กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์ – ตอนที่ 5 วิถีดวงใจกระบี่ขั้นที่หนึ่ง

อ่านนิยายจีนเรื่อง กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์ ตอนที่ 5 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 5 วิถีดวงใจกระบี่ขั้นที่หนึ่ง

แปล Tarhai

 

 

จี้เทียนซิงเดินไปที่มุมกำแพง เขาพลิกตู้หนังสือจนเผยทางลับที่ซ่อนอยู่ เขาเดินเข้าไปในช่องทางนั้นและเดินไปสุดทางจนไปถึงห้องลับ

 

ห้องลับนี้สร้างขึ้นอย่างระมัดระวังยิ่งโดยตระกูลจี้และพัฒนาเป็นพิเศษสำหรับเขา

 

ห้องลับมีรัศมีสิบฟุตและหลังคานั้นฝังไว้ด้วยไข่มุกราตรีไม่น้อยที่เปล่งแสงสลัวๆออกมา มันมีพื้นที่มืดมิดมากมายในกำแพงรอบๆที่เต็มไปด้วยศัตราวุธหลากหลาย, เคล็ดวิชาและเม็ดโอสถ

 

พื้นระหว่างห้องลับมีรูปแบบและลวดลายต่างๆมากมาย นี่คือข่ายปราณซึ่งสามารถควบแน่นพลังงานของโลกผ่านพลังของข่ายปราณเพื่อช่วยผู้ฝึกยุทธ์ในการบ่มเพาะพลัง

 

จี้เทียนซิงเดินไปที่ข่ายปราณและนั่งลง เขาสงบลงอย่างรวดเร็ว

 

เขาตั้งสมาธิไปที่ขั้นแรกของการบ่มเพาะวิถีดวงใจกระบี่และเริ่มทำการทดสอบเป็นครั้งแรก

 

ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรับแต่งกายาขั้นที่สามจะไม่สามารถบ่มเพาะพลังภายในได้และไม่สามารถใช้ประโยชน์จากพลังงานของสวรรค์  ทำได้เพียงออกหมัด ร่ายรำกระบี่และอบอุ่นร่างกายด้วยวิชาต่างๆเท่านั้น

แต่แตกต่างไปจากจี้เทียนซิง ระดับพลังของเขาเพียงตกจากเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงและยังคงมีประสบการณ์ในการฝึกฝนในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงอยู่

 

ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้กักเก็บพลังงานจากสวรรค์เช่นเดียวกับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปที่กักเก็บพลังงานไว้ในตันเถียน

 

เขาไม่มีตันเถียนและเขาจะไม่กักเก็บพลังงานใดๆ แต่เขาจะควบแน่นมันเป็นปราณกระบี่ !

 

หลังจากครึ่งชั่วโมง เขาก็เข้าสู่สถานะบ่มเพาะพลัง รูขุมขนของเขาเปิดออกและพยายามดูดซับพลังงานจากสวรรค์และปฐพี

 

พลังงานที่สำคัญเหล่านี้ถูกรวบรวมจากข่ายปราณในห้องลับ มันอุดมสมบูรณ์และบริสุทธิ์มาก

 

การบ่มเพาะวิถีดวงใจกระบี่ขั้นแรกนั้นจำเป็นที่จะต้องควบคุมลมปราณและพลังงานสวรรค์เพื่อควบแน่นปราณกระบี่ไว้ในจุดฝังเข็มทั้งสิบสองจุดภายในร่างกาย

 

เมื่อปราณกระบี่ทั้งสิบสองเส้นทางควบแน่นสำเร็จ ปราณกระบี่จะแข็งแกร่งมากขึ้นและถูกรวบรวมไปไว้ที่ตันเถียนเพื่อทำให้ปราณกระบี่เหล่านั้นควบแน่นเป็นตัวอ่อนกระบี่อีกที

 

ทันทีที่ตัวอ่อนกระบี่ควบแน่นสำเร็จก็นับได้ว่าวิถีดวงใจกระบี่ขั้นแรกก็บรรลุอย่างสมบูรณ์

 

จี้เทียนซิงฝึกฝึกวิถีดวงใจกระบี่เป็นครั้งแรก เขาไม่กล้ารีบร้อนและค่อยๆเป็นค่อยไป  เขารวบรวมลมปราณและพลังงานจากสวรรค์ไปไว้ในจุดฝังเข็มที่แขนขวาเพื่อพยายามที่จะควบแน่นปราณกระบี่

 

กระบวนการนี้ยากมากและพลังงานก็ยังต้องรั้งไว้อยู่ที่จุดฝังเข็มหุ้ยจงเป็นเวลานานทำให้แขนของเขาชาด้านจนมิอาจทนทานได้

 

เขายืนหยัดอยู่ร่วมชั่วโมงครึ่งจนหัวแทบแตกเป็นเสี่ยงๆและเหงื่อเย็นไหลออกมา  ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน

 

สองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาทดลองอยู่ห้าครั้งและจบลงด้วยความล้มเหลว เขาควบแน่นปราณกระบี่ไม่สำเร็จ

 

เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยแต่จิตใจของเขาก็ยังคงเปล่งประกายด้วยความคิดที่ไม่ยอมแพ้ เขาเอาแต่คิดถึงความอับอายที่หลิงหยุนเฟยยัดเยียดให้และความเกลียดชังเข้ากระดูกดำ ขบเขากรามแน่นอย่างไม่ย้อท้อ

 

เวลาผ่านไปสามชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว

 

เมื่อจี้เทียนซิงพยายามควบแน่นปราณกระบี่เป็นครั้งที่เก้า ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ !

 

พลังลมปราณของเขาผสานเข้ากับพลังงานจากสวรรค์ก่อตัวเป็นปราณกระบี่สีทองที่มีขนาดเท่าไม้จิ้มฟันที่เก็บไว้ที่ขุดฝังเข็มฮุ้ยจงที่แขน

 

แม้ว่าปราณกระบี่สีทองจะได้รับการกระตุ้นไว้ที่จุดฝังเข็มฮุ้ยจงเพียงเล็กน้อยเท่าไม้จิ้มฟัน แต่มันก็ทำให้เขาตื่นเต้นมาก หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

 

“เยี่ยม ! ข้าสามารถฝึกฝนวิถีดวงใจกระบี่ได้ !”

“ข้าไม่มีตันเถียน แต่วิถีดวงใจกระบี่ก็ถือเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง ข้ายังคงสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญแห่งศาสตร์กระบี่ได้ !”

 

จี้เทียนซิงไม่หยุดพักและยังคงฝึกฝนวิถีดวงใจกระบี่เพื่อควบแน่นปราณกระบี่ไปที่จุดฝังเข็บหยางชื่อเป็นจุดต่อไป

 

คราวนี้เขามีประสบการณ์มาบ้างแล้ว และอัตราความสำเร็จในการควบแน่นปราณกระบี่ก็ดีขึ้นมาก

เขาใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงครึ่งหลังจากพยายามอยู่เจ็ดครั้งจนควบแน่นปราณกระบี่ไว้ที่จุดหยางชื่อได้

 

“ในที่สุดข้าก็มีปราณกระบี่สองเล่มแล้ว ! ตราบใดที่ข้าสามารถควบแน่นปราณกระบี่ได้ครบสิบสองเส้นทาง ข้าจะสามารถควบแน่นตัวอ่อนกระบี่ได้อย่างรวดเร็วและความแข็งแกร่งย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมาก !”

 

จี้เทียนซิงเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขและหยุดการฝึกฝนในขณะนั้น

 

เมื่อเขาออกจากห้องลับและกลับไปที่ห้องตนเองก็พบว่าเป็นเวลาเช้าของอีกวันแล้ว

 

ฮวนเอ๋อตื่นแต่เช้า นางนำอ่างน้ำและผ้าเช็ดตัวมาให้บริการแก่จี้เทียนซิง

หลังจากเขาชำระล้างร่างกายแล้ว ฮวนเอ๋อก็นำอาหารเช้ามาให้ด้วย

 

ฮวนเอ๋อนำอาหารมาให้เขา แต่เขาก็ไม่มีทีท่าจะสนใจดูราวกับสติล่องลอย แท้จริงแล้วเขากำลังขบคิดเกี่ยวกับจารึกเหล่านั้นอยู่ในใจ

 

จี้เทียนซิงเห็นสีหน้าของฮวนเอ๋อดูแปลกไปจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“ฮวนเอ๋อ เจ้ามีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าหรือเปล่า ?”

 

ฮวนเอ๋อลังเลอยู่ครู่และกระซิบกับอีกฝ่ายว่า “คุณชายใหญ่ ท่าน…ตกลงถอนหมั้นกับสกุลหลิงเมื่อวานนี้  เรื่องนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองจักรวรรดิแล้ว”

“นายท่านดูไม่สบายใจกับเรื่องนี้ เมื่อเช้านี้ท่านก็ไม่ยอมทานมื้อเช้า…”

 

จี้เทียนซิงวางถอดอาหารลงบนโต๊ะและใบหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความเสียใจ

“ผลกระทบของเรื่องนี้ใหญ่โตเกินไป เป็นเรื่องปกติที่ท่านพ่อจะรับไม่ได้ คงต้องให้เวลาท่านสักพัก”

 

“นายท่านรู้สึกไม่สบายและสั่งให้หมอมาตรวจดูอาการ” ฮวนเอ๋อกล่าว

“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ไปพบท่านพ่อตอนนี้และจะไม่ทำให้ท่านโกรธอีก”

 

