มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 9 แล้วแต่เจ้า
ก่อนหน้านี้หลิ่วสือซุ่ยกลับไปอ่านเคล็ดการบำเพ็ญเพียรขั้นต้นเล่มนั้นยังที่พักของตน เขาอ่านอย่างจริงจังและตั้งใจ ไม่นานก็จดจำเนื้อหาทั้งหมดได้
เวลานั้นพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน เขาเริ่มฝึกร่างกายตามหนังสือ
แรกเริ่มก็เป็นท่าทางต่างๆ จากนั้นเป็นการยืนคันธนูและสะพานโค้ง สุดท้ายจึงเป็นเพลงหมัดชุดหนึ่ง
เพลงหมัดชุดนั้นมิยาก หากแต่ต้องออกแรงต่อเนื่อง ค่อนข้างใช้เวลาอยู่ทีเดียว การหายใจของเขาเริ่มลำบากขึ้นมาอย่างมาก จนไม่สามารถฝึกต่อไปได้
แต่ขณะที่เขาเตรียมจะล้มเลิกการฝึก หน้าอกของเขาพลันขยับขึ้นมา การหายใจเข้าสู่จังหวะที่มีความแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง แต่มันกลับสอดรับกับการออกแรงในตอนที่ปล่อยหมัดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จริงอยู่ที่จังหวะการหายใจแบบนั้นมันแปลกประหลาด ประเดี๋ยวทอดยาวประเดี๋ยวกระชั้น ดูคล้ายไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ทว่าหลิ่วสือซุ่ยกลับคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีทางใช้มันออกมาได้
นั่นคือวิธีการหายใจที่จิ๋งจิ่วสอนเขาเมื่อครั้งยังอยู่ที่หมู่บ้าน
แม้นกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังมิรู้ว่าวิธีการหายใจเช่นนี้เรียกว่าเคล็ดลมหายใจประตูหยก แต่ตัวเขาที่ดูคล้ายจะงุ่มง่ามเลอะเลือน ทว่าความจริงแล้วฉลาดหลักแหลมนั้นรู้ดีว่านี่มันหมายความว่ากระไร
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร หากแต่มองดูเขา
หลิ่วสือซุ่ยเข้าใจความหมายของเขา จึ่งรีบยันกายลุกขึ้น
เมื่อครั้งที่อยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน จิ๋งจิ่วเหลือบมองดูเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดซึ่งหาได้ยากยิ่ง มิเช่นนั้นคงไม่เลือกเขา
ในเวลานี้หนึ่งปีมานี้ จิ๋งจิ่วไม่ได้สอนอะไรเขามากนัก หากแต่ถ่ายทอดเคล็ดลมหายใจประตูหยกซึ่งเป็นพื้นฐานที่สุดให้
แม้นจะเป็นพื้นฐาน แต่กลับสำคัญยิ่ง เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าของหลิ่วสือซุ่ยถูกรักษาเอาไว้อย่างดี ขอเพียงคนจากสำนักชิงซานมิได้เป็นคนตาบอด เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะปล่อยเขาให้หลุดมือไปเป็นแน่
ทว่าหลิ่วสือซุ่ยใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็ค้นพบความยอดเยี่ยมของเคล็ดลมหายใจประตูหยกแล้ว นี่ออกจะเหนือความคาดหมายของเขาไปเสียหน่อย สติปัญญาของเจ้าเด็กนี่ดีกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก
“เจ้ามิต้องขอบคุณข้า” จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าเองก็เคยสอนข้า ข้าเพียงแค่แลกเปลี่ยนเท่านั้น”
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิด ผ่าฟืนทำกับข้าวมันเทียบกับการบำเพ็ญเพียรได้ด้วยหรือ?
จิ๋งจิ่วกล่าวอีกว่า “การบำเพ็ญเพียรต้องการความแน่วแน่และใจที่สงบ พวกงานต่างๆ ในสวนจะมีคนมาคอยดูแลจัดการ เจ้ามิต้องมาที่นี่บ่อยๆ หรอก”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวอย่างร้อนใจ “คุณชายท่านมิต้องการข้าแล้วหรือ?”
จิ๋งจิ่วมิชอบถกเถียง เขายกมือบอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้องกล่าวกระไรอีก สายตามองออกไปยังสวนที่อยู่นอกหน้าต่าง พบว่าพื้นที่ใหญ่มิใช่น้อย หากต้องปัดกวาดคงยุ่งยากทีเดียว ทั้งเรื่องส่วนตัวเขาก็มิชอบให้คนแปลกหน้ามาวุ่นวาย
“อย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้า”
……
……
ใบไม้หลุดร่วงลงมาตามลม ก่อนจะไหลลงไปตามสายธาร
เวลาเหมือนดั่งสายน้ำ ไม่นานก็ผ่านไปสิบกว่าวัน
เหล่าศิษย์นอกสำนักของศาลาหนานซงฝึกฝนอย่างหนักทั้งกลางวันกลางคืนมิได้เกียจคร้าน ทุกคนต่างขยันขันแข็ง ไม่มีใครกล้าเอ้อระเหยแม้แต่คนเดียว
ทั่วทุกที่บนที่ราบริมผาสามารถมองเห็นเหล่าลูกศิษย์วัยเยาว์กำลังฝึกฝนร่างกาย บางคนยืนม้า บางคนหลังพิงต้นสน แต่หลายคนกำลังฝึกเพลงหมัดอยู่
ตั้งแต่เช้าตรู่ยันอาทิตย์ตกดิน เสียงออกหมัดดังมิขาด เสียงตะโกนดังมิหยุด ช่วงต้นฤดูร้อน สายลมพัดโบก ใบไม้หลุดร่วงตามลม เหล่านกในป่ายิ่งมิได้อยู่กันอย่างสงบ
คนที่ออกหมัดได้ดี ก็พอจะมองเห็นควันสีขาวได้ลางๆ
เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ อาจารย์หลี่ว์ค่อนข้างพึงพอใจ พลางครุ่นคิดภายในสามเดือนน่าจะมีลูกศิษย์มากกว่าครึ่งเข้าสู่สภาวะขั้นแรกได้สำเร็จ
ในเวลานี้หลิ่วสือซุ่ยเดินออกมาจากด้านในหอกระบี่
อาจารย์หลี่ว์มองดูเขา รู้สึกยิ่งพึงพอใจ ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อย ภายในใจครุ่นคิดมิเสียทีที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด มิทำให้ผิดหวังจริงด้วย
จากการพิเคราะห์ของเขา อย่างมากอีกไม่กี่วัน หลิ่วสือซุ่ยจักสามารถเข้าสู่สภาวะรักษาจิตได้สำเร็จ และหากคำนวณตามความเร็วนี้ อีกหนึ่งปีข้างหน้า เด็กคนนี้มีโอกาสที่จะฝึกไปจนสภาวะรักษาจิตอยู่ในขั้นบริบูรณ์
หากศาลาหนานซงมีลูกศิษย์อัจฉริยะที่สามารถเข้าเป็นศิษย์ในสำนักภายในหนึ่งปีได้ล่ะก็….
เมื่อคิดถึงศิษย์พี่เมิ่งที่ตอนนี้อยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อผู้นั้น ความปรารถนาภายในใจเขาก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ
หากมิเป็นเพราะโชคดีไปเจอกับเจ้าล่าเยวี่ยเข้า ไฉนเลยศิษย์พี่เมิ่งผู้นั้นจะมีโชคชะตาที่ดีเช่นนี้ได้
สายตาอาจารย์หลี่ว์เคลื่อนตามหลิ่วสือซุ่ยไป ครั้นเมื่อเห็นเขาเดินเข้าไปในบ้านพักหลังนั้น รอยยิ้มพลันหดหาย สองคิ้วขมวดขึ้นมา
บ้านพักหลังนั้นเป็นของจิ๋งจิ่ว
ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือว่าศิษย์นอกสำนักเหล่านั้น ต่างก็ไม่รู้ว่าในเวลาสิบกว่าวันนี้ จิ๋งจิ่วทำอะไรไปบ้าง
เมื่อเลยเวลาเที่ยงวัน ก็จะเห็นจิ๋งจิ่วนอนตากแดดอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่ง แล้วก็ไม่รู้ว่าเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นมาจากไหน
นับวันอาจารย์หลี่ว์ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองมองอะไรพลาดไป
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจจริงๆ นั้นมิใช่ความไม่ได้เรื่องของจิ๋งจิ่ว หากแต่เป็นเรื่องที่จนถึงวันนี้แล้ว หลิ่วสือซุ่ยยังคงมองตัวเองเป็นเด็กติดตาม หรือพูดอีกอย่างก็คือคนรับใช้ของจิ๋งจิ่วอยู่
ให้ความสำคัญสำนักแลอาจารย์เซียน ให้ความเคารพเพื่อนร่วมสำนัก หลิ่วสือซุ่ยมิได้ตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เขายังคงปฏิบัติตัวเหมือนเมื่อครั้งที่อยู่ในหมู่บ้าน ทุกวันคอยดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของจิ๋งจิ่ว
ทุกวันหลังฝึกฝนอย่างหนัก เขายังต้องไปที่บ้านพักหลังนั้นเพื่อทำงานต่างๆ
ทุกคราที่เห็นภาพนี้ มิว่าจะเป็นอาจารย์หลี่ว์หรือเหล่าลูกศิษย์ก็ล้วนแต่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าขบขันยิ่งนัก แล้วก็ย่อมต้องเกิดความรู้สึกไม่พอใจในตัวจิ๋งจิ่วอย่างมากด้วย
หากว่าตามกฎเกณฑ์ หรือพูดอีกอย่างก็คือธรรมเนียมปฏิบัติของสำนักชิงซานแล้ว ปกติน้อยครั้งมากที่จะมีการแทรกแซงการบำเพ็ญเพียรของศิษย์นอกสำนัก ทว่าความคิดที่อยู่ภายในใจของอาจารย์หลี่ว์อันนั้น นับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้น จนเขาใกล้จะสะกดเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
เขาไม่ต้องการให้บุรุษหนุ่มที่มีดีแต่รูปโฉมที่งดงามผู้นั้นมาถ่วงเวลาอัจฉริยะที่มีอนาคตสดใสที่สุดของสำนักชิงซาน
เขาคิดอยากจะหาโอกาสเหมาะๆ แยกนายบ่าวคู่นี้ออกจากกัน ถึงขนาดกำลังครุ่นคิดว่าควรจะหาเหตุผลไล่จิ๋งจิ่วออกไปจากสำนักหรือไม่?
……
……
กลางดึกเงียบสงัด หลิ่วสือซุ่ยกลับมายังที่พักของตน เขาผลักประตูด้านหน้าเข้ามา ก่อนจะเห็นอาจารย์หลี่ว์ยืนอยู่ตรงสวน
เขาเป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก เพียงปราดเดียวก็เดาได้ว่าอาจารย์เซียนมาด้วยเหตุใด สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด
อาจารย์หลี่ว์มองเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไป กล่าวว่า “คงมิต้องให้ข้าพูดอะไรแล้วกระมัง”
หลิ่วสือซุ่ยกัดริมฝีปาก มิกล่าวกระไร
อาจารย์หลี่ว์คิดไม่ถึงว่าเขาจะดื้อดึงปานนี้ จึ่งกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ผู้บำเพ็ญพรตไม่สนใจโชคชะตา สายตามองดูคนที่อยู่เบื้องล่าง แล้วจะไปเป็นคนใช้ให้ผู้อื่นได้อย่างไร?”
หลิ่วสือซุ่ยก้มหน้ากล่าวว่า “คุณชายมีบุญคุณต่อข้า ข้าต้องตอบแทนเขา”
อาจารย์หลี่ว์ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้ากับเขามีความสัมพันธ์กันอย่างไรในโลกปุถุชน ทว่าเมื่อมาอยู่ที่นี่ เรื่องราวในอดีตต้องตัดขาดให้สิ้น สิ่งที่สำนักชิงซานเราฝึกปรือคือวิถีกระบี่ สิ่งที่ต้องรักษาคือใจแห่งกระบี่ หรือกระทั่งความสามารถในการตัดสินใจแค่นี้ เจ้าก็ยังไม่มี?”
หลิ่วสือซุ่ยยังคงก้มหน้า กล่าวเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “หากอาจารย์เซียนจะไล่คุณชายไป เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอฝึกแล้วเช่นกัน”
อาจารย์หลี่ว์ได้ยินเช่นนี้พลันโกรธเล็กน้อย เนื่องเพราะการบำเพ็ญพรตคือความฝันของคนธรรมดามากมายบนโลก แต่เขากลับคิดจะละทิ้งมันเพียงเพราะคนอื่น?
แต่ทันใดนั้น ความโกรธภายในใจเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นความชื่นชมเล็กๆ หลิ่วสือซุ่ยตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนี้ มันก็ตรงกับวิถีแห่งกระบี่ของชิงซานมิใช่หรือ?
อาจารย์หลี่ว์มองไปในดวงตาของหลิ่วสือซุ่ย กล่าวว่า “ข้าจะเคารพความปรารถนาของเจ้า ไม่บีบบังคับไล่เขาออกไป แต่เจ้าต้องจำไว้ เจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญพรตอย่างแท้จริง อยู่เหนือกว่าคุณชายผู้นั้นของเจ้ามากนัก ไม่ว่าเจ้าจะสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้หรือไม่ การเปลี่ยนแปลงมันยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี สุดท้ายก็จะมีวันหนึ่งที่เขาตามฝีเท้าเจ้ามิทัน อยู่ห่างกับเจ้าคนละชั้นเมฆ ไม่มีทางได้พบกันอีก ข้าเพียงหวังว่าก่อนถึงเวลานั้น เจ้าจะไม่ถูกเขาถ่วงเอาไว้”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็เดินออกจากที่พักไป
หลิ่วสือซุ่ยเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าเลื่อนลอย
จากนั้นเขามองไปยังบ้านข้างๆ ที่ถูกความมืดปกคลุม สีหน้าดูลังเล
………………………………………………………………………
คอมเม้นต์