World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 56 ช่วยเหลือตนเอง
ฟางผิงและคนที่เหลือเข้าสู่ศูนย์ทดสอบประเมิณร่างกาย
ณ ห้องควบคุมหลักศูนย์ทดสอบประเมิณร่างกาย
เวลานี้ มีเพียงเจ็ดแปดคนเท่านั้นที่อยู่ห้องควบคุมหลัก บางคนก็กำลังยืน บางคนก็กำลังนั่ง
คนพวกนี้มีทั้งหัวหน้าผู้ตรวจการของกระทรวงศึกษา ผู้ตรวจสอบการสอบเมืองหนานเจียง และตัวแทนอย่างเป็นทางการของเมืองรุ่ยหยาง
ขณะที่เหล่านักเรียนไหลเข้าสู่ศูนย์ รองหัวหน้าผู้ตรวจสอบการสอบเมืองหนานเจียง ชายชราอายุราว 60 ที่ยังผมดำอยู่ก็หันหน้ามากล่าว “ผู้อำนวยการจิน ในรุ่ยหยางปีนี้ไม่มีผู้ฝึกยุทธมาสอบใช่ไหม?”
ที่ยืนอยู่ข้างๆชายชราเป็นผู้อำนวยการกระทรวงศึกษาเมืองรุ่ยหยาง จินเค่อหมิง หน้าผากเขาผุดเหงื่อเย็นเหยียบ เขาพูดอย่างระมัดระวัง “ท่านรองลั่ว ท่านพูดถูก ไม่มีนักเรียนที่เป็นผู้ฝึกยุทธมาสอบเมืองรุ่ยหยางปีนี้”
“ถ้าฉันจำไม่ผิด รวมปีนี้ก็สิบปีแล้วที่รุ่ยหยางไม่มีนักเรียนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ…”
ชายชราที่ชื่อรองลั่วพูดออกมาลวกๆ
โดยไม่รอให้จินเค่อหมิงตอบ ชายชรายิ้มเยาะแล้วกล่าว “สิบปีก่อน การเป็นผู้ฝึกยุทธยากยิ่งกว่าเดี๋ยวนี้อีก แต่ก็ยังมีนักเรียนที่เป็นผู้ฝึกยุทธมาร่วมสอบ”
“คาดไม่ถึงเลยสิบปีให้หลังการใช้ชีวิตจะง่ายดายยิ่งขึ้น มีสภาพแวดล้อมทางการศึกษาดีขึ้น”
“แต่สิบปีแล้วเมืองรุ่ยหยางก็ไม่มีนักศึกษาเป็นผู้ฝึกยุทธ!”
“ฉันได้แต่สงสัยว่างบประมาณประจำปีหายไปไหน…”
“ท่านรองลั่ว…”
เหงื่อบนหน้าผากจินเค่อหมิงเพิ่มมากขึ้น
ชายชราไม่ได้สนใจเขา เขาหันไปมองสองหัวหน้าผู้ตรวจการที่อยู่อีกด้าน ทั้งสองกำลังจ้องมองจอมอนิเตอร์ราวกับไม่ได้ยินบทสนทนา อย่างไรก็ตามรอยยิ้มบนใบหน้าหม่นเล็กน้อย
ชายชราพูดต่อโดยไม่สนใจความอับอายของสองคน “ปีนี้ กฏของผู้ตรวจสอบการสอบนครระดับมณฑลเพิ่มขึ้นมาก”
“ท่านรองเฉินจะเป็นผู้นำทีมผู้ตรวจสอบการสอบเมืองเจียงเฉิงด้วยตัวเอง”
“ท่านรองหลิวกับคนอื่นๆรวมถึงฉันจะนำทีมตรวจสอบเมืองอื่นๆ”
“คุณรู้ไหมว่าทำไม?”
จินเค่อหมิงเลียริมฝีปากที่แห้งฝาดและตอบเสียงเบา “ผู้สำเร็จราชการจางทะลวงสู่ขั้นเจ็ดแล้ว และเพิ่มทรัพยากรให้กับหนานเจียงได้สำเร็จ…”
“แล้วคุณรู้ไหม?” ชายชรากล่าวอย่างเฉยชา “ตลอดเวลามานี้ฉันคิดว่าคุณไม่ได้ตระหนัก!”
จินเค่อหมิงไม่กล้าพูดต่อ แต่ชายชราเหมือนจะไม่สนใจ เขาพูด “ภายใต้เขตอำนาจของ 15 นครระดับจังหวัดที่หนานเจียงปกครองอยู่ เมืองรุ่ยหยางไม่ได้อยู่อันดับบนหรือล่าง”
“อย่างไรก็ตามผู้ฝึกยุทธเมืองรุ่ยหยางอยู่สามอันดับล่างมาหลายปีแล้ว!”
“ทุกๆปี เมืองรุ่ยหยางจะบอกว่าจำเป็นต้องปฏิรูปและปรับโครงสร้างใหม่ ฉันไม่แปลกใจเลยที่คุณจะกังวล จินเค่อหมิง”
“ปีที่แล้วตอนรายงานราชการมณฑณ เมืองรุ่ยหยางบอกว่าปีถัดไปจะไม่เป็นอันดับท้ายๆแล้ว ฉันยังจำความรู้สึกมั่นใจตอนนั้นได้อยู่”
“แต่ตอนนี้ล่ะ?”
“สิบปีติด ยังไม่มีนักเรียนที่เป็นผู้ฝึกยุทธเกิดขึ้นสักคน”
“อย่าพูดถึงนักเรียนที่เป็นผู้ฝึกยุทธเลย แค่ครึ่งก้าวผู้ฝึกยุทธยังไม่มีให้เห็นด้วยซ้ำ!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะ…”
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาแค่นเสียง “ถ้าไม่ใช่เพราะปีก่อนหวังจินหยางของรุ่ยหยางที่ทำผลงานได้ดีในมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง กระทรวงศึกษาเมืองรุ่ยหยางคงถูกยกเลิกไปแล้ว!”
จินเค่อหมินเหงื่อผุดเต็มแผ่นหลัง แต่ในใจเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
มันเป็นเหตุบังเอิญมากกว่าที่หวังจินหยางกู้หน้าของรุ่ยหยางไว้ได้
มันน่าเสียดายที่ผลการสอบวิชายุทธของหวังจินหยางอย่างมากก็แค่เฉลี่ย ถ้าเขาแค่สอบผ่านและกลายเป็นผู้ฝึกยุทธได้ตอนสอบวิชายุทธปีก่อน รุ่ยหยางคงไม่ต้องกดดันมากขนาดนี้
ขณะที่จินเค่อหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จู่ๆชายชราก็พูดขึ้น “แม้ว่าจะเป็นเพราะหวังจินหยาง กระทรวงศึกษาเมืองรุ่ยหยางจึงไม่สั่นคลอนมากนัก ก่อนที่เขาจากไป ผู้สำเร็จราชการจางได้ไปที่กระทรวงศึกษาของมณฑลด้วยตัวเองและระบุอย่างชัดเจนว่าถ้าใครทำผลงานก็จะได้ค่าตอบแทน ถ้าใครทุจริตต้องโดนลงโทษ!”
“ดูเหมือนกระทรวงศึกษาวิชายุทธของรุ่ยหยางจะมีการทุจริต!”
“ท่ามกลางโรงเรียนมัธยมปลายในนครระดับเทศมณฑล ไม่มีโรงเรียนไหนเลยที่มีหลักสูตรฝึกฝนวิชายุทธเฉพาะทาง!”
“โครงการเงินสมทบแก่นักเรียนที่โดดเด่นได้รับการยืนยันแล้ว แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้จนถึงตอนนี้…”
คำวิจารณ์ติดต่อกันจากชายชราทำให้จินเค่อหมิงหน้าซีดเซียว
หลังจากนั้นชายชราก็พูดขึ้นมาช้าๆ “อย่าตำหนิมณฑลว่าไม่ให้โอกาส!”
“ครั้งนี้ฉันมาบอกคุณอย่างใจเย็นแทนที่จะกล่าวหาคุณว่าละทิ้งหน้าที่ แสดงให้เห็นว่าคุณยังมีโอกาสไถ่โทษอยู่”
“และหน้าที่การงานของคุณจะขึ้นอยู่กับการประเมิณร่างกายครั้งนี้”
“ถ้าปีนี้จำนวนนักเรียนจากรุ่ยหยางที่มีปราณและเลือด 120แคลหรือสูงกว่ามีมากกว่า 100 คน มณฑลจะให้เวลาคุณปฏิรูปและปรับโครงสร้างเพิ่มมากขึ้นเป็นการตอบแทน”
“บางทีถ้ามีครึ่งก้าวผู้ฝึกยุทธหรือผู้สมัครสอบที่ศักยภาพ คุณก็อาจมีโอกาสไถ่โทษ”
“ถ้ามันไม่ถึงมาตรฐาน…”
ชายชราพูดช้าๆ “งั้นผู้อำนวยการจิน คุณจะได้ไปถ้ำใต้ดิน…”
“ถ้ำใต้ดิน!”
จินเค่อหมิงแทบประสาทเสีย เม็ดเหงื่อที่ไหลอาบหน้าผากถึงกับหยดลง
แม้แต่หัวหน้าผู้ตรวจสอบทั้งสองที่แสร้งทำเป็นไม่ฟังตอนแรกก็หันหน้ามามองอย่างอดไม่ได้
โดยเฉพาะสายตาที่พวกเขามองมาทางจินเค่อหมิงเปี่ยมไปด้วยความสงสาร
ชายคนนี้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากระทรวงศึกษาเมืองรุ่ยหยางมาตลอดห้าปีแถมยังเป็นหนึ่งในห้าที่มีอำนาจสูงสุดในรุ่ยหยาง
แต่คนที่เคยชินกับชีวิตสะดวกสบายแบบนี้ถูกส่งไปถ้ำใต้ดิน เขาจะมีชีวิตต่อไปได้หรือ?
แม้ว่าชายคนนี้จะเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามแล้วก็ตาม
ชายชรากล่าวเป็นการเป็นงาน “รางวัลมาพร้อมกับบทลงโทษ อำนาจมาพร้อมกับหน้าที่ ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น!”
“หากคุณ จินเค่อหมิงเลี้ยงดูผู้ฝึกยุทธได้เป็นจำนวนมาก มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างยิ่ง!”
“จากนั้นคุณย่อมสามารถเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่คุณสมควรได้รับในรุ่ยหยาง!”
“แต่คุณเป็นคนที่อยู่ตำแหน่งสูงที่รู้แต่การหาความสุขส่วนตน ไม่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมและการทำงานหนัก คุณไม่รู้พื้นฐานการบริหารหน่วยงานของตัวเองด้วยซ้ำ!”
“ประเทศจ่ายไปมากมายเพื่อบ่มเพาะคุณเป็นขึ้นสาม มันไม่ง่ายเลย! คุณทำอะไรไว้คุณก็ต้องได้อย่างนั้น!”
“ท่านรองลั่ว ผม…”
สีหน้าของจินเค่อหมิงซีดขาวราวกับกระดาษ ขาเขาเริ่มสั่นเทา “ท่านรองลั่ว ผมขอเวลาอีกปี!”
“ผมสาบาน ปีหน้ารุ่ยหยางจะไม่เป็นแบบนี้แน่นอน…”
สถานการณ์ปีนี้คงเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว พวกเขาจะมีนักเรียนมากกว่า 100 คนที่มีปราณและเลือดเกิน 120แคลได้อย่างไร?
ถามว่ามันยากไหมงั้นเหรอ?
ไม่มีใครพูดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครทำให้มันเป็นไปได้
สำหรับเมืองใหญ่ๆแล้ว มันไม่ยากหรอกที่จะหาคนที่มีปราณและเลือดเกิน 120แคลเกิน 100 คน ส่วนใหญ่แล้วจะเห็นได้จากโรงเรียนมัธยมปลายชั้นยอด
อย่างไรก็ตามถ้าพูดถึงเมืองรุ่ยหยาง มันอาจเป็นภารกิจที่ยากมาก!
นักเรียนที่รวมกันอยู่ในศูนย์ทดสอบประเมิณร่างกายล้วนเป็นโรงเรียนมัธยมปลายชั้นนำในเมืองรุ่ยหยาง ได้แก่โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยาง โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเทศมณฑลซิงซี และโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองหยางเฉิง
แต่ถึงกระนั้นก็มีนักเรียนไม่เกิน 30 คนที่มีปราณและเลือดมากกว่า 120แคล
ครั้งนี้ศูนย์ทดสอบประเมิณร่างกายมีทั้งหมดสามศูนย์
อีกสองแห่ง จำนวนนักเรียนที่เกิน 120แคลก็คงน้อยกว่านี้อีก
รวมทั้งหมดอย่างมากก็คงมี 60-70 คน
ชายชราบอกว่าจะให้โอกาส แต่จินเค่อหมิงรู้ว่าเขาไม่มีโอกาสเลย!
จินเค่อหมิงรู้สึกเสียใจ เขาเป็นข้าราชการที่ไม่ได้ฝึกฝนวิชายุทธมาหลายปีและจะถูกส่งไปถ้ำใต้ดิน มันไม่ต่างอะไรกับการส่งเขาไปตาย!
ชายชราไม่สนใจ ให้เวลาอีกปีงั้นเหรอ?
เขาพูดแบบนี้มาหลายปีแล้ว! และมันก็เป็นข้ออ้างเดิมๆทุกปี!
ก่อนที่ผู้สำเร็จราชการจางทะลวงขั้นเจ็ด เขาเป็นผู้สำเร็จราชการขั้นหกที่ถูกทุกนครระดับจังหวัดสยบไว้ไม่ให้เข้าถึงอำนาจเต็ม
เมื่อพิจารณาถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ ผู้สำเร็จราชการจึงไม่ทำการเคลื่อนไหวใหญ่
แต่สถานการณ์ตอนนี้ต่างกัน ผู้สำเร็จราชการจางทะลวงสู่ขั้นเจ็ดแล้ว เขามีวิธียับยั้งการปราบปรามของอีกฝ่าย
เพื่อกอบกู้สถิติวิชายุทธที่เสื่อมถอยลงในหนานเจียง พวกเขาจำเป็นต้องเชือดไก่ให้ลิงดู!
แน่นอนพวกเขาไม่ได้หยุดรุ่ยหยาง แต่จินเค่อหมิงเป็นไก่ตัวเดียวที่ถูกเชือด!
ท่านรองผู้นี้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดเป็นอันดับสองของกระทรวงศึกษาที่เตรียมโค่นจินเค่อหมิงด้วยทุกอย่างที่มี
ตราบใดที่ผู้บัญชาการของรุ่ยหยางไม่เข้ามาแทรกแซง ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน ถ้าพวกเขาเข้ามายุ่งเกี่ยว ก็อย่าตำหนิเขาถ้าเขาจะโค่นพวกเขาลงพร้อมกัน
การเชือดผู้บัญชาการให้ดูก็อยู่ในขอบเขตเช่นกัน
เมื่อเห็นชายชราไม่แยแส จินเค่อหมิงก็ขบฟันพูด “ท่านรองลั่ว ผมขอลงไปดูสถานการณ์ก่อน”
ชายชราชำเลืองมองเขาแวบนึงแล้วพูด “อยากทำอะไรก็ทำ กรมสืบสวนก็อยู่ในศูนย์ประเมิณปราณและเลือด ฉันจะอยู่ตรงนี้แหละ ถ้าคุณคิดว่าคุณหายตัวไปใต้จมูกฉันได้ ฉันก็ขอแสดงความยินดีกับความกล้าหาญ…”
“ไม่แน่นอน! ผมไม่กล้า!”
จินเค่อหมิงส่ายหน้าระรัว ต่อให้เขาพยายามหลบหนี มันก็คงเป็นทางตัน
การหนีไม่ได้อยู่ในหัวเขาเลย ถ้าเขาถูกส่งไปถ้ำใต้ดิน เขาก็ยังมีโอกาสรอดชีวิต แต่ถ้าเขาหนี เขาถูกประหารแน่นอน
“งั้นก็ไปสิ!”
ชายชราย่อมรู้เหตุผลที่เขาลงไป เขาแค่กำลังพยายามช่วยเหลือตนเอง
ท้ายที่สุดแล้วจินเค่อหมิงก็เป็นเจ้าหน้าที่ขั้นสามธรรมดาๆ ไม่ใช่คนที่ก่ออาชญากรรมชั่วร้าย
ที่พวกเขาไม่ได้จับเขาไปขัง มันก็เป็นโอกาสไถ่โทษแล้ว
อย่างไรก็ตามคนเดียวที่มั่นใจว่ามันมีโอกาสแค่ไหนก็คือตัวจินเค่อหมิงเอง
…..
จินเค่อหมิงรีบเดินจากไป
ณ ห้องควบคุมหลัก
เมื่อหัวหน้าผู้ตรวจการคนนึงที่เงียบมาตลอดเริ่มเคลื่อนไหว เขาทำลายความเงียบและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมได้ยินมาตลอดว่ารองลั่วดูแลลูกน้องดี วันนี้ผมได้เห็นสักที”
“ผู้อำนวยการจินโชคดีมากที่มีหัวหน้าอย่างท่าน”
“ถ้าผมมีโอกาสไปหนานเจียง ผมจะไปแน่นอน ผมจะตั้งหน้าตั้งตารอทำงานพร้อมกับท่าน ท่านรองลั่ว…”
ชายชรายิ้มมุมปาก “ยินดีเหมือนกันที่ได้พบเธอ ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตารอทำงานร่วมกับอัจฉริยะของกระทรวง”
“อย่างไรก็ตามในกรณีจินเค่อหมิง ไม่ว่าเขาจะผ่านการทดสอบไหมยังพูดได้ยากอยู่…”
ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น เป็นเพราะเขาเดาได้ว่าจินเค่อหมิงกำลังทำอะไรต่อไป อันที่จริงนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้
พูดตามตรงการหานักเรียน 100 คนที่มีปราณและเลือดเกิน 120แคลนั้นง่ายกว่าที่เห็นนัก
…..
ในศูนย์ทดสอบประเมิณร่างกาย
ด้วยคำสั่งของหมอให้ถอดเสื้อผ้าออก กลุ่มคนทั้ง 10 จึงเริ่มถอดเสื้อผ้า
เมื่อฟางผิงถอดจนเหลือกางเกงในชิ้นสุดท้าย เขาก็หยุดลง
คนจาก 7 ใน 9 ก็หยุดเช่นกัน
ในหมู่พวกเขา มี 2 คนที่ถอดออกจนหมดจนอยู่ในชุดวันเกิด
เมื่อได้เห็นเจ้าโง่ถานห่าวกับหยางเจี้ยนถอดออกจนหมดปล่อยให้น้องชายห้อยโทงเทงให้คนอื่นเห็น คนอื่นๆก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
หมอที่รับผิดชอบการสอบก็หมดคำจะพูด แต่สุดท้ายเขาก็กล่าว “การประเมิณร่างกาย เราจะตรวจแค่บาดแผลขนาดใหญ่”
“ส่วนใหญ่เพื่อป้องกันบาดแผลขนาดใหญ่ไม่ให้บาดเจ็บร้ายแรงตอนระเบิดปราณและเลือด”
“ดังนั้นเราจะดูคร่าวๆเท่านั้น”
“นอกจากนี้ฉันบอกแล้วให้เหลือกางเกงในไว้…”
หมอวัยกลางคนตกตะลึง เขาบอกไม่ชัดเจนพออีกเหรอ?
‘ต่อให้มีบาดแผลขนาดเล็กในบริเวณนั้น มันก็ไม่สำคัญ พวกเขาไม่เข้าใจเหรอ?’
‘เจ้าโง่สองคนนี้อยากอวดหรืออยากฉี่กัน?’
หลังหมออธิบาย เขาก็ตรวจสอบทุกคนคร่าวๆและประทับตราแบบฟอร์มตรวจสุขภาพของทุกคน
ฟางผิงมองพวกเขา เจ้าโง่ทั้งสองนี้ไม่ยอมฟังกฏให้ชัดเจน เขารู้สึกขายหน้าจริงๆที่รู้จักพวกเขา
‘พวกนายคิดว่าเอาน้องชายมาโชว์มันน่าทึ่งมากเหรอ? มันน่าตื่นเต้นงั้นเหรอ?’
ฟางผิงไม่อยากเสียเวลาจัดการพวกเขา เขาใส่เสื้อผ้ากลับคืนแล้วออกจากห้องประเมิณอย่างเร่งรีบ ‘การประเมิณหน้าฉันจะไม่มากับเจ้าพวกนี้แน่นอน’
เมื่อฟางผิงออกจากห้องตรวจ เขาก็เห็นถานเจิ้นผิง
เมื่อเขาเห็นถานเจิ้นผิง ฟางผิงก็อึ้ง ‘ผู้ฝึกยุทธพวกนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาไม่ใช่เหรอ?’
‘ถานเจิ้นผิงมาทำอะไรที่นี่?’
คอมเม้นต์