“อ่อ ฮวนเอ๋อ ช่วงหลายวันนี้ข้าอยากจะพักผ่อน เจ้าอย่าให้ใครมารบกวนข้า ส่วนขี้ปากชาวบ้าน พวกมันอยากจะพูดอะไรก็พูดไป เจ้าไม่ต้องสนใจ”

 

ฮวนเอ๋อพยักหน้าอย่างไร้เดียงสาและกล่าวต่อไปว่า “คุณชายใหญ่ ข้าได้ยินผู้คนพูดกับเมื่อเช้านี้ว่าปรมาจารย์เสวี่ยจากหอวิญญาณโอสถได้ออกมาแล้ว”

 

“ปรมาจารย์เสวี่ยออกมาแล้ว ?” จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้นและมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา

 

หอวิญญาณโอสถเป็นหนึ่งในร้านขายโอสถที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองจักรวรรดิ และปรมาจารย์เสวี่ยยังเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในรัฐนภากระจ่างอีกด้วย

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นตระกูลหลิงที่สามารถปรุงโอสถได้ล้ำเลิศก็ยังต้องถอยให้แก่ปรมาจารย์เสวี่ยสามก้าว

 

ท้ายที่สุดแล้วทักษะทางการแพทย์และการหลอมโอสถของปรมาจารย์เสวี่ยนั้นสามารถติดหนึ่งในสามสุดยอดของรัฐนภากระจ่างได้ โดยมีชื่อเสียงเคียงคู่กับสกุลหลิงและแพทย์ของราชวงศ์

 

สกุลจี้มีความร่วมมือและสัมพันธ์อันดีกับปรมาจารย์เสวี่ย พวกเขาซื้อเม็ดยาวิญญาณและโอสถมหัศจรรย์จากหอวิญญาณโอสถมากมายเพื่อบ่มเพาะหรือรักษาคนในตระกูลจี้

 

ฮวนเอ๋อมองไปที่จี้เทียนซิงด้วยสีหน้ามืดมนและกล่าวว่า “ปรมาจารย์เสวี่ยออกมาได้สามเดือนแล้ว และว่ากันว่าท่านได้ปรุงโอสถลมปราณออกมามากมาย มีหลายคนกำลังไปพบท่านวันนี้”

 

“คุณชายใหญ่ ท่านก็ควรไปพบปรมาจารย์เสวี่ย ! ด้วยทักษะทางการแพทย์ของปรมาจารย์เสวี่ย ท่านอาจจะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บและช่วยฟื้นฟูให้คุณชายใหญ่ได้”

“ช่วงนี้ พวกคนเลวในเมืองจักรวรรดิต่างก็เยาะเย้ยท่าน ข้าอยากจะอุดปากเหม็นๆของพวกมันนัก !”

 

มุมปากของจี้เทียนซิงเผยรอยยิ้มที่ขมขื่น เขาคิดกับตัวเองว่า “เด็กโง่เอ๋ย สายเลือดลมปราณกระบี่และตันเถียนของข้าสูญเสียไป  เป็นไปไม่ได้ที่ปรมาจารย์เสวี่ยจะรักษาฟื้นฟูได้… ”

 

ฮวนเอ๋อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปจึงพูดอย่างกระวนกระวายว่า “คุณชายใหญ่ ท่านไม่ต้องการฟื้นฟูพลังของท่านหรือ ? ตระกูลหลิงเอาแต่ดูถูกเหยียดหยามท่าน ข้าอยากจะสู้ตายกับพวกมันนัก !”

“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านต้องนึกถึงนายท่าน หากสามารถฟื้นฟูพลังของท่านได้ ไม่รู้ว่านายท่านจะมีความสุขมากแค่ไหน”

 

ฮวนเอ๋อเกลี้ยกล่อมเขาอยู่หลายครั้งจนจี้เทียนซิงอดไม่ได้และพยักหน้าตอบรับไป

“เอาล่ะฮวนเอ๋อ เจ้าไปที่หอวิญญาณโอสถกับข้าก็แล้วกัน”

 

“ค่ะ คุณชาย !” ฮวนเอ๋อยิ้มอย่างมีความสุขและพยักหน้า

 

จี้เทียนซิงมองออกไปที่ล้านกว้างด้านนอกประตูและมีแสงสลัวๆเผยขึ้นในดวงตาของเขา เขาคิดในใจว่า

 

“ถึงแม้ว่าการทดสอบเข้าร่วมนิกายหนุนสวรรค์จะผ่านไปแล้ว แต่ผู้ที่ทดสอบผ่านก็จะต้องเข้าร่วมคัดตัวอีกครั้งในเดือนหน้า  มีเพียงเฉพาะสิบอันดับแรกและผู้มีความสามารถที่แท้จริงเท่านั้นที่จะได้เป็นศิษย์ของนิกายหนุนสวรรค์  ข้ายังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งเดือน หากข้าสามารถกลับไปสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงได้ภายในหนึ่งเดือน ข้าจะสามารถล้างความอัปยศและแก้แค้นได้ !”

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด