มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 13 เผยความสามารถครั้งแรก

อ่านนิยายจีนเรื่อง มรรคาสู่สวรรค์ ภาค1 ตอนที่ 13 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เหล่าลูกศิษย์พากันคำนับอาจารย์หลี่ว์ ก่อนจะรีบอธิบายว่าศิษย์น้องจิ๋งจิ่วผู้นี้กำลังช่วยตนเองคลายข้อสงสัย

อาจารย์หลี่ว์สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย สายตามองดูจิ๋งจิ่วที่ยังคงยกพู่กันเขียนหนังสืออยู่หลังโต๊ะ ภายในใจครุ่นคิดเจ้าหนุ่มนี่มีความสามารถอันใด ถึงได้กล้าพูดปดบอกตนจะไขปัญหาให้ ต้องการทำให้เหล่าศิษย์เข้าใจผิดเสียมากกว่า จากนั้นพลันคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิ๋งจิ่วแลหลิ่วสือซุ่ย จึ่งยิ่งรู้สึกตระหนกขึ้นมา กล่าวเสียงเบาว่า “เอามาให้ข้าดูหน่อย”

ในเวลานี้ จิ๋งจิ่วเขียนตัวหนังสือตัวสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย หลิ่วสือซุ่ยเห็นเขามิได้มีท่าทีคัดค้านอะไร สองมือจึงหยิบกระดาษนั้นส่งให้แก่อาจารย์หลี่ว์

อาจารย์หลี่ว์รับแผ่นกระดาษเหล่านั้นมา เตรียมตัวจะตำหนิสักชุดหนึ่ง กระทั่งได้เห็นคำพูดบนกระดาษเหล่านั้น ภายในลำคอกลับส่งเสียงอุทานประหลาดใจออกมาเบาๆ

เหล่าลูกศิษย์ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น จึงได้แต่ยืนรออยู่ด้านข้างอย่างกระวนกระวาย

อาจารย์หลี่ว์หรี่ตาลงเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไรอีก หากแต่เริ่มพลิกอ่านกระดาษเหล่านั้นอย่างตั้งใจ

ภายในหอกระบี่ยิ่งเงียบขึ้นกว่าเดิม

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

ยิ่งอ่านไปเรื่อยๆ อาจารย์หลี่ว์ก็ยิ่งตกใจ

เคล็ดการบำเพ็ญขั้นแรกของสำนักชิงซานมิยาก เทียบกับสำนักอื่นแล้วถือว่าง่ายกว่า หากได้เคยสัมผัสความรู้เกี่ยวกับการบำเพ็ญมาก่อนที่จะเข้าสำนัก ก็น่าจะผ่านมันไปได้อย่างมิยากเย็นอะไร

หลิ่วสือซุ่ยและลุูกศิษย์นอกสำนักส่วนใหญ่มิเคยสัมผัสกับการบำเพ็ญเพียรมาก่อน พวกเขาย่อมต้องเจอกับปัญหาที่ยากเข้าใจหลายอย่าง

ต่อให้จิ๋งจิ่วเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่โตในเมืองเจาเกอและมีความรู้ในด้านนี้ ทว่าสายตาและความสามารถที่คำพูดบนกระดาษเหล่านั้นได้แสดงออกมามันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ

พรสวรรค์แลสติปัญญาของเขาสูงส่งถึงเพียงนี้เลยหรือนี่?

อาจารย์หลี่ว์มองดูจิ๋งจิ่ว สายตาอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม

ครั้นพออ่านไปถึงหมายเหตุบนกระดาษแผ่นสุดท้าย เขาก็อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ในใจคิดอยากจะสั่งสอนจิ๋งจิ่วสักประโยคสองประโยค แต่เนื่องด้วยรู้สึกชื่นชม จึงสะกดอารมณ์นั้นเอาไว้

เขาส่งกระดาษคืนให้หลิ่วสือซุ่ย กวาดตามองดูเหล่าศิษย์พลางกล่าวเสียงเบาว่า “พวกเจ้ารู้ไหมเหตุใดพวกเราสำนักชิงซานจึงให้แค่เคล็ดการฝึกแก่ศิษย์นอกสำนัก แต่มิได้อธิบาย? เพราะสำนักอยากจะดูสติปัญญาแลนิสัยของพวกเจ้าแต่ละคน จะได้ใช้วิธีการสอนที่เหมาะสมได้ วันนี้พวกเจ้าไม่รู้จึ่งไปขอคำชี้แนะจากเพื่อนร่วมสำนัก ดังนั้นข้าจะไม่ลงโทษ แต่คราวหน้าห้ามมิให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”

เหล่าลูกศิษย์รับคำและกล่าวว่าคราวหน้ามิกล้าทำเช่นนี้อีก ทว่าในใจกลับครุ่นคิดเหมือนคำตอบเหล่านั้นของจิ๋งจิ่วจะถูกต้องทั้งหมด

แต่ภายในบรรยากาศแบบนี้ เสียงของจิ๋งจิ่วพลันดังขึ้นมา

“วิธีนี้มันช่างโง่เขลายิ่งนัก สมควรจะเปลี่ยนได้แล้ว”

ภายในหอกระบี่เงียบเสียงทันที เหล่าศิษย์ตกตะลึง ภายในใจครุ่นคิดศิษย์น้องจิ๋งจิ่วมิเพียงแต่จะรอบรู้ ที่แท้ยังกล้าอย่างมากด้วย

เขากล้าแสดงความคลางแคลงสงสัยในกฎสำนักต่อหน้าอาจารย์เซียน!

อาจารย์หลี่ว์ตะลึงลาน จากนั้นจึงโมโหจนหัวเราะออกมา ในใจนึกคิดเจ้าหนุ่มนี่ก็ช่างไร้เดียงสาจนน่ารัก กล้าบอกว่ากฎของชิงซานไม่ถูกต้อง สมควรเปลี่ยนเสีย…เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเจ้าสำนักงั้นหรือ?

เวลานี้จิ๋งจิ่วมีอารมณ์ที่จะพูดคุยอย่างที่ยากจะได้เห็นในเวลาปกติ เขามิได้สนใจสีหน้าของอาจารย์หลี่ว์และเพื่อนรวมสำนัก หากแต่กล่าวต่อว่า “อย่างเช่นยอดเขาชิงหรง….”

หลิ่วสือซุ่ยมองดูสีหน้าอาจารย์หลี่ว์ จึงรีบดึงแขนเสื้อเขา

เรื่องที่เหล่าลูกศิษย์กังวลมากที่สุดมิได้เกิดขึ้น

คำพูดหลังจากนั้นของจิ๋งจิ่วถูกเสียงที่จู่ๆ ก็ดังสนั่นขึ้นมาเสียงหนึ่งขัดจังหวะเอาไว้

เสียงดังสนั่นนั้นมาจากด้านนอกหอกระบี่ น่าจะมาจากที่ไกลๆ เพราะเสียงดังสะท้อนไปมาระหว่างหมู่ยอดเขา เป็นเวลานานก็ยังมิเงียบหายไป

เหล่าลูกศิษย์วิ่งออกไปด้านนอกหอกระบี่ สายตามองขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะพบว่ามีเพียงก้อนเมฆบางๆ ลอยอยู่เล็กน้อย มิได้มีร่องรอยของสายฟ้าเลย

อีกทั้งต่อให้มีฝนตกฟ้าร้องจริงๆ มันก็ไม่สามารถทำลายการคุ้มกันของข่ายพลังชิงซานได้ เสียงที่ดังสนั่นราวฟ้าคำรามนั้นคือสิ่งใดกันแน่?

สุดท้ายอาจารย์หลี่ว์และจิ๋งจิ่วจึงเดินออกมาจากหอกระบี่ ทั้งสองคนย่อมต้องรู้ว่าเสียงนั้นคืออะไร

“ตรงนั้น!”

มีลูกศิษย์ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

ชั้นเมฆบางๆ กลายเป็นรูโหว่จนมองเห็นได้อย่างชัดเจน หากมองขึ้นไปจากบนพื้น จะสามารถมองเห็นท้องฟ้าสีน้ำเงิน คล้ายกับแผ่นกระเบื้องลายคราม

ลำแสงกระบี่สายหนึ่งบินกลับมาจากรูโหว่บนก้อนเมฆ ก่อนจะบินฉวัดเฉวียนไปมาบนท้องฟ้า

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ แล้วครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เล่าลือกันมาเหล่านั้น เหล่าลูกศิษย์ถึงเข้าใจว่ามีคนกำลังขี่กระบี่บินอยู่

เสียงที่ดังสนั่นเมื่อครู่ น่าจะเป็นเสียงระเบิดที่เกิดขึ้นจากการแหวกอากาศในตอนที่ขี่กระบี่บิน

เพียงแต่มิรู้ว่าผู้ที่ขี่กระบี่บินเป็นศิษย์พี่คนไหนในสำนัก

“ขี่กระบี่ครั้งแรกก็สามารถทะลวงเมฆและขับเคลื่อนสายฟ้าได้ มิเสียทีที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด!”

อาจารย์หลี่ว์มองลำแสงกระบี่ที่บินอยู่บนฟ้าพลางกล่าวอุทานชื่นชม

ครั้นได้ยินคำพูดนี้ เหล่าลูกศิษย์ถึงได้รู้ว่าผู้ที่ขี่กระบี่บินอยู่คือใคร พวกเขายิ่งตื่นเต้น พูดคุยกันไม่หยุด

บนใบหน้าของศิษย์หญิงผู้นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชม ภายใต้อารมณ์ความรู้สึกที่ตื่นเต้น เธอตะโกนเสียงดังขึ้นมา

บริเวณรอบๆ หอกระบี่ไปจนถึงระหว่างหมู่ยอดเขาล้วนแต่มีเสียงตะโกนโห่ร้องดังขึ้น

เมื่อเห็นลำแสงกระบี่ที่เดี๋ยวลอยขึ้นเดี๋ยวลอยลงอยู่บนท้องฟ้า วิถีการเคลื่อนที่ไม่นิ่ง ส่ายไปส่ายมาไม่หยุด จิ๋งจิ่วจึงส่ายศีรษะ

เห็นได้ชัดว่าคนที่ขี่กระบี่บินผู้นั้นไม่มีประสบการณ์ ทว่ากลับเน้นที่ความเร็ว สำหรับเขาแล้วมันยังแย่อยู่มาก

ไม่นานลำแสงกระบี่นั้นพลันเคลื่อนที่นิ่งขึ้น ดูคล้ายเส้นสีขาวที่อยู่บนท้องฟ้าสีคราม ตรงดิ่งไม่เบนออกไปไหน

นี่ค่อนข้างเหนือไปจากที่จิ๋งจิ่วคาดคิดเอาไว้ เขากล่าวว่า “ไม่เลวนี่”

ลำแสงกระบี่นั้นบินกลับไประหว่างหมู่ยอดเขา ก่อนจะหายลับไปจนมองไม่เห็น มีเสียงโห่ร้องดังลอยขึ้นมา มิรู้ลอยมาจากไหน

บรรยากาศตื่นตระหนกด้านหน้าหอกระบี่หายไปจนหมด ใบหน้าของเหล่าลูกศิษย์เผยให้เห็นถึงความยินดี

จิ๋งจิ่วมิเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ภายในใจครุ่นคิดก็แค่ขี่กระบี่บินสำเร็จเท่านั้นมิใช่หรือ เหตุใดทั้งในและนอกสำนักชิงซานถึงได้มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นมา?

หลิ่วสือได้ยินเขาถาม จึงกล่าวขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ “ก็นี่คือศิษย์พี่ใหญ่”

จิ๋งจิ่วถาม “ใคร?”

หลิ่วสือซุ่ยเบิ่งตาโตกล่าวว่า “ศิษย์พี่เจ้าอย่างไรเล่า”

จิ๋งจิ่วครุ่นคิด จึงถามต่อ “แล้วคือใคร?”

เวลานี้หลิ่วสือซุ่ยจึงนึกขึ้นได้ว่าคุณชายเพิ่งออกจากที่พักครั้งแรกเมื่อวานนี้ มิคุ้นเคยกับเรื่องราวต่างๆ ภายในสำนัก ดังนั้นจึงรีบอธิบายให้ฟัง

จิ๋งจิ่วครุ่นคิด วันที่ผ่านเข้าประตูสำนักมาวันแรกนั้น ก็มีลูกศิษย์เคยกล่าวถึงเด็กหญิงอัจฉริยะแซ่เจ้าผู้หนึ่ง คล้ายจะมีนามว่าล่าเยวี่ย

เจ้าล่าเยวี่ยผู้นี้เข้าสำนักชิงซานตอนอายุสิบสองปี ใช้เวลาเพียงหนึ่งปีก็สามารถบำเพ็ญจนบรรลุขั้นรักษาจิตได้จนบริบูรณ์ กลายเป็นศิษย์ในสำนัก

ว่ากันว่านางเข้าเป็นศิษย์ในสำนักได้ไม่ถึงสามเดือน ก็ได้รับการยอมรับจากกระบี่โบราณเล่มหนึ่งบนยอดเขาอวิ๋นสิง

หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ยอดเขาอวิ๋นสิงคือยอดเขาที่สี่ ตลอดทั้งปีถูกปกคลุมอยู่ในหมู่เมฆ บนยอดเขามีกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนแอบซ่อนอยู่ตามก้อนหินและหน้าผา ดังนั้นจึงมีอีกนามหนึ่งว่ายอดเขากระบี่”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้ารู้ ว่าเรื่องนางต่อ”

หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ตอนนี้ศิษย์พี่เจ้าอายุเพียงสิบสี่ปี แต่สามารถขี่กระบี่บินได้แล้ว เช่นนั้นจะต้องบรรลุขั้นปัญญาเห็นแจ้งจนบริบูรณ์ หรืออาจจะเข้าไปถึงขั้นตั้งมั่นแล้ว”

จิ๋งจิ่วเหลือบมองดูเขา กล่าวว่า “จากนั้นล่ะ”

หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิดคุณชายไม่ใช่คนที่เหมาะจะรับฟังเรื่องราวเลยจริงๆ ได้ฟังเรื่องราวที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ไม่คิดว่าควรจะแสดงสีหน้าตะลึงลานหน่อยหรือ?

มีลูกศิษย์กล่าวว่า “หลายปีมานี่ โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมีอัจฉริยะอายุน้อยปรากฏตัวขึ้นมามากมาย อย่างลั่วไหวหนาน ถงเหยียน ไป๋เจ่า คนเหล่านี้ล้วนแต่มีชื่อโด่งดัง อายุยังน้อยก็สามารถเข้าสู่สภาวะขั้นที่สี่ได้แล้ว…อีกทั้งสำนักชิงซานของเรานับตั้งแต่ที่ปรมาจารย์อาบรรลุกลายเป็นเซียน ก็ขลาดแคลนสุดยอดอัจฉริยะเช่นนี้ไป แม้นเหล่าศิษย์พี่บนยอดเขาเหลี่ยงว่างจะแข็งแกร่ง แต่ก็คล้ายจะขาดอะไรบางอย่างไป…”

มีลูกศิษย์อีกคนแค่นหัวเราะออกมา กล่าวว่า “นั่นเพราะคนภายนอกมีตาหามีแววไม่ มิรู้ว่าเหล่าศิษย์พี่บนยอดเขาเหลี่ยงว่างแสวงหาธรรมวิถีด้วยการต่อสู้ มิได้สนใจชื่อเสียงของสิ่งที่เรียกว่าสภาวะอะไรเทือกนั้นเลย”

ลูกศิษย์คนนั้นกล่าวว่า “พวกเราย่อมต้องรู้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่ลูกศิษย์สำนักอื่นไม่ยอมรับ”

“เจ้าอย่าลืมสิ ศิษย์พี่จัวกำลังเก็บตัวอยู่บนยอดเขาเทียนกวง เมื่อไรที่เขาออกมา จะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดินแน่”

“สุดท้ายแล้วศิษย์พี่จัวก็ตัวคนเดียว ต้นไม้โดดเดี่ยวยากจะกลายเป็นป่าได้ ศิษย์พี่เจ้าได้ทำลายทุกบันทึกการบำเพ็ญเพียรทั้งหมดที่มีในรอบหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาของชิงซานลง ภายในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนในอีกสองปีหลังจากนี้ นางจะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่บนวิถีกระบี่ที่แท้จริงแน่ สามารถอยู่ในระดับเดียวกับอัจฉริยะหนุ่มสาวในโลกภายนอกเหล่านั้น ไม่แน่อาจเทียบเท่ากับฉานจึแห่งวัดกั่วเฉิงรูปนั้นก็เป็นได้”

ลูกศิษย์กล่าวอีกว่า “ได้ยินว่าเวลานี้ทุกยอดเขาต่างกำลังแย่งชิงศิษย์พี่เจ้ากันแล้ว ใช่หรือไม่อาจารย์หลี่ว์?”

อาจารย์หลี่ว์ยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องดูว่าตัวนางอยากเลือกเคล็ดกระบี่ของยอดเขาไหน”

ตอนที่ศิษย์คนนั้นกล่าวถึงฉานจึแห่งวัดกั่วเฉิงผู้นั้น ภายในใจจิ๋งจิ่วครุ่นคิดว่าในที่สุดก็ได้ยินชื่อที่รู้จักเสียที

ศิษย์หญิงนามเจ้าล่าเยวี่ยผู้นั้นถูกสำนักชิงซานฝากความหวังไว้ว่าจะสามารถเปรียบกับนักบวชน้อยผู้นั้นได้หรือนี่ ดูเหมือนจะไม่เลวจริงๆ

……………………………………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด