World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 65 เริ่มโจมตี
ตอนที่ 65 เริ่มโจมตี
หลังกลับเข้าห้อง ฟางผิงก็คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาระหว่างกลับ
เขาพบกับผู้ฝึกยุทธสองคนและคนบ้าสองคนระหว่างทางไม่กี่ร้อยเมตร
“ผู้ฝึกยุทธมีมากขนาดนี้เชียว?”
“หรือที่พวกเขาโผล่กันมาเยอะเกี่ยวข้องกับคนบ้าพวกนั้น?”
มันเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดีถ้าจะบอกว่ามีผู้ฝึกยุทธมากมาย
เมืองรุ่ยหยางเจริญกว่าเมืองหยางเฉิง แต่เมืองหยางเฉิงมีผู้ฝึกยุทธไม่กี่คนเท่านั้น
เมืองรุ่ยหยางจะมีได้กี่คนเชียว?
ไม่ว่าเขาจะบังเอิญพบผู้ฝึกยุทธหรือไม่ แต่เขาก็คิดว่ามันบังเอิญอยู่ดี
แต่เขาได้พบถึงสองคน…
เขาส่ายหัว ฟางผิงรู้ตัวว่าเขาไม่จำเป็นและไม่มีสิทธิ์ไปสนใจเรื่องแบบนี้
สิ่งที่เขาต้องใส่ใจก็คือสอบทั่วไปศึกษาในอีกสองวันข้างหน้า หลังสอบเสร็จ เขาจะกลับเมืองหยางเฉิง ดังนั้นมันจึงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
แม้ว่าปราณและเลือดเขาจะสูงพอควร ซึ่งหมายความว่าเขาค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ฟางผิงก็ไม่อาจประมือกับคนธรรมดาถืออาวุธ ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกยุทธเลย
เขาข่มความรู้สึกไม่สบายใจในอก และหยิบหนังสือทั่วไปศึกษามาขึ้น
…..
หลังจากนั้นพวกฟางผิงก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย
วันที่ 10 เป็นวันสอบทั่วไปศึกษา ฟางผิงย่อมเลือกที่จะลืมเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
วันที่ 10 มาถึงอย่างรวดเร็ว
หลังสอบทั่วไปศึกษาเสร็จ พวกฟางผิงก็กลับเมืองหยางเฉิงเพื่อเตรียมสอบวัฒนธรรมศึกษา
โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางเป็นสถานที่สอบทั่วไปศึกษา
นักเรียนจากเขตอื่นอย่างฟางผิงมีอาจารย์พามา ส่วนนักเรียนท้องที่ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับพ่อแม่ผู้ปกครอง
มันก็ไม่ได้ต่างจากปกตินัก เมื่อพวกฟางผิงเข้าห้องสอบ ผู้ปกครองของหลายๆคนก็รวมตัวกันอยู่ด้านนอก
พวกเขาจ้องมองบุตรหลานอย่างกระตือรือร้น โดยหวังว่าบุตรหลานของตนจะเข้ามหาลัยวิชายุทธได้
เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ได้ โอกาสประสบความสำเร็จก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ความหวังลมๆแล้งๆแน่นอน
…..
ขณะที่พวกฟางผิงเข้าห้องสอบ
มีรถตู้คันเก่าๆจอดอยู่ข้างนอกเงียบๆ
ในรถมีชายหญิงหกเจ็ดคนนั่งอยู่
ขณะที่พวกเขาเฝ้ามองพวกนักเรียนอยู่ไกลๆ หญิงกลางคนหน้าตาธรรมดาก็พูดขึ้น “คุณเห็นแล้วใช่ไหม?”
“เห็น!”
“ไม่กี่วันมานี้ รุ่ยหยางได้จับกุมพี่น้องของเรา!”
“แต่เดิมเราตั้งใจจะเผยแพร่แสงอันรุ่งโรจน์ของเทพที่แท้จริง เผยแพร่ความรักไปทั่วโลก ให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ให้ทุกคนมีสิทธิ์รู้”
“แต่ชนนั้นอภิสิทธิ์เหล่านั้น เพื่อรักษาอำนาจ พวกเขาได้ปกปิดข่าวปิศาจจุติ และโลกกำลังล่มสลาย”
“คนเหล่านั้นเป็นคนบาปที่ไม่อาจให้อภัยได้!”
หญิงกลางคนกล่าวต่อ “ชนชั้นอภิสิทธิ์ รักตัวกลัวตาย แต่พวกเราไม่มีความแข็งแกร่งพอชำระสิ่งสกปรกของโลก”
“และนักเรียนพวกนี้ หลายคนถูกปลุกปั่นล้างสมอง เป็นเมล็ดพันธุ์ของชนชั้นอภิสิทธิ์”
“เพื่อชำระโลกมนุษย์ เราต้องใช้เลือดพวกเขาเพื่อแจ้งเตือนต่อโลก…”
ผู้หญิงคนนี้สร้างความชอบธรรมให้ตนเอง สุดท้ายเขาก็กล่าว “นักเรียนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้บริสุทธิ์!”
“แต่บางคนถูกปลุกปั่นจนหมดหนทางเยียวยาแล้ว!”
“ดังนั้นเราต้องไปช่วยเหลือวิญญาณหลงทางเหล่านี้ต่อหน้าสาธารณะ!”
“สำหรับผู้ที่ถูกปลุกปั่นโดยสมบูรณ์ การคัดกรองเป็นเรื่องง่าย ยิ่งปราณและเลือดสูง โอกาสเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ในอนาคตก็ยิ่งมาก”
“คนเหล่านี้มีบาปกรรมร้ายแรงจนหมดหนทางเยียวยา”
“ผู้ที่ต้องประสบภัยพิบัติคนแรก เป็นนักเรียนที่มีปราณและเลือดถึงขีดจำกัด”
“คนประเภทนี้ไม่อาจใช้ความรักกล่อมเกลาได้ มีแต่ความตายเท่านั้นที่มอบชีวิตใหม่ให้เขา”
…..
ในห้องสอบ
ฟางผิงกำลังหมกมุ่นอยู่กับการทำข้อสอบ โดยไม่รู้เลยว่าตนเองถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปที่หมดหนทางเยียวยา
ถ้าเขารู้ ฟางผิงอาจกระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธ ทำไมฉันถึงหมดหนทางเยียวยา?
เขารู้สึกว่าตัวเองยังเยียวยาได้!
ฟางผิงไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เขาทำข้อสอบต่อ และกำลังถึงเรื่องกลับบ้านตอนบ่าย
…..
สองชั่วโมงต่อมา สอบทั่วไปศึกษาก็จบลง
หลังออกมาจากห้องสอบ ฟางผิงก็ไม่เห็นพวกอู๋จื้อเห่าในห้องสอบแล้ว
เขาขี้เกียจเกินกว่าจะหาในฝูงชน เขาจึงกลับไปรอพวกเขาที่โรงแรม
หลังออกจากประตูโรงเรียน ฟางผิงเบียดเสียดอยู่ครู่นึงถึงฝ่าออกมาจากกลุ่มผู้ปกครองที่มารอบุตรหลานได้
ทันทีที่เขาออกมา เขาก็เห็นมีคนเดินตรงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
มีคนอยู่กันมากเกินไป ฟางผิงจึงขี้เกียจมอง เขาจึงเดินต่อไป
เมื่อเขาก้าวไปข้างหน้า หัวใจของฟางผิงก็บีบตัว เขาตรวจสอบรอบๆแล้วเห็นคนที่เดินตรงมาหาเขามองเขาด้วยสายตาที่ลุกโชน
อีกฝ่ายจ้องมองฟางผิงอยู่ครู่นึง ราวกับอยากตรวจสอบว่าตนเองไม่ได้มองผิดคน
บางทีเขาอาจคิดถูก เพราะอีกฝ่ายเริ่มพึมพำอะไรบางอย่างแล้วชักมือที่ล้วงกระเป๋าออกมา
เขาพูดเสียงเบา แต่ด้วยปราณและเลือดที่สูง สัมผัสของฟางผิงจึงสูงไปด้วย เขาได้ยินคำพูดที่คุ้นหู เขาเหมือนจะได้ยินว่า’เทพที่แท้จริง’อย่างคลุมเครือ
ฟางผิงชะงักก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไป
เป็นกลุ่มคนเผยแพร่ศาสนาที่บ้าคลั่งพวกนั้น!
