มิติล่าสัตว์ฉบับกระเป๋า – บทที่ 2 มันไม่ใช่กระต่าย!
ลู่เจ๋อมองไปที่กระต่ายขาวที่กำลังกินหญ้าอย่างสงบ และเริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีปรุงอาหารอยู่ในหัว เขาควรจะนึ่งหรือย่างดี
หลังจากการตัดสินใจที่ยากลำบาก ลู่เจ๋อก็เลือกที่จะย่างมัน แต่แล้วเขาก็พบว่า เขาไม่มีเครื่องปรุงและมันก็ยากที่จะจุดไฟ รอบ ๆ ตัวเขาสิ่งที่เขาเห็นคือทุ่งหญ้ากว้างไร้ที่สิ้นสุด แม้ว่าเขาจะจุดไฟด้วยฝืนได้ เขาก็ต้องมีไม้ก่อน
ในขณะนั้นกระต่ายขาวตัวใหญ่ก็ดูเหมือนจะรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง หูยาวของมันตั้งขึ้นด้วยความระมัดระวัง จากนั้นก็เงยหัวขึ้น
กระต่ายมีดวงตาสีแดงเลือด แม้ว่ามันจะเงยหน้าขึ้นมองมันก็ยังเคี้ยวหญ้าอยู่ในปาก
มนุษย์และกระต่ายจ้องตากันเป็นเวลานาน ดูเหมือนพวกเขาจะสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันบางอย่างจากดวงตาของอีกฝ่าย และยืนยันได้ว่าพวกเขาทั้งคู่รักอาหารรสเลิศ แต่ลู่เจ๋อคิดว่าความปรารถนาของกระต่ายมุ่งไปที่หญ้าไม่ใช่เขา
จนกระทั่งเมื่อเขาเห็นปากเล็ก ๆ นั้นอ้าออก เผยให้เห็นฟันขาวที่สะท้อนแสงเย็น ๆ เรียงเป็นแถว ลู่เจ๋อก็รู้แล้วว่าเขาคิดผิด
มันไม่ใช่กระต่ายแน่นอน!
กระต่ายตัวน้อยสีขาวน่ารักมาก ฟันมันจะแหลมคมขนาดนี้ได้ยังไง?!
เมื่อลู่เจ๋อรู้สึกได้ถึงเจตนาชั่วร้ายจากกระต่ายขาว เขาก็ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
เขามาจากโลกแม่ที่รักสงบ แม้ว่าเขาจะชอบกิน แต่เขาก็ไม่เคยฆ่าไก่ด้วยซ้ำ เมื่อเขารู้สึกได้ถึงออร่าชั่วร้ายจากกระต่ายขาว เขาก็เริ่มไม่แน่ใจ
สำหรับเจ้าของร่างเดิม ลู่เจ๋อรู้จากความทรงจำเดิมว่าเขามีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธไม่ดีนัก วิชากำปั้นพื้นฐาน เทคนิคท่าเท้า และวิชาดาบ ล้วนพึ่งเริ่มต้น นอกจากนี้เขายังไม่มีประสบการณ์ต่อสู้จริง
ลู่เจ๋อกำหมัดแน่นและจ้องไปที่กระต่ายตัวใหญ่อย่างดุร้าย ‘ถ้าคุณเจอเสือ คุณต้องไม่แสดงความกลัวออกมา ถ้าคุณจ้องตามันอย่างดุร้าย อย่างน้อยคุณก็ตายอย่างมีเกียรติ‘
ลู่เจ๋อไม่เคยเจอเสือมาก่อน แต่กระต่ายตัวใหญ่นี้ก็มีขนาดเกือบเท่าหมาป่าบนโลก…มันควรจะถือว่าเป็นสัตว์ร้ายได้ใช่ไหม?
ชายหนุ่มและกระต่ายจ้องมองกัน ออร่าปราณของกระต่ายเข้มข้นขึ้น แต่ก็ระวังตัวมากและยังไม่โจมตีทันที ในขณะเดียวกันเหงื่อก็ผุดขึ้นที่หน้าผากของลู่เจ๋อ เขาเรียนรู้เทคนิคท่าเท้าขั้นพื้นฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความคิดของเขา การวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ดูเหมือนเป็นหนทางที่ถูกต้อง
ลู่เจ๋อรู้สึกกดดันอย่างมากจากการถูกจ้องด้วยดวงตาสีแดงเลือดของกระต่าย เม็ดเหงื่อจำนวนมากผุดขึ้นที่หน้าผาก ปากของเขารู้สึกแห้งและอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
ขณะนั้น ขาหลังอันทรงพลังของกระต่ายก็ดีดไปที่พื้นทำให้มีเสียงฟุ่บเบา ๆ เศษหญ้าและดินปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่กระต่ายยักษ์กลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งเข้าใส่ลู่เจ๋ออย่างรวดเร็ว
ช่องว่างระหว่างพวกเขาปิดลงหลายสิบเมตรในเวลาเพียงไม่กี่วินาที กระต่ายยักษ์เข้าใกล้ลู่เจ๋อ อุ้งเท้าที่อ่อนนุ่มและน่ารักแต่เดิมของมันกลายเป็นเคียวยมฑูต เฉือนเข้าที่หน้าอกของลู่เจ๋อด้วยประกายแสงเย็นเฉียบ
ลู่เจ๋อกัดริมฝีปากและบังคับตัวเองให้มีสติภายใต้การครอบงำของกระต่าย เขาย่ำเท้าขวาลงบนพื้นโดยไม่รู้ตัว บิดเอวและเอนตัวไปทางซ้าย
แขวก!
มีรอยกรีดบาง ๆ และกรงเล็บสะท้อนแสงก็ได้ตัดผ่านชุดนอนของลู่เจ๋อเหมือนตัดกระดาษ ทิ้งรอยแผลตื้น ๆ ไว้ที่หน้าอกของเขา เลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลและค่อย ๆ ไหลลงตามแรงโน้มถ่วง
ก่อนที่ลู่เจ๋อจะทันได้พ่นลมหายใจโล่งอก กระต่ายยักษ์ก็ร่อนลงพื้นและบิดตัวพุ่งเข้ามาอีกครั้งดั่งลำแสงสีขาว
“เชี่ย!”
ความเจ็บปวดและความอัปยศอดสูทำให้ดวงตาของลู่เจ๋อเย็นชา เขาจะโดนกระต่ายรังแกได้ยังไง!
มันแค่ตัวใหญ่กว่ากระต่ายทั่วไปเล็กน้อย มีฟันสวย ๆ และกรงเล็บที่แหลมคม!
คำเดียว…สู้!
เจ้าของร่างเดิมไม่ใช่อัจฉริยะ แต่อย่างน้อยเขาก็ฝึกวิทยายุทธ
วิทยายุทธขั้นแรกแบ่งออกเป็น 9 ระดับในขั้นปรับแต่งร่างกาย นอกจาการฝึกปราณแล้วยังเสริมด้วยการกินเนื้อสัตว์วิเศษเพื่อปรับแต่งพลังงานและกระจายมันไปทั่วร่างกาย หรือที่เรียกว่าการปรับแต่งผิวหนัง เส้นเอ็น กระดูก ไขกระดูก อวัยวะภายใน เส้นลมปราณ 12 เส้น เส้นลมปราณพิเศษ 8 เส้น รวมทั้งเส้นเริ่นและตู ทั้งหมดนี้เป็นการเตรียมความพร้อมร่างกายเพื่อดึงพลังจิตวิญญาณมาบำเพ็ญในอนาคต
ลู่เจ๋อไม่ใช่อัจฉริยะ แต่อย่างน้อยเขาก็สูงกว่าค่าเฉลี่ย ครอบครัวของเขาไม่เคยขาดเนื้อสัตว์วิเศษ ดังนั้นเขาจึงมีพลังขั้นปรับแต่งร่างกายระดับ 4 และได้เริ่มปรับแต่งกระดูกแล้ว
เมื่อเขาเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รวดเร็วของกระต่ายยักษ์ เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย ในตอนนี้เขาแทบจะไม่สามารถหลบมันได้ แต่ถ้าเขาสงบลง บางทีเขาอาจได้รับชัยชนะและกินมันได้
เมื่อมองกระต่ายขาวยักษ์ที่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง ลู่เจ๋อก็สงบลงอย่างสมบูรณ์ ดวงตาของเขาเย็นชา ขณะที่เขาส่งพลังไปที่ขาเล็กน้อย และหลบการโจมตีของมันอีกครั้ง
สิ่งที่แตกต่างในครั้งนี้คือขณะที่เขาก็หลบ เขากำหมัดขวาเอาไว้แน่น และบิดเอวเพื่อปลดปล่อยพลัง หมัดเข้าใส่ข้างลำตัวของกระต่ายยักษ์
ตูม!
กระต่ายตัวใหญ่ถูกกระแทกบินออกไปไกลถึง 5 เมตร
ลู่เจ๋อแสยะยิ้ม “หึ กระต่ายยังไงก็เป็นกระต่าย ไม่ว่ามันจะใหญ่แค่ไหน พวกมันก็ยังอ่อนแอและ…เชี่ย!”
เขาพูดได้เพียงครึ่งประโยค ก่อนที่เขาจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อกระต่ายพลิกตัวกลับขึ้นมาและพุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้ง
เมื่อกี้หลู่เจ๋อต่อยแบบไม่ออมแรงเลย แม้ว่าเขาจะต่อยใส่หิน หมัดนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หินแตก กระต่ายตัวนี้ทำจากเหล็กรึเปล่า!
เมื่อเห็นกระต่ายขาววิ่งเข้ามาหาเขาอีกครั้ง มุมปากของลู่เจ๋อก็กระตุก สายตาของเขาเย็นชา เขาคิดว่าถ้าหมัดเดียวไม่พอก็สิบหมัด หนึ่งร้อยหมัด หนึ่งพันหมัด…วันนี้ฉันจะระเบิดหัวกระต่ายของแกออก!
ดังนั้นลู่เจ๋อจึงกระโดดพุ่งเข้าใส่กระต่าย
ชายหนุ่มและกระต่ายยังคงปะทะกัน หนึ่งหมัดหนึ่งกรงเล็บ คนหนึ่งเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธมือใหม่อ่อนด๋อย อีกหนึ่งเป็นกระต่ายอ่อนแอ มันฉากเหมือนมือใหม่ทะเลาะกัน
หลังจากปะทะกันมากกว่าหนึ่งร้อยกระบวนท่า หมัดของลู่เจ๋อก็ทุบลงบนหัวของกระต่ายยักษ์ มีเสียงดังขึ้นและกระต่ายยักษ์ก็ร่วงลงไปที่พื้นอย่างนุ่มนวล หัวของมันกระจายเป็นชิ้น ๆ และตายทันทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ลู่เจ๋อได้รับชัยชนะในที่สุด แม้ว่าเขาจะมีบาดแผลบนร่างกายและเสียเลือดไปบ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรร้ายแรง
เขาใช้หมัดทุบเข้าที่หัวของกระต่ายยักษ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดก็ฆ่ามันได้
หลู่เจ๋อเอามือยันเข่าหอบหายใจไม่หยุด เขามองไปที่ศพของกระต่ายยักษ์ และบ่นในใจ ‘พลังป้องกันของกระต่ายตัวนี้แข็งแกร่งเกินไป เขาต้องใช้มากกว่าร้อยหมัดเพื่อฆ่ามัน ถ้าการต่อสู้ยืดเยื้อนานกว่านี้ เขากลัวว่าเขาคงจะเป็นฝ่ายที่ถูกฆ่า’
แต่ทันใดนั้นร่างของกระต่ายก็กลายเป็นฝุ่น โดยเหลือไว้เพียงลูกแก้วสีแดงขนาดเท่าผลเชอร์รี่ไว้ 2 ลูก
ลูกแก้วเปล่งแสงจาง ๆ ทำให้มันโดดเด่นบนกองขี้เถ้า
ลู่เจ๋อมองไปที่ลูกแก้วทั้งสองด้วยดวงตาเป็นประกาย เป็นไปได้ไหมที่การฆ่าสัตว์ประหลาดในโลกนี้จะดรอปไอเทม?
เขาเดินไปหยิบลูกแก้วเรืองแสงขึ้นมา พวกมันไร้น้ำหนัก แต่รู้สึกอบอุ่นในมือของเขา
—————————————
คอมเม้นต์