแล้ว ฉืออู่เหยาเองก็ยอมทำตาม ตัวนางกล่าวอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์
“อีกอย่าง ข้าคิดทบทวนดูแล้ว บางทีเรื่องราวอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิดกัน”
หยุนเช่อ “….”
“ทำไมถึงพูดเช่นนั้น?” ไฉจือถาม
“ผู้มาเยือนจากภายนอกรึ? ผิดแล้ว พวกเราแค่หวนคืนกลับมายังดินแดนที่เคยเป็นของพวกเราต่างหาก”
ฉืออู่เหยากล่าวทวนวาจาของเงาร่างที่ออกมาจากหุบเหวในความทรงจำของจวินซีเล่ย เนตรมารของนางทอประกายเจิดจ้าขณะกล่าวเนิบช้า “ในยุคสมัยแห่งทวยเทพ ขอบเขตพลังของเหล่าเทพทรงพลังลึกล้ำยิ่ง เมื่อทวยเทพสัประยุทธ์ย่อมถล่มฟ้าทลายปฐพี กระทั่งการแตกดับของเทพแท้จริงก็ยังปลดปล่อยพลังมหาศาลออกมาจนบังเกิดเป็นหายนะครั้งใหญ่ ดังนั้น จากที่มีบันทึกเอาไว้ เมื่อใดที่สมาชิกของเผ่าเทพและเผ่ามารได้กระทำความผิดใหญ่หลวงเกินอภัย ก็มักจะถูกจับโยนลงสู่หุบเหวสุญญตา ให้พวกมันถูกหลอมรวมหวนคืนสู่ความว่างเปล่า เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดหายนะเทวะ”
“ถ้าหากว่าหุบเหวสุญญตาบังเกิดความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ก่อนหน้านั้น ไม่ได้เป็นเพียงภพแห่งการดับสูญเพียงอย่างเดียว เช่นนั้นแล้ว เทพและมารแท้จริงที่ถูกจับโยนลงสู่หุบเหวสุญญตาในยุคบรรพกาลก็อาจไม่ได้ถูกหุบเหวกลืนกิน แต่อาศัยกายาเทวะและกายามารอันทรงพลังเอาชีวิตรอดอยู่ใต้หุบเหวที่แปรสภาพไป ให้กำเนิดทายาทจากรุ่นสู่รุ่น”
“กล่าวก็คือ คนเหล่านี้อาจเป็นไปได้สูงยิ่งว่าไม่ได้มีรากเหง้ามาจากหุบเหว แต่เป็นทายาทของเหล่าเทพและมารที่เคยทำความผิดใหญ่หลวงในอดีต”
“ทว่าถึงอย่างไรโดยเนื้อแท้หุบเหวก็ยังคงเป็นภพแห่งการดับสูญ ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงไหน ก็ย่อมไม่อาจขจัดล้างแก่นแท้ของพลังแห่งการดับสูญได้จนหมดสิ้น พวกมันกล่าวถึง ‘เถ้าหุบเหว’ ที่มีพลังในการกัดกร่อนทำลายอยู่หลายครั้ง สภาพแวดล้อมในการดำรงชีพของโลกหุบเหวสมควรเลวร้ายอย่างที่สุด ดังนั้น สิ่งมีชีวิตใต้หุบเหวจึงได้พยายามสุดกำลังเพื่อเปิดช่องทางระหว่างหุบเหวกับหุบเหวสุญญตา เพื่อจะได้ขึ้นมายังโลกที่ปราศจากพลังแห่งการดับสูญ”
“และในวันนี้ พวกมันก็ทำได้สำเร็จ”
“ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดการณ์ของข้าเท่านั้น” ฉืออู่เหยาว่า “แต่จากพฤติกรรมและคำพูดของคนทั้งเจ็ดดูแล้วมีความเป็นไปได้สูงมาก”
“ทายาท… ของเทพและมารจากห้วงบรรพกาล?” คำพูดของฉืออู่เหยาทำให้ทุกคนหวนคิดถึงวาจาประหลาดของคนทั้งเจ็ดทันที
“….” หยุนเช่อสีหน้าสั่นไหวเล็กน้อย ฉืออู่เหยากล่าวตรงกับที่มันคิดอยู่ในใจไม่มีผิดเพี้ยน