เมื่อเห็นการกระทำของอีกฝ่าย ฟางผิงก็คิดในใจ’คนพวกนี้เป็นมือระเบิดพลีชีพ?’
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว และความคิดแรกของฟางผิงก็คือการวิ่งหนี
เขาไม่ใช่คนเสียสละ มนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวโดยสันดาน ทุกคนจะวิ่งหนีเมื่อเจอสัญญาณอันตราย
เวลานั้น ฟางผิงไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของคนอื่น
ด้วยเจตนาอยู่ให้ห่างจากปัญหา เขาจึงเบี่ยงทางเดินไปอีกด้าน หลบอีกฝ่ายอย่างเร่งรีบ
เมื่อเห็นฟางผิงเบี่ยงเส้นทาง ชายคนนั้นก็หยุดเดินแล้วเดินตรงมาหาฟางผิงต่อ
ฟางผิงชะงักอีกครั้ง อะไรเนี่ย?
เขาหลีกทางให้แล้ว ทำไมชายคนนี้ถึงไล่ตามเขาอีกล่ะ?
ฟางผิงขยับตัวและก้าวไปด้านข้างอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ยังเดินมาหาเขาต่อ แถมมือของอีกฝ่ายก็โผล่ออกนอกกระเป๋ามาครึ่งนึงแล้ว
“เชี่ย!”
ฟางผิงแทบอยากสบถ เขาหลีกทางให้หมอนี่หลายครั้งแล้ว! ทำไม? เขาหลงรักฉันเหรอ?
ฟางผิงไม่แสร้งทำเป็นเลอะเลือนอีก เขาวิ่งหนีไปทันที
ขณะที่วิ่ง เขาก็หันกลับมามอง ค้นหาถานเจิ้นผิงหรือคนอื่นที่มีสถานะคล้ายกัน ถ้ามีผู้ฝึกยุทธอยู่ เขาก็จะวิ่งเข้าไปหา
เมื่อเห็นฟางผิงวิ่งหนีไป ชายคนนี้ก็ชะงักก่อนจะวิ่งไล่ตามไป
ฟางผิงได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านหลัง มันเป็นฝีมือของคนอื่น
มีคนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดจากฝูงชน “เทพที่แท้จริงจุติลงมาสู่โลกเพื่อชำระบาป!”
“บัดซบ!”
แถวนี้ย่อมมีผู้ฝึกยุทธอยู่ด้วย แต่พวกเขาคอยระวังผู้ฝึกยุทธเท่านั้น
ครั้งนี้ผู้โจมตีเป็นคนธรรมดา
พวกเขาแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มผู้ปกครอง ดังนั้นผู้ฝึกยุทธที่ตรวจตราอยู่จึงไม่คิดว่าจู่ๆอีกฝ่ายจะโผล่มาโจมตีนักเรียน
เมื่อเห็นมีการโจมตีเกิดขึ้น ฝูงชนจึงตื่นตระหนก
ผู้ฝึกยุทธหลายคนถูกฝูงชนพัวพันอยู่พักหนึ่ง
…..
ฟางผิงตัวสั่นเมื่้อได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลัง บัดซบ! ฉันเจอคนบ้าจริงๆ!
แต่เดิมเขาอยากเห็นว่ามีผู้ฝึกยุทธอยู่ใกล้ๆไหม แต่หลังเห็นจำนวนคนบ้าที่ทำตัวบ้าคลั่งด้านหลัง เขาจะกล้าอยู่ต่อได้อย่างไร
เมื่อเขากำลังจะวิ่งต่อ เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนไล่ตามหลังมา “ผู้เผยแพร่ศาสนา มันกำลังหนี!”
และเวลานั้นเอง ฟางผิงก็สัมผัสได้ถึงปราณและเลือดที่กำลังแผ่ออกมาตรงหน้า
เขาเงยหน้ามองและเห็นผู้หญิงคนนึงกำลังยืนอยู่ตรงหน้า
สมองเขาทำงานอย่างบ้าคลั่ง เขาสรุปได้อย่างนึง สองคนนี้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกัน
ผู้ชายคนที่อยู่ข้างหลังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ แต่ผู้หญิงตรงหน้าใช่
หลังคิดเสร็จ เขาก็หยุดเดินทันทีแล้ววิ่งกลับไปทางเดิม
คนที่ตามเขาหยิบมีดสั้นออกมาจากกระเป๋าและถลึงตาจ้องมองเขา
ฟางผิงคิดถึงผู้ฝึกยุทธด้านหลังพลางวิ่งหนีไปด้วย เขากัดฟันแล้วคิด ‘ไม่ฉันตายก็คุณตาย!’
เมื่อคิดได้แบบนั้น ฟางผิงก็คำรามเบาๆและกระตุ้นปราณและเลือด
เมื่ออยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่กี่เมตร ฟางผิงก็ดีดตัว ขาซ้ายถีบพื้น ขาขวาถีบใส่หัวอีกฝ่าย!
ฟางผิงฝึกจวงกงมาถึงขั้นยืนมั่นคงแล้ว เขามีรากฐานมั่นคง มีศูนย์ถ่วงที่ดี แม้ขาทั้งสองข้างจะอยู่กลางอากาศ แต่เขาก็รักษาการทรงตัวไว้ได้
ปัง!
ขาขวาเขาไม่ถึงศีรษะคู่ต่อสู้ มันกระแทกเข้าที่แขนซ้ายแทน
มีดกระเด็นหลุดมือ อีกฝ่ายกระเด็นไปข้างหลังพร้อมกับเสียงร้องเจ็บปวด
ฟางผิงไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขากระโดดถีบใส่อีกฝ่าย เขาจึงเสียเวลาไปเล็กน้อยเช่นกัน ฟางผิงได้ยินเสียงฝีเท้าดังจากข้างหลัง
‘บัดซบ ฉันไปล่วงเกินใครเข้า?’
ฟางผิงก่นด่าในใจ เขาแค่อยากมาสอบเฉยๆ ทำไมฉันต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย!
ความสามารถเขามีจำกัด เขายังไม่เคยฝึกวรยุทธอะไรเลย เขากำลังอาศัยความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงอย่างเดียว
ไม่งั้น ถ้าเขาเป็นวรยุทธบ้าง เขาต้องลองใช้อย่างกระตือรือร้นแน่นอน
ทั้งหมดเป็นเพียงความคิดเท่านั้น หลังเตะมีดของอีกฝ่ายกระเด็น เขาก็วิ่งหนีต่อ
แต่เวลานั้นเขาได้ยินเสียงหอบหายใจอย่างหนักดังจากข้างหลังแล้ว
ฟางผิงตระหนักทันที ผู้หญิงคนนั้นอยู่หลังเขาแล้ว เธอใกล้มากจนเขาจะถูกจับในไม่กี่ก้าว
ฟางผิงบิดตัวไปด้านข้าง หยุดวิ่งเป็นเส้นตรง เขาวิ่งเอียงตัวได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หันตัวไปมองทันที
เขาเห็นผู้หญิงยืนขวางทางอยู่ห่างออกไปสองสามเมตร
“เธอไม่ได้พกอาวุธใช่ไหม?”
ฟางผิงมองเธอคร่าวๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงมามือเปล่า ความกล้าหาญก็ลุกโชน
ไล่ล่า ไล่ล่าพี่สาวคุณสิ!
ปราณและเลือดเธอไม่ได้สูงกว่าเขานัก แถมเธอยังไม่มีอาวุธ! เธอคิดจริงๆเหรอว่าเขากลัวเธอ?
ถ้าอีกฝ่ายเป็นชายร่างกำยำหรือถืออาวุธมาด้วย ฟางผิงวิ่งต่อแบบไม่คิดชีวิตแน่นอน
แต่อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงไร้อาวุธ ในความคิดแรก เธอย่อมไม่เป็นภัยคุกคามอะไรนัก
นอกจากนี้หลังเตะชายถือมีดจนกองลงกับพื้น ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มขึ้นมาก
เมื่อคิดว่าต่อให้เขาวิ่งต่อ เขาก็คงถูกจับ ฟางผิงจึงกระตุ้นปราณและเลือดอีกครั้งแล้วกวาดลูกเตะใส่อีกฝ่าย
“สารเลว!”
ผู้หญิงคนนั้นคำราม กำปั้นตรงเข้าใส่ขาขวาของฟางผิง
ปัง!
กำปั้นและขาปะทะกัน เสียงกระแทกดังขึ้นมาเมื่อกระดูกและเลือดเนื้อปะทบเข้าด้วยกัน
ฟางผิงรู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นขา เขาตระหนักทันที ‘ผู้หญิงคนนี้ขัดเกลากระดูกแขน!’
เขาแค่รู้สึกเจ็บ แต่กระดูกไม่มีสัญญาณว่าจะแตกหัก แววตาของฟางผิงเปล่งประกาย เชี่ย เธอมีดีแค่นี้เอง!
เธออ่อนแอมากเมื่อเทียบกับหวงปิน ชายคนนั้นทำให้แท่งไม้แตกเป็นเสี่ยงๆได้ด้วยหมัดเดียว
แม้แต่หวงปินก็แพ้พ่ายให้แก่เขา เขาจำเป็นต้องกลัวเธอด้วยเหรอ?
ฟางผิงเปี่ยมล้นด้วยความกล้าหาญ เขาชักขากลับมาอย่างรวดเร็ว กลับสู่ท่ายืน ชกกำปั้นใส่ศีรษะ
เมื่อผู้หญิงคนนี้ยิงกำปั้นโต้กลับมา ฟางผิงก็ชักหมัดกลับ ใช้ขาข้างนึงยืนพื้น ขาอีกข้างกวาดใส่ท่อนล่างอีกฝ่าย
ถ้าเธอขัดเกลากระดูกแขน มันก็แปลว่าเธอไม่ได้ขัดเกลากระดูกขา เขาต้องหักขาของเธอก่อน!
ปัง!
เมื่อขาทั้งสองปะทะกัน ฟางผิงก็รู้สึกเจ็บแปลบอีกครั้ง ผู้หญิงคนนี้เสียการทรงตัว ยืนไม่มั่นคง สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“ขยะ!”
ฟางผิงสบถและกวาดขาใส่ผู้หญิงตรงหน้าอีกครั้ง
ความโกรธปรากฏบนสายตาของเธอ เธอแกว่งหมัดหมายปะทะเข้ากับขาขวาของฟางผิง
เมื่อเห็นกำปั้นพุ่งตรงมา ฟางผิงก็หดขากลับไม่ปะทะ แล้ววิ่งหนีไป
เขาไม่อยากพัวพันกับอีกฝ่ายแล้ว เพราะเขาได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาจากฝูงชนที่อยู่ไกลออกไป
เขาตะโกน “ช่วยด้วย!”
“คนเลวต้องตาย!”
ผู้หญิงคนนี้คำรามด้วยความโกรธ “หยุดมันไว้!”
แน่นอนเธอย่อมไม่ได้สั่งฟางผิง แต่เป็นชายคนที่ฟางผิงเตะจนกองอยู่กับพื้นเมื่อกี้
ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนแล้ว เขาตัวเซด้วยความวิงเวียน มีดยังตกอยู่บนพื้น มือขวากุมแขนซ้าย
เมื่อได้ยินคำสั่ง ชายคนนั้นก็รีบก้าวเข้ามาขวางทางฟางผิง
“ต่อให้ฉันเอาชนะผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ ฉันก็ยังจัดการแกได้!”
ฟางผิงโกรธมากเช่นกัน เขาถูกโจมตีทั้งๆที่ไม่ได้ล่วงเกินใคร
อีกฝ่ายไม่ได้ถือมีด ทำไมเขาต้องกลัว?
แม้ขาเขาจะสั่นด้วยความเจ็บปวด แต่เขายังมีหมัด เมื่อชายคนนั้นเข้ามาใกล้ กำปั้นของฟางผิงก็ปะทะกับหน้าอีกฝ่ายเสียงดังปัง
“อ้าก!”
ชายตรงหน้าล้มลงกับพื้นอีกครั้ง กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เลือดสีแดงฉานไหลออกจากจมูกปาก
แต่เขาก็ถูกอีกฝ่ายทำให้เสียเวลา ผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังตามมาทันอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเสียงหวีดหวิวดังขึ้นข้างหู ฟางผิงก็ยกแขนขึ้นมาป้องกันหัวตามสัญชาตญาณ
“ปัง!”
แขนเขาปะทะกับแขนคู่ต่อสู้ ฟางผิงไม่สนใจอาการบาดเจ็บ เขายกขาขึ้นมาเตะโดยไม่ได้หันไปมอง
ปัง!
อีกฝ่ายตอบสนองไม่ทัน เธอร้องด้วยความเจ็บปวด ขาของฟางผิงเตะใส่ขาเธออย่างจัง
ทั้งสองพัวพันกันยุ่งเหยิง ฟางผิงใช้แขนสองข้างกันศีรษะไว้และกวาดลูกเตะเข้าใส่โดยไม่ได้มอง
อีกฝ่ายชกกำปั้นใส่แขนเขา พยายามต่อยหัวเขาเพื่อให้จบการต่อสู้โดยเร็ว
ทั้งสองต่อสู้กันโดยปราศจากกระบวนท่า ฟางผิงไม่รู้เหมือนกันว่าทนรับหมัดมากี่ครั้งแล้ว แต่เขาก็เตะใส่อีกฝ่ายหลายครั้งเช่นกัน
ขณะที่ทั้งสองสู้กันอยู่ เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากข้างฟางผิง
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด “ตาย!”
ทันทีที่ฟางผิงได้ยินคำนั้น เขาก็เห็นมือข้างหนึ่งกำหมัดแน่นชกเข้าใส่ศีรษะของผู้หญิงคนนี้
หัวของเธอระเบิดราวกับลูกแตงโม เลือดเนื้อกระเซ็นไปทั่ว
ฟางผิงเบิกตาโพลงดูสิ่งสกปรกกระเซ็นใส่ร่างกาย มือ และแม้แต่ใบหน้า…
ตอนแรกฟางผิงตกตะลึงจนไม่รู้สึกคลื่นไส้แม้แต่น้อย
แต่ในไม่ช้า เขาก็รู้สึกคลื่นเหียนอย่างรุนแรง!
แม่ง สมอง!
ไอ้สารเลว ใครทำเรื่องงามหน้ากันเนี่ย?
“อ้วก…”
มีเสียงพยายามอาเจียนดังออกจากปากฟางผิง เขารีบใช้แขนเสื้อเช็ดปาก แต่ไม่ช้าเขาก็นึกขึ้นมาได้ ดูเหมือนมันจะติดบนแขนเสื้อด้วย
และตอนนี้ อาเจียนก็พุ่งออกมาของจริง!
คอมเม้นต์