Otherworldly evil monarch จอมโฉดแห่งโลกหน้า มือสังหารมือพระกาฬ – ตอนที่ 330

อ่านนิยายจีนเรื่อง otherworldly evil monarch ตอนที่ 330 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

” เจ้าเด็กเลว !  หยุดพูดเรื่องไร้สาระนั้นเสีย !  พวกเราจักเห็นแก่ตัวในสถานการณ์นั้นได้อย่างไรกัน ?  อสูรเชวียนอย่างน้อยสิบล้านจักหลั่งไหลออกมาสู่แผ่นดินใหญ่หากเราแพ้สงครามนี้ !  เจ้าคิดว่าจักมีประชาชนมากเท่าไหร่ที่ต้องประสบความทุกข์ยาก ?  คนสามัญไม่รู้เรื่องราวจักต้องตายอย่างน้อยสิบล้าน … เรื่องนี้จักกลายเป็นมหาหายนะ ! ”

จวินวูอี้เอ่ยแทรก

” เราต้องเราต้องทิ้งความขุ่นเคืองส่วนตัวไว้เบื้องหลังในตอนนี้  และเราต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้สิ่งที่ดีต่อส่วนรวม เพียงเท่านั้นที่เราจักมีโอกาสที่มีความหวัง ”

 

” วูอี้พูดถูกต้องที่สุด !  การต่อสู่ระหว่างคนกับ อสูรเชวียนจักตัดสินโชคชะตาของ แผ่นดินเราไปอีกร้อยปี !  คนทะนงอย่าง ลีจื้อเทียน จักไม่ส่ง การอัญเชิญสูงสุด หลังจากปล่อยวางความทะนง หากสถานการณ์นั้นน้อยนิด !  เขาต้องบังคับความทะนงตนอย่างมาก เพื่อส่ง การอัญเชิญสูงสุด !  ความจริง เขาจักโทนกล่าวหาในประวัติศาสตร์หากเขาไม่สำเร็จ ! ”

 

ตงฟางเหวินชิงยิ้มเล็กน้อย

” ยอดฝีมืออิสระจำนวนหนึ่ง จักต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ และในตอนแรกพวกเขาจักมีสปิริตเต็มเปี่ยม  แต่ ข้าคาดว่าหนึ่งในสามของพวกเขาจักล่าถอยหลังจากเกิดความพ่านแพ้ครั้งแรก  ท้ายที่สุดแล้ว คนจักรักษาความแข็งแกร่งของเขาไว้เพื่อยกระดับฐานะทางสังคม !  อย่างไรก็ตาม พวกเราจักทำสำเร็จหากเรา วางผลประโยชน์ไว้ก่อน ในความสับสนนี้ ! ”

 

” นิสัยธรรมชาติของคน นั้นชั่วร้าย … พวกเขาต้องการต่อสู้กับสายลม และโจมตีสุนัข ที่หล่นลงไปในคูนี้  แต่ ผู้คนส่วนใหญ่จักล่าถอยไปเมื่อลมเริ่มรุนแรง และสุนัขแประเปลี่ยนเป็นเสือ  คนส่วนใหญ่รอจนคนอื่นต่อสู้และตาย … จากนั้นจักใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้  หลังจากนั้น พวกเขาจักหลีกหนีไปเมื่อไม่มีใครมองเห็น  คนเหล่านี้ จักยอมเสียหน้าแทนที่จักต้องตาย พวกเขาเอ่ยว่า กระแสน้ำไหลเชี่ยวเกินว่าข้าจักขวาง … ข้ามิใช่เพียงผู้เดียวที่เสียหน้าในสถานการณ์นี้ … เช่นนั้นทำเช่นนี้จักต่างอันใด … ”

 

จวินโม่เซี่ยพยักหน้าขณะเขาเอ่ยวาจาเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย  เขาพบว่าเป็นเรื่องสนุกที่จักเอ่ยในท่าทีเช่นนี้  อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นสีหน้าของอีกสี่บุรุษ และรู้ว่าพวกมันเริ่มมืดมนขึ้น  เช่นนั้น เขาจึงแสร้งหัวเราะและเอ่ย

” แม่เจ้า !  ข้าปวดฉี่ !  ข้ากลั้นไม่ไหวแล้วเพราะมันกำลังจักเช้า  แต่ ท่านพูดกันชักช้านัก ! ”

เขาเอ่ยวาจานี้ หันไปและหลบหายไป

 

บุรุษทั้งสีมองหน้ากันด้วยความผิดหวัง

เจ้าเด็กเหลือของผู้นี้ไร้ยางอายยิ่งนัก !

 

” เรื่องนี้ดูไม่ค่อยดี  พวกเราจักไปพบ ลีจื้อเทียนเมื่อไปถึงเถียรฟา  จากนั้น พวกเราจักมายังกองทหารของเจ้า และปกป้องเจ้า  อุดมการของจวินโม่เซี่ยนั้นเชื่อถือได้อย่างแน่นอน  พวกเราจักมีโอกาสรอดหากรวมกัน  ขณะที่จวินโม่เซี่ยเอ่ย … ช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเป็นการกระทำที่ดี แต่การเสี่ยงตัวเองนั้นเป็นสิ่งไร้ประโยชน์  พวกเราต้องทำ … ”

 

 

จวินวูอี้พยักหน้า  จากนั้น เขามองขึ้นฟ้าและถอนใจ

” ข้าไม่รู้เหตุของเรื่องเลวร้ายนี้ .. หรือมันมาจากที่ใด .. หรือสิ่งใดก่อให้เกิดหายนะอันยิ่งใหญ่นี้ ?  แต่ เป็นไปได้ว่า อสูรเชวียนจักไม่ออกมาจากเถียรฟาโดยไร้ซึ่งเหตุผล  เช่นนั้น ผู้ใดกระตุ้นพวกเขา ?  ข้าจักถลกหนังของเขาทั้งเป็นหากข้ารู้ว่าเขาคือใคร !  คนผู้นี้เอาคนทั้งลงมาเล่นตลก ! ”

 

บุรุษอีกสามเห็นด้วย

 

คุณชายน้อยจวินกลับมาหลังจากออกไปเล็กน้อย  เขาหลบอยู่มุมหนึ่งของกระโจม และได้ยินการสนทนา  เขาเหงื่อตกหลังจากได้ยินประโยคเหล่านั้น  หัวใจของเขาตะโกนขึ้นอย่างไร้เดียงสา

เดิมทีข้าตั้งใจจักสั่งสอนบทเรียนบทเรียนแก่ มณฑลฉือฮั่น พวกเขาอาจหาญชายตามองสะใภ้สกุลจวินอย่างนั้นหรือ ?  แต่ข้าไม่รู้ว่ามันจักกลายเป็นปัญหาใหญ่เช่นนี้ !

 

ข้าไม่ตั้งใจทำให้เรื่องมาถึงจุดนี้ …​เข่นนั้น ท่านมิสามารถโทษข้าได้ !

 

…. ….

 

วันต่อมา จวินวูอี้ ได้รู้ว่า กวนเซียงฮั่น และ ตู่กู้เซี่ยวอี้ ได้แอบเดินทางมากับหลานชายของเขา  แม่ทัพจวินเกือบเป็นบ้าด้วยโทสะเมื่อเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของสองหญิงสาว  เขาเกือบติหนิจวินโม่เซี่ยจนถึงตาย  อย่างไรก็ตาม เขามิได้หยุดเพียงการดุด่าดั่งเช่นครั้งก่อนเท่านั้น ความจริง เขาเอาไม้เรียวฟาดจวินโม่เซี่ย …

 

สถานที่อันตรายเช่นนั้น  สองคนนี้ตามมาด้วยได้อย่างไร ?

 

นี่เป็นผลของการเล่นซ่อนหาของ จวินโม่เซี่ยและจวินวูอี้  คุณชายน้อยจวินจักไปที่ใดก็ตาม ลุงของเขาก็จักไปที่นั่น  เขามันจักทำเช่นนนี้เพื่อหลบไม้เรียวของลุงของเขา  เขาหนีไปราวกระต่ายป่า … และไม่เคยกลับมาเผชิญหน้ากับลุงของเขา

 

กองทหารมุ่งหน้าคดเคี้ยว และในที่สุดก็ไปถึง นครสวรรค์ใต้ในวันที่สามวัน  ตอนนี้เป็นเวลา สามสิบสามวันแล้วนับจากออกมาจาก นครเทียนเชียง กองทหารเดินทางราว ร้อยแปดสิบกิโลเมตรในแต่ละวัน หมายความว่าพวกเขาเดินทางมากกว่า ห้าพันกิโลเมตรหลังจากข้ามหุบเขาและลุยผ่านแม่น้ำ

 

ทุกคนสูดหายใจด้วยอากาศที่หนาวเหน็บหลังไปถึง นครสวรรค์ใต้

 

พื้นที่ด้านนอก นครสวรรค์ใต้ นั้นรกร้างว่างเปล่าเกือบห้าร้อยกิโลเมตร  ป่าเถียนฟายังคงงดงาม แต่บ้านเรือนผู้คนกลายเป็นซากปรักหักพัง  จวินโม่เซี่ยมองไปยัง นครสวรรค์ใต้ และหัวเราะเยาะกับความโชคร้ายของศัตรูอย่างดุเดือด … จนเขามีกล้าขึ้นตรงท้อง

 

ที่ตั้งของ มณฑลฉือฮั่นกลายเป็นค่ายหลักสำหรับการบัญชาการของอสูรเชวียน

 

พวกเขาพบ อสูรเชวียนกลุ่มใหญ่บนเส้นทางไปยัง นครสวรรค์ใต้ กลุ่นเหล่านี้รวมตัวกันและโจมตียอดฝีมือที่พวกเขาพบในพื้นที่ใกล้เคียง แต่ วินัยของ อสูรเชวียน นั้นน่าเหลือเชื่อ พวกเขาไม่พบร่องรอยของ อสูรเชวียน ในระยะทางร้อยห้าสิบกิโลเมตรก่อนถึง นครสวรรค์ใต้

 

ดังนั้นจึง บอกได้ว่าเป้าหมายชั่วคราวของ อสูรเชวียน นั้นคือคนของ นครสวรรค์ใต้ หรือบางที … อาจจะเป็นคนที่ อสูรเชวียน มีความเกลียดชัง  ดั่งเช่น … ลีจื้อเทียนแห่ง มณฑลฉือฮั่น หรือลูกชายของเขา …

 

ขนาดของ นครสวรรค์ใต้ นั้นไม่มีทางน้อยกว่า นครเทียนเชียง มันคือ นครแรกทางใต้ของดินแดนนี้  อย่างไรก็ตาม อสูรเชวียนได้ยึดครองหุบเขาโดยรอยแล้ว และล้อมไว้คล้ายดั่งถังเหล็ก

 

ในที่สุด กองกำลังของจวินวูอี้ก็รักษาจำนวนคน และบุกฝ่าไปยัง นครสวรรค์ใต้ได้  ประสบการณ์นี้น่ากลัวแม้นว่าพวกเขามิได้ประสบเรื่องร้ายก็ตาม  แต่ พวกเขาสามารถเข้าไปในเมืองได้

 

และทุกครั้งที่พวกเขาเข้าไปในนคร …

 

เสียงคำราม ดังสนั่นจากทางเหนือและจบลงตรงทางใต้ของนคร  มันแหวกอากาศเมื่อสะท้อนออกไปไกล  ราวกับการถ่ายทอดข้อความ

 

เสียงคำรามดังก้องจากทางเหนือไปทางใต้ และทางตะวันตกไปตะวันออก  มันก้องสะท้อนทั่วทิศทาง และส่งข้อความนี้ไป  มันแพร่กระจายไปทั่วเมืองเมื่อไปถึงทางใต้

 

เสียงคำรามจากทางใต้ดังขึ้นเพื่อเป็นการตอบและมันก้องสะท้อนไปมา

 

ราวกับคนสองคนแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน  มันฟังดูเหมือนเอ่ยว่า

” พวกเรามาอีกแล้ว กองกำลังหนึ่งหมื่นมาถึงแล้ว ครั้งนี้มาจากนครเทียนเชียง “

 

และจากนั้น อีกผู้ตอบกลับ

” ข้ารู้ …. “

 

การตีความนี้อาจไม่ถูกต้องแต่ความหมายของมันจักต้องใกล้เคียง

 

” วู้ อสูรเชวียนเหล่านี้มีวินัยยิ่ง !  พวกเขาเก่งกว่ากองทหารด้วยซ้ำไป  น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ข้าชอบสิ่งนี้ ”

จวินโม่เซี่ยยกย่องจริงใจ  จากนั้นเขาพยักหน้าก่อนเอ่ยต่อ

” อสูรเชวียนนั้นมิได้น่าสะพรึงกลัว  ข้าเชื่อว่าพวกเขามีอารยะ ”

 

เสียงหัวเราะอันน่ารักสองเสียงดังมาจากด้านข้างของเขา  จวินโม่เซี่ย แต่งตัวให้ กวนเซียงฮั่น และ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เป็นทหารเล็กน้อยก่อนเข้าไปยังนคร  ความจริง หากมองผิวเผินไม่มีใครบอกได้ว่าสองทหารที่หุ่นเพรียวนี้เป็นหญิงสาว  เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจนี้ไม่เป็นที่พอใจอย่างมากสำหรับสองหญิงสาว  อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยยืนกราน และ แสดงจุดยืนของเขาเพื่อให้พวกนางทำตาม

 

ตงฟางเหวินชิงมองหลานไร้ประโยชน์ของเขาอย่างหมดหนทาง

น่าประหลาดใจนัก !  เจ้าเหลือขอนี่ยังเล่นตลกแม้ในใช่วงเวลาสำคัญ ?  เขาโง่จริงๆหากไม่กลัวพวกมัน !

 

จากนั้น เขาถอนใจและเอ่ยขึ้น

” ข้อความนั้นถูกส่งโดย อสูรราชสีห์ระดับแปดสูงสุด ราชัญแห่งเถียรฟาใช้ อสูรเชวียนระดับสูงเช่นนี้เพื่อส่งข้อความ  เรื่องนี้ไม่น่าขัน … ”

 

” แม่เจ้า !  ว้าว !  ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ! ”

จวินโม่เซี่ยเคาะปาก และเอ่ยต่อ

” เหตุใดเราไม่เห็น อสูรบินได้ระหว่างทาง ?  ข้าคิดว่าเราสามารถจับพวกมันมาขี่ได้เหมือนกับม้า  พวกมันมีประโยชน์อย่างมากสำหรับการรับหญิงสาว !  หญิงสาวจักตกหลุมรักข้าหลังจากพวกนางได้เห็นพวกมัน ! “

 

ตงฟางเหวินชิงเพ่งมองเขาดวงตาเบิกกว้าง และเริ่มกระหืดกระหอบด้วยโทสะ เจ้าเด็กเลวนี่เริ่มโอหังจนเขาเริ่มเหมือนมีเลือดออกในสมองเนื่องจากโทสะ

 

ในที่สุดลุงตงฟางก็ได้รู้ว่าชื่อเสียง เสเพลที่สั่นคลอนดินแดนของหลานชายนั้นไร้เหตุผลอื่นใด …

 

เขารู้ว่าไม่มีคนปกติคนใดที่สามารถโต้เถียงกับเด็กที่เสื่อมทรามและนิสัยเสียผู้นี้ได้ … มันฟังดูคล้ายดั่งไก่ที่คุยกับเป็ด .. ภาษามันไม่เหมือนกัน …

 

กองกำลังของ นครสวรรค์ใต้แสดงความไม่พอใจต่อ กองกำลังสนับสนุนที่เพิ่งมาถึงจากเทียนเชียง  เจ้าหน้าที่ราชการระดับสูงที่ประจำอยู่ภายในกำแพงต้อนรับจวินวูอี้เข้านครด้วยความเคารพ

 

จวินวูอี้มีความแคลงใจในเรื่องนี้เล็กน้อย  นครสวรรค์ใต้มีชื่อเสียงดั่งเช่นนครเทียนเชียง และมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล  อย่างไรก็ตาม มีผู้คนมากมายอาศัยอยู่ในนครนี้  ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้มีกำลังเสริมมากมายมาจากต่างอาณาจักร และที่อื่นๆทั้วโลก ด้วยเหตุนี้จวินวูอี้จึงคิดว่า นครแห่งนั้นจักต้องแออัด และไม่มีพื้นที่เพียงพอให้กองกำลังของเขา

แต่มันจักเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่จักตั้งค่ายด้านนอกกำแพงเมือง

เขาเป็นกังวลในเรื่องนี้อย่างมาก

 

อย่างไรก็ตามกองกำลัง สองหมื่นของเขาเข้าเมืองมาได้อย่าง่ายดาย  ความจริง กองกำลังของเขาที่ได้เข้ามาอยู่ในนครตอนนี้ยังคงเงียบอยู่ และดูเหมือนจักอับอายเล็กน้อย

น่างุนงงยิ่งนัก !

 

แต่ ความสงสัยของเขากลับถูกคลี่คลายในตอนที่กองทหารทั้งหมดเข้ามาในนคร ..

 

ยอดฝีมือออกมาจากสองข้างถนน …. พวกเขาบางคนมีผ้าพันแผล นี่แสดงให้เห็นถึงการบาดเจ็บที่พวกเขาได้รับ บางคนมีผ้าสีขาวพันแผลอยู่บนหัว มีเสียงร้องมากมายดังออกมารอบๆเมือง แต่มิได้รู้สึกถึงความอลม่าน  อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้ว่าเมืองนั้นมีบางสิ่งหายไปขณะที่พวกเขาเดินทางไปรอบๆ ..

 

คุณชายน้อยจวินคิดอยู่ชั่วครู่ และรู้ถึงสิ่งที่ผิดปกติ

“ไม่มีชาวบ้านในนครนี้ได้อย่างไรกัน ? “

วาจาเหล่านี้ทำให้ทุกคนสนใจ และปลุกพวกเขาให้ตื่นจากภวังค์ อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าไม่มีผู้คนอยู่ที่นี่  เพียงแค่ .. มีพวกเขาอยู่ไม่มากนัก และที่น่าประหลาดในที่สุด … ครั้งหนึ่งในชีวิตของพวกเขา  ไม่มีผู้ใดเห็นคนแก่และบุรุษที่อ่อนแอ หรือหญิงสาว และเด็ก ในนคร …

 

เจ้าหน้าที่ระดับสูงในป้อมปราการของนครคือขุนพลนามว่า อวานวูเอี้ยน เขายิ้มเล็กน้อยและเอ่ย

” การก่อกบฏของสัตว์เชวียนนั้นยิ่งใหญ่นัก  เช่นนั้น เราจึงมิกล้าเพิกเฉย  พวกเราได้ย้ายหญิงสาว เด็ก คนแก่และคนอ่อนแอให้อยู่ห่างออกไปห้าร้อยกิโลเมตร  พวกเราได้ทำสิ่งเหล่านี้ไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อนเพื่อปกป้องพวกเขาจากเหตุการณ์ร้ายนี้  เหลือเพียงไว้แต่บุรุษวัยกลางคนและร้านค้าเล็กน้อย  ขุนพลผู้นี้จักไปหาและระลึกถึงพวกเขาด้วยตัวเองหากเราชนะในการกบฏของอสูรเชวียนนี้ พวกเรามิอาจมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข และทำงานได้อย่างสงบ … แต่อย่างน้อยพวกเราสามารถปกป้องครอบครัวและบ้านได้ …”

 

จวินวูอี้รู้สึกเคารพต่อบุรุษผู้นี้อย่างยิ่ง

 

” ขุนพลอวาน จวินผู้นี้ชื่นชมในความรู้สึกของท่านที่มีต่อผู้คนในเวลาเช่นนี้ ! ”

 

อวานวูเอี้ยนดูเจ็บปวด  จากนั้นเขายิ้มเล็กน้อย

” การก่อกบฏนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างแน่นอน  อสูรเชวียนทรงพลัง ได้แทรกซึมเข้ามาในนครหลายครั้งเพื่อก่อปัญหา  และพวกเขาเป็นเหตุให้มีการล้มตายมากมายจนข้ามิอาจนับได้  เข่นนั้น เหตุใดต้องเดือดร้อนประชาชน ?  ข้าได้ปกป้องสถานที่รกร้างของ นครสวรรค์ใต้มาเป็นเวลายี่สิบกว่าปี … ผู้คนที่นี่มิใช่เป็นชาวเมือง หากแต่พวกเขายังเป็นครอบครัวของข้า เพื่อนและพี่น้อง  เช่นนั้นข้ามิอาจจากสถานที่นี่ไปได้บแม้นว่ามีโอกาส …”

 

นครสวรรค์ใต้คือบ้านของเขา เขาโตที่นี่  เช่นนั้น เขามองมันด้วยความอบอุ่น และปรารถนา …

 

บรรยากาศหนักอึ้งและอึดอันในทันที

 

“การเคลื่อนช้ายผู้คนจำนวนมากมิต้องใช่ความพยายามอย่างมากหรือ ? “

จวินโม่เซี่ยเปลี่ยนเรื่อง

 

” สวรรค์ใต้นั้นไม่เหมือนพื้นที่ตอนกลาง  เช่นนั้น ผู้คนนั้นไม่มากมายแม้นเป็นนครใหญ่  พวกเราเคลื่อนย้ายคนประมาณ หนึ่งล้านห้าแสนสี่หมื่นสามพันเก้าร้อยออกจากนคร และพื้นที่รอบๆ “

อวานวูเอี้ยนเอ่ยด้วยความสุภาพและพึงใจ  จากนั้นเขาหัวเราะเบาๆ

” ความพยายามนั้นไม่น่ากังวล … นี่คือเรื่องของ หนึ่งล้านห้าแสนชีวิต !  งานหนักนั้นคุ้มค่า !”

 

” น่าอัศจรรย์ ! ”

 

จวินวูอี้มองไปยัง นครสวรรค์ใต้อันเก่าแก่ และเอ่ย

” ขุนพลอวาน ความอุสาหะของท่านนั้นไม่ไร้ประโยชน์  จวินผู้นี้สัญญาว่าความพยายามของ ขุนพลอวานนั้นจักไม่เสียเปล่า ! ”

 

” ข้าหวังเช่นนั้น  ข้าเพียงแต่ … ขอร้องคุณชายสามจวิน ….”

ขุนพลอวานเงียบไปชั่วครู่ และจากนั้น เอ่ยตะกุกตะกัก

 

พวกเขาจัดระเบียงกองทหารและตั้งค่าย  หลังจากนั้นพวกเขาและขุนพลอวานวูเอี้ยนเดินทางไปยัง ศาลาว่าการเพื่อพูดคุยเรื่องเร่งด่วน

 

จวินวูอี้ตกใจในทันทีหลังจากพวกเขาผ่านโค้งไป

 

นี่คือศาลาว่าการ

 

พระเจ้า !

 

การพูดคุยนี้อยู่ในพื้นที่สาธารณะ ?

 

จวนเจ้าครองนครพังทลายลงดั่งเช่นสถานที่ไม่สำคัญอื่นๆ  ทั้งหมดนั้นถูกรื้อถอนลงเพื่อเป็นที่อยู่ของทหารนับหมื่น  ลานว่าการเดิมนั้นยังคงอยู่   มันสูงราวสามเมตร และตกแต่งด้วยผ้าสีเขียวบาง  จวินโม่เซี่ยเหลือบมองไปและรู้สึกว่ามันดูเหมือนเวทีละคร

 

กระโจมหรูหราจำนวนหนึ่งถูกตั้งขึ้นด้านข้าง และ ธงขนาดใหญ่โบกสะบัดรุนแรงท่านกลางสายลมสาทรฤดูด้านหน้ากระโจมเหล่านั้น  ธงนับร้อยรอบๆโบสะพับไปด้วยกัน  อีกทั้งยังมีข้อความเขียนไว้บนธงเหล่านั้น

“มณฑลฉือฮั่น”

” นครพายุหิมะสีเงิน”

” โอวอยาง ”

” เดือนมู่”

“ไป๋ลี่ “

” เป่ยกง”

” เหวินเหริน “

” โจ่วโช่ว “

” เฉินซี ”

” ยูถัง “

” วังแยกวิญญาณ ”

และอื่นๆ

 

จวินโม่เซี่ยดีใจ  คิ้วของเขาชี้ขึ้น และ ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยความสุข ขณะที่เขาหัวเราะและเอ่ย

” คาดไม่ถึงจริงๆ !  ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของยอดเคล็ดวิชาทั้งหลาย !  นี่ช่าง น่าอัศจรรย์ยิ่ง !  ไม่มีสิ่งทั่วไปหรือสามัญเลย … ”

 

อย่างไรก็ตาม คุณชายสามจวินไม่มิใด้ละเลยเรื่องนี้  เขาย่นคิ้ว …

 

มันสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องมีหนึ่งผู้บัญชาการหากพวกเขาต้องการให้มีโอกาสที่จักชนะ  ยอดฝีมืออิสระเหล่านั้นอาจจะนำไปสู่การต่อสู้แบบตะลุมบอล กับคนนับสิบหรือ … อาจจะประมาณหนึ่ง  อย่างงไรก็ตาม จวินวูอี้รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถนำกองกำลังขนาดใหญ่นับแสนเข้าสู่สงครามได้

 

อย่างไรก็ตาม กองกำลังและทหารจาก อาณาจักรใหญ่และผู้คนจากสกุลที่มีวรยุทธ์จักมีความเท่าเทียมกันในสถานการณ์นี้  ความจริง อาจบอกได้ว่าสถานะของกองทัพนั้นถูกยกให้อยู่สูงสุด

 

กองทหารทั่วไปไม่ถูกให้ความสำคัญในสายตาอขงยอดฝีมือเชวียนผู้ทรงพลังในเวลาปกติ แต่ .. นี่คือเวลาปกติ ?  มันไม่เป็นเรื่องตลกหรือหากคผู้คนเหล่านี้มองผ่านช่องประตูและคิดว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งใดที่ต้องการได้ และต่อสู่ตามที่พวกเขาชอบกับราชัญอสูรเชวียนผู้ที่ออกคำสั่งเพียงผู้เดียวในกการ กบฏของอสูรเชวียน ?

 

” ท่านแม่ทัพจวิน พวกเราได้ตั้งกระโจมสำหรับผู้บัญชาการของนครเทียนเชียงไว้ที่นี่ !

ขุนพล อวานวูเอี้ยนยิ้มและชี้นิ้วออกไป  เขาชี้ไปยังกระโจมหลังใหญ่  ที่ถูกตั้งขึ้นกลางลานกว้าง และมีผ้าสีเขียวคลุมไว้  เสาขนาดใหญ่และแข็งแกร่งสองต้นปักลงพื้นในแต่ละด้าน  พวกเขาเลิกผ้าหน้าประตูขึ้น และพบว่าภายในเรียบร้อยอย่างมาก มันช้างกว้างใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น กระโจมนี้สามารถให้คนยี่สิบเข้ามาอยู่ได้ … พร้อมกับมีที่ว่างบางส่วนอยู่

 

ธงสีแดงโบกอยู่เหนือกระโจม  มีคำว่า เทียนเชียง เขียนไว้  คำสามคำกระพือไปขณะที่ธงลอยสูงเหมือนจิตวิญญาณแห่งมังกร แต่สามารถมองเห็นได้เป็นช่วงๆ  ธงนี้สูงเกินกว่าก๊กเหล่าใดในระยะสามเมตร  นอกจากนี้ยังมีเพียงหนึ่งที่มีชื่อของสกุล

 

” หือ ? “

จวินวูอี้มองไปยัง อวานวูเอี้ยน ด้วยสีหน้าสงสัย เขางุนงง

 

อวานวูเอี้ยนหัวเราะอ่อนโยน  ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความนับถือ

” ข้านับถือสี่แม่ทัพสกุลจวินแห่งเทียนเชียงมาเสมอ ยอดขุนพลจวิน จวินจ้านเเทียน ขุนพลขาว จวินวูเห่ย  ขุนพลศักดิ์สิทธิ์เลือดเหล็ก จวินวูเมิง และ ขุนพลเลือด จวินวูอี้ !  ข้าภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าบ้านให้กับ สกุลจวินแห่งเทียนเชียง  ยอดฝีมือชั้นเลิศมากมายมารวมตัวกันที่ นครสวรรค์ใต้ แต่ที่นี่ยังเป็นดินอดนของข้า  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ นครสวรรค์ใต้ของข้า และข้าไม่ปล่อยให้วีรบุรุษแห่งเทียนเชียงอยู่ต่ำกว่าผู้ใด !  เช่นนั้น ข้าขอให้ท่านกรุณา … ขุนพลจวิน ! ”

 

” ขอบใจมาก ! ”

จวินวูอี้ยังคงเงียบชั่วครู่ก่อนเอ่ยว่าจานั้นออกมาอย่างเคร่งขรึม

 

” ข้าได้ยินเรื่องราวมากมายในหลายวันนี้ และดูเหมือนมีผู้คนมากมายที่มีความเห็นกับสกุลจวิน  ท่านจำต้องระวังขุนพลจวิน ”

อวานวูเอี้ยนลดเสียงต่ำขณะที่เขากล่าวเตือน  จวินวูอี้พยักหน้าเชื้องช้าขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่แน่วแน่  อย่างไรก็ตาม ดวงตาของจวินโม่เซี่ยเปล่งประกายด้วยความเยือกเย็น

 

จวินโม่เซี่ยผลัดเก้าอี้เลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ  สี่รองแม่ทัพแห่งกองทหารเทียนเชียงตามเขาไป  แววตาพวกเขาตื่นตัว และมือของพวกเขาคว้าไปที่ด้ามกระบี่  และ สามกระบี่ผู้กล้าหาญเดินไปข้างพวกเขา

 

ผู้คนจากทุกก๊กเหล่าเข้ามาในพื้นที่พร้อมๆกัน  หากสังเกต ..พวกเขาจะเห็นว่าจวินโม่เซี่ยผลักเก้าอี้เลื่อนไปกลางวง  เขามิได้เอนเอียงไปทางซ้ายหรือขวา…แม้แต่น้อย

 

นี่คือความก้าวร้าวอย่างมาก

 

นี่คือแผ่นดินของข้า !  นี่คืออาณาเขตของข้า !  ข้าจักทำตามที่ต้องการ !  และข้าจักเปลี่ยนมันไปในแบบที่ต้องการ !

 

จุดที่พวกเขาอยู่สามารถทำให้คนจากทุกที่เห็นได้จากทั้งสองด้านของสนาม  และ ทุกคนก็เพ่งมองมา !

 

บรรยากาศกดดันขึ้นมาอย่างทันที  ราวกันจวินโม่เซี่ยและจวินวูอี้ได้นำพาสภาพอากาศที่รุนแรงและอึดอัดมาด้วย

 

หกบุรุษเคลื่อนตัวมาข้างหน้าอย่างสงบ  แต่ ผู้คนด้านข้างสามารถสัมผัสได้เพียงแต่คนเหล่านี้เป็นดั่งเหล็กที่ทรงพลังและไร้เทียมทาน ซึ่งเคลื่อนไปข้างหน้า  ผู้คนส่วนใหญ่หยุดหายใจขณะที่พวกเขาเห็นคนเหล่านี้เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและเด็ดเดี่ยว

 

ทันใดนั้น สายลมเยือกเย็นพัดผ่านมายัง นครสวรรค์ใต้ กลุ่มเมฆมืดมนเริ่มคำรามจากสวรรค์เบื้องบน และค่อยๆเคลื่อนปกคลุมพื้นที่นี้เชื่องช้า  พายุพัดเข้ามาในสนามและฝุ่นเริ่มฟุ้ง  ธงมากมายเริ่มกระพือท่ามกลางสายลง และเริ่มส่งเสียงพึบผับ  กระนั้น แม้แต่เสียงกระพือของธงก็ฟังดูเป็นระเบียบเรียบร้อยในเวลานี้

 

ฝุ่นพัดเข้าที่ใบหน้าของพวกเขา ทำให้รองแม่ทัพทั้งสี่และ บุรุษแห่งสกุลตงฟางทั้งสาม ต้องหรี่ตาและเคลื่อนไหวเชื่องช้าเล็กน้อย  อย่างไรก็ตาม จวินวูอี้ยังคงเงียบและสงบ สีหน้าของเขายังคงจริงจังแม้แต่คิ้วของเขาก็ยังมิได้เคลื่อนตัว

 

จวินโม่เซี่ยผลักเก้าอี้เลื่อนของเขาไปอย่างง่ายดายและยืนอยู่ข้างหลังเขาเอ่ยเฉยเมย คิวของเขายังคงเป็นเหมือนดั่งมังกรทรงอำนาจ … มังกรซึ่งพร้อมจะพุ่งออกมาและบินขึ้นสู่อากาศตลอดเวลา  ใบหน้าอันสง่างมาและชั่วร้ายของเขายังคงสงบนิ่ง  ราวกับไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศหรือฝูงชนที่เพ่งมองมารอบตัวเขา  การเคลื่อนไหวของเขาไม่ช้าหรือเร็วเกินไป และพวกเขายังคงไม่ได้รับผลกระทบอันใด …

 

คู่ลุงหลานผู้นี้คล้ายดั่งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งผ่านพายุไปยงสายตาของผู้พบเห็น

 

บุรุษทั้งสางกำลังเดินไปข้างหน้า

 

พื้นที่นี่อยู่ภายในขอบเขตของอาณาจักรเทียนเชียง และ เทียนเชียงก็อยู่ใกล้ที่สุดในบรรยานครที่ส่งกำลังเสริมมา  ดังนั้น ทุกคนจึงไม่พอใจที่กองกำลังของนครเทียนเชียงมาถึงช้าที่สุด  พวกเขาเชื่อว่าเทียนเชียงได้กำหนดให้การมาถึงของกองทัพอย่างแม่นยำเพื่อทำให้พวกเขาอับอาย  นี่คือหนึ่งเหตุผลหลักที่ผู้คนจากกฏเหล่าต่างๆไม่ออกมาพบกองทหารเทียนเชียงในตอนที่พวกเขามาถึง

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เอ่ยตำหนิเลยขณะที่ได้เห็นคู่ลุงหลานเดินไปข้างหน้า  ไม่มีผู้ใดจำเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ได้  ทุกคนอยู่ในอารมณ์ที่สง่างาม  และเคารพนับถือ

 

แม้แต่ เซี่ยวฮั่น ผู้ที่ระแวงจวินวูอี้และต้องการให้เขาตายมากที่สุด ก็ไม่สามารถปล่อยให้ความอิจฉาและดูหมิ่นปกคลุมแววตาของเขาได้

 

นี่มัน … เป็นไปได้หรือไม่ว่าข้ามิอาจเทียบเท่าเขาได้จริงๆ ?

 

จวินวูอี้ มิได้ฝึกฝนปราณเชวียน หรือเคลื่อนไหวได้อย่างแข็งแกร่งเท่าเหล่ายอดปรมาจารย์เหล่านั้น  อย่างไรด็ตาม เขาได้เป็นยอดวีรบุรุษตัวจริงนับตั้งแต่เขาได้บัญชาการรบคนนับล้านในเวลานั้น เขาได้รับตำแหน่งแม่ทัพที่มีชื่อเสียงเอย่างแท้จริง   ยอดฝีมือ สวรรค์เชวียน เทพเชวียน จำนวนมาก … และแม้แต่ยอดปรมาจารย์ก็คิดว่าเขาเป็นแม่ทัพที่ล้ำเลิศและมิอาจเทียบทาน  เขามีชื่อเสียงในฐานะแม่ทัพตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังกุมชะตากรรมของทหารนับล้านไว้ในกำมือ  รู้สึกว่าการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวสามารถจุดฉนวนแห่งสงครามที่ห่างออกไปและแผดเผาดินแดงสังหารขุนพลได้นับพัน เขาคือขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา  กลยุทธ์ใดๆก็ตามที่ออกมาจากกระโจมของเขานั้นสามารถนำมาซึ่งชัยชนะเท่านั้น  แม้แต่ยอดฝีมือเชวียนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็มิอาจโอ้อวดถึงความคิดที่เหนือชั้นนี้ได้

 

ทรราชผู้มีนี้ชะตากรรมของประเทศอยู่ในมือ !  เขาดูหมิ่นสามัญชนและดูถูกความแข็งแกร่งที่ตำต้อย !

 

พวกเขาเพียงสองคน แต่แข็งแกร่งพอที่จักสามารถส่งความเยือกเย็นไปยังสันหลังของทุกคนได้  สองผู้ที่ดูสงบนี้สามารถปล่อยกลิ่นอายที่ทำให้ทุกคนมองขึ้นมาและได้เห็น

 

ข้าจักก้าวย่างไปยังดินแดนข้างหน้า … แม้นมันจักเป็นหุบเขาแห่งมีด ป่าแห่งกระบี่ หรือแม่น้ำแห่งไฟนรก !  ข้า… จักเหยียบมันให้แบน !

 

ทหารจาก อาณาจักนเฉินซี และ ยูถังก็ยืนขึ้นเช่นกัน  พวกเขาทำหลังตรงแม้ได้เห็นแม้ทัพที่ครั้งหนึ่งเป็นศัตรูของพวกเขา  พวกเขามองเขาด้วยสายตาที่แรงกล้าง ราวกับเป็นเทวรูปแห่งกองทหาร

 

นี่คือความสามามัคคีของนักรบ

 

ทั้งเก้าบุรุษเดินด้วยความเงียบอย่างเป็นระเบียบและเข้ากระโจมไป

 

บรรยากาศเปลี่ยนไปในทันที  ท้องฟามีเมฆปกคลุมและมืดมิด

 

จากนั้นมีเสียงดังขึ้นจากที่ใหนสักแห่ง

” ท่านคู่ควรจักได้รับฉายาว่าเป็น ยอดขุนพลสะเทือนโลกา !  ท่านมีพลังที่แน่เกรงขามแห่งแม่ทัพโดยแท้จริง !  ข้าเชื่อมั่น !  ข้า ซิกงอันยี่ ยิมรับท่านอย่างแท้จริง !  ข้า ต้องขออภัยที่มิได้ไปพบท่านที่กำแพง !  ซี่กงผู้นี้อยากร่วมดื่มสุรากับท่านแม่ทัพจวินหากเขามีเวลา ! ”

 

เสียงตะโกนอันห้าวหาญนั้นสั่นสะเทือนพื้นดินขณะที่เจ้าของเสียงนั้นเดินออกมาจากกระโจมที่อยู่ข้างใต้ธงข้อความ ฉี่กง  เขาดูสูงและแข็งแกร่ง  ร่างของเขาแข็งแรงกำยำและสูงส่ง  อย่างไรก็ตาม รู้ลักษณ์ที่หยาบกร้านของเขาทำให้รู้สึกกลมลืน  เขาสวมชุดสีเขียว และใบหน้าทั้งสองข้างมีบาดแผล  สามารถเห็นหนวดเคราที่ยาวราวมังกรหนุ่มบนใบหน้าของเขา

 

จวินโม่เซี่ยเหลือบมองคนผู้นั้น  เขาต้องสูงสองเมตรเป็นอย่างน้อย เขาดูเหมือนหอคอยเหล็กที่สง่างามเมื่อยืนอยู่หน้ากระโจม

 

คนผู้นี้ คือยอดฝีมือคนสำคุณแห่ง สกุลซี่กง ซิกงอันยี่

 

” ท่านพี่ซี่กง ทำให้อับอาย !  น้องผู้นี้เป็นเจ้าของบ้าน และต้องขอโทษอย่างใจจริงที่มาถึงล่าช้า !  และท่านพี่ และข้าสามารถพูดคุยและร่ำสุราได้ตอนใหนก็ตามที่ท่านพ่อต้องการ ! ”

เสียงก้องกังวลาและชัดเจนของจวินวูอี้นั้นดำงขึ้นชั่วขณะ

 

” ดี !  ดี! ”

ซิกงอันยี่หัวเราเบิกบาน

 

” ฮ่าฮ่า … นี่ … นายบ้านสกุล…ต้องการพูดกับเจ้า  แต่นี่ .. คนผู้นี้… มาก่อน … แม่ทัพจวิน … ข้า .. ข้านายบ้าน สกุลเดือนมู่… เดือนมู่โฉว … โฉวโฟว….ยินดีที่ได้พบ “

 

ชายผู้นี้พูดติดอย่างอย่างมาก อย่างไรก็ตามสีหน้าของเขา และน้ำเสียงนั้นทำให้รู้ว่าคนผู้นี้ถือตัวอย่างมาก

 

จวินโม่เซี่ยหัวเราะคิกคัก  เพียงแค่ได้ฟังการพูดก็ทำให้รู้ได้ว่าเขาคือ เดือนมู่โฉวเฟิน ที่ลุงตงฟางได้บอกไว้ มิใช่ผู้ใดอื่น

 

ไม่แน่ใจว่าเขาผิดปกติตามชื่อเสียงหรือไม่  แต่ ชัดเจนว่าเขานั้น สำคัญตัว

 

” นายบ้านสกุลเดือนมู่ช่างสุภาพอย่างมาก  ข้าจักมาหา นายบ้านสกุลเดือนมู่เมื่อว่าง ”

น้ำเสียงของ จวินวูอี้นั้นมิได้พอใจหรือมีโทสะ  แต่ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสายใจราวกับดำลังอาบน้ำท่ามกลายสายลมแห่ง วสันตฤดู

 

“ไม่ …มิใช่ ….แขก …. สุภาพ …”

เดือนมู่โฉวเฟินตอบพร้อมยิ้ม  เขากำลังจักพูดต่อเมื่อเสียงลึกลับดังขึ้น

” มิใช่ว่าสองบุรุษนั้นจักทะนงไปหรือ  พวกเขามิได้เป็นเชื้อพระวงศ์แห่งเทียนเชียง  นี่มิใช่เพียง จวินวูอี้ ? “

 

จวินโม่เซี่ยมองไปยังต้นเสียง และพบเพียงแต่เด็กหนุ่มวัยยี่สิบ  เขายืนหลังตรงและมีใบหน้าที่หล่อเหลา  อย่างไรก็ตาม สามารถเห็นความชั่วร้ายที่คิ้วของเขาได้  เขายืนอยู่ใต้ธงของ มณฑลฉือฮั่น ชายผู้นี้สวมชุดไหมปัก และมีกระบี่ที่อยู่ในฝักหรูหราและส่งกลิ่นหอมห้อยลงมาจากสะโพกของเขา  เขาดูเหมือนนักรบที่หาได้ยากในวัยเดียวกัน  อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนจักมองพวกเขาอย่างเหยียดหยาม

 

จวินโม่เซี่ยจวินโม่เซี่ยรู้ถึงตัวตนของฝ่ายตรงข้าในทันที  นอกจาก คางคกที่อยากกินเนื้อหงษ์แล้ว … เขาก็คือ ลูกชายเพียงคนเดียวของ ลีจื้อเทียน ลี่เติ้งหยวน จักเป็นใครอื่นได้ ?

พ่อของเจ้ามีลูกชายที่หล่อเหลาแต่หยาบคาย  จักทำสงครามกับสัตว์เชวียนได้หรือไม่ หากมิใช่เจ้า ?  ข้าจักทำให้เจ้าพิการในครั้งแรกที่มีโอกาส !

 

จวินโม่เซี่ยหัวเราะขณะที่เดินออกไป

 

จวินวูอี้ แม่ทัพแห่งขุนพลในรุ่นเขาจักสนใจเรื่องเล็กน้อยนี้ได้อย่างไร ?  ดังนั้นมันจึงถูกสงวนไว้ให้สำหรับ คนเสเพลอย่างคุณชายน้อยจวิน  เขาเปล่งแสงออกมาราวขนนก

” คนผู้นี้ดูเหมือนจักมีตาที่หัว เนื่องจากดูเหมือนว่าจมูกของเขาชี้ขึ้นฟ้า  ราวกับคุณชายน้อยแห่ง มณฑลฉือฮั่น ที่ชื่นชอบกลั่นแกล้งผู้นี้  เจ้าคือคุณชายน้อยลี่อันธพาล ลี่เติ้งหยวนใช่หรือไม่ ?”

 

“เจ้า! ฮึ่ม !  ข้าต้องขออำนาจเพื่อจัดการกับเจ้าหรือไม่ ? “

มีร่องรอยแห่งความมุ่งร้ายในแววตาของ ลี่เติ้งหยวนขณะที่เขาเย้ยหยันและเอ่ยด้อยความดูถูก

” สกุลจวินของเจ้ามาถึงล่าช้านักในสถานการณเช่นนี้  และ เจ้าเองก็เป็นเจ้าของบ้าน !  เจ้าคิดร้ายอันใด ?  คนอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้ถามคำถามนี้ ? “

 

” ชัดเจนว่าเรารู้ว่าสถานการณ์นั้นเลวร้ายอย่างมาด และตราบใดที่ยังพูดถึงเรื่องมาช้า เหตุใดเจ้าไม่ขอความอนุเคราะห์กับองค์จักพรรดิให้เร็วกว่านี้ละ ?  อย่างที่สอง ข้าอยากถาม มณฑลฉือฮั่นของเจ้า ทำไมเจ้าไม่ส่งสารระดมพลให้เร็วกว่านี้หากสถานการณ์เร่งด่วนเช่นนั้น ?  เจ้ากำลังทำอันใดอยู่ ? “

 

จวินโม่เซี่ยคำรามทางจมูกและเอ่ยต่อ

” โอ้ว !  ใช่แล้ว  ชื่อเสียงของ มณฑลฉือฮั่น นั้นสำคัญนัก !  เรื่องนี้จักมาถึงจุดนี้หรือไม่ หากเจ้าไม่ทำตัวโอหัง ตาบอด และเย้อหยิ่ง ?  เจ้าจักร้องขอความช่วยเหลือในเวลาที่เรื่องราวมันยากเกินกอบกู้หรืออย่างไร ?

 

” เจ้าไม่ละอายที่ตัวเองไร้ความสามารถและไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จักขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นหรือ ?  และเจ้า ยังกล้าจักกล่าวโทษผู้อื่นอีกหรือ ?  คนอื่นสามารถถามคำถามนี้  อย่างไรด็ตาม เจ้าแล มณฑลฉือฮั่นไม่ได้รับอนุญาต ! ”

 

จวินโม่เซี่ยยิ้ม

” จริงอยู่มีหลายคนอยากถามคำถามนี้  แต่ มียอดฝีมือมากมายที่นี่  เช่นนั้น เจ้าจักเพิกเฉยต่อพวกเขาได้อย่างไร ?  อย่าลืม เจ้าคือลูกชายของ ลีจื้อเทียน … มิใช่ ลีจื้อเทียน !  แล้วเจ้าเป็นใคร ?  และ เจ้ามีคุณสมบัติอันใด ? “

 

” เจ้ากล้าพูดกับข้าเช่นนั้นได้อย่างไร ?  เจ้ากล้า!  เจ้าเป็นใคร ?! “

ลี่เติ้งหยวนถลึงตา  เขารู้ดีว่ามิอาจเถียงเรื่องนี้กับคนผู้นี้ได้  เช่นนั้นเขาจึงเปลี่ยนไปสอบถามเรื่องตัวตนของฝ่ายตรงข้าม ในขณะที่เก็บงำความปรารถนาที่จักล้างแค้นในเวลาที่เหมาะสม

 

” พี่ผู้นี้ นามว่า จวินโม่เซี่ย ! ”

จวินโม่เซี่ยยิ้มไร้กังวล

 ” เจ้าต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของพี่ผู้นี้  มันไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ?  ชื่อเสียงที่เสียดแทงหูราว อสุนีบาต … ?  ราวกับแสงจันทราท่ามกลางท้องนภา …​?  ข้ามิใช่ผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างนั้นหรือ ?  เจ้าต้องสรรเสริญข้านะ ”

 

” เช่นนั้น เจ้าคือจวินโม่เซี่ยคนนั้น !  เจ้าเสเพลแห่งสกุลจวิน !  ชื่อเสียงโด่งดังในแง่การสร้างเรื่องเลวร้ายอย่างไร้ยางอายในเทียนเชียง !  ช่างเป็นเกียรติที่ได้พบเจ้า คุณชาย !  ชื่อเสียงเลวร้ายของเขานั้น ดังเนาะหูแท้จริง !  ชื่อเสียงในความ สกปรกของเจ้านั้น ชอบธรรมนัก ! ”

 

ลี่เติ้งหยวนรู้ว่าเขาได้คว้าเอาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามไว้ได้  เช่นนั้น เขาจึงหัวเราะลั่นและเอ่ยต่อ

” ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดได้มารวมกันที่นี่ !   แต่คนขี้โกงอย่างเจ้ามาด้วยหรือ ?  คุณชายน้อยนักเลงอย่างเจ้ามาทำอันใดที่นี่ ? “

 

จวินโม่เซี่ยยิ้มชั่วร้าย

” ข้าไม่ปฏิเสธว่าข้านั้น เลวทราม  อย่างไรก็ตาม อันธพาลผู้นี้ก็ไม่เคยจักคว้าหญิงสาวผู้ที่เป็นสะใภ้ของบ้านอื่นมาเป็นของตัวเอง  เจ้านั้นฉ่ำฉองกว่าข้าในเรื่องนี้ คุณชายน้อยลี่  พวกเราอันธพาลควรเรียนรู้จากเจ้า ! ”

 

” เจ้า … กวนเซียงฮั่น เป็นหญิงสาวที่ดี  แต่ สกุลจวินของเจ้านั้นกวาดต้อนนาง !