ในยุคบรรพกาลอันไกลโพ้น เทพแท้จริงที่ทำผิดมหันต์เกินอภัยมักถูกจับโยนลงสู่หุบเหวสุญญตาแทนการประหาร แม้กระทั่ง… ในบันทึกลับเทพมังกรของแดนเทพมังกรก็ยังระบุชัดว่าบุตรของจักรพรรดิเทพอาญาสวรรค์ม่อเอ้อที่ได้ทำความผิดใหญ่หลวง ยังถูกม่อเอ้อจับโยนลงสู่หุบเหวสุญญตาด้วยตัวเอง
ยอดฝีมือที่น่าพรั่นพรึงสุดเปรียบปรากฏตัวออกมาจากหุบเหวสุญญตาที่สมควรมีเพียงความว่างเปล่าและการดับสูญ ทำให้หยุนเช่ออดเชื่อมโยงไปถึงเทพแท้จริงที่สมควรสูญสิ้นไปแล้วในยุคบรรพกาลขึ้นมาไม่ได้
หุบเหวที่แปรสภาพไปอย่างเงียบงันตั้งแต่ยุคอดีตกาลอันไกลโพ้น ในที่สุดก็ก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ที่ปะทุขึ้นมาในวันนี้
นอกจากนี้ คนทั้งเจ็ดนี้ยังเป็นเพียงผู้บุกเบิก… เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
“ถ้าหากว่าที่นี่ถูกมองเป็นมาตุภูมิสำหรับให้พวกมันออกจากหุบเหวขึ้นมาเริ่มต้นชีวิตใหม่จริง เช่นนั้นก็เป็นไปได้สูงยิ่งว่าพวกมันจะไม่ก่อเหตุฆ่าฟันทำลายล้างจนเกินความจำเป็น”
“แต่ว่า” นางมองหยุนเช่อ “แม้เรื่องนี้สำหรับใต้หล้ายุคปัจจุบันจะถือเป็นวาสนาในคราเคราะห์ แต่สำหรับเจ้าแล้วก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง”
ตอนนี้เอง หยุนเช่อก็หันกายเล็กน้อย ตรงหน้าปรากฏข่ายปราณส่งสัญญาณเสียงขนาดเล็กกางขึ้น
มีเสียงของเชียนเย่หยิงเอ๋อร์ดังออกมา
“หยุนเช่อ ห้วงมิติที่สั่นสะเทือนเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น? ข้าไม่รู้เพราะอะไรถึงได้รู้สึกอึดอัดนัก”
“ไม่มีอะไรหรอก” หยุนเช่อตอบกลับเบาๆ “ทางด้านแดนเทพปฐมต้นกำเนิดแค่มีแขกไม่ได้รับเชิญหลายคนโผล่มาเท่านั้น เจ้าคอยอยู่ในแดนเทพปรมันต์ไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามออกมา เดี๋ยวข้าจะไปหา”
จากนั้น ไม่รอให้เชียนเย่หยิงเอ๋อร์ตอบรับ หยุนเช่อก็ใช้นิ้วทั้งห้าสะบัดปัดข่ายปราณส่งสัญญาณจนแหลกเป็นธุลี
หยุนเช่อลดแขนลงพลางเงยหน้ามองฟ้า สายตาเยียบเย็นดุจบ่อน้ำลึก
ชิงเยว่ พอย้อนมองชีวิตนี้ดูแล้ว ทุกย่างก้าวที่ข้าเดินขึ้นสู่สวรรค์ ล้วนแต่เหยียบย่ำลงบนโลหิตและบาดแผลของท่าน ท่านผลักดันข้าจนถึงยอดภูผา ตัวท่านเองกลับถูกกลบฝังลงใต้หุบเหว
จุดที่ข้าใช้ชีวิตอยู่นี้ ล้วนกลั่นมาจากความเศร้าโศกและน้ำตาโลหิตทั้งชีวิตของท่าน
ไหนเลยจะยอมให้ผู้อื่นมาทำลายได้!
ปงงงง
เส้นผมดำของหยุนเช่อพลันปลิวไสว กระแสลมน่าหวาดหวั่นหอบหนึ่งระเบิดออกจากร่างมันอย่างรุนแรง ทั่วภาราจักรพรรดิเมฆากลายเป็นนิ่งงันไป

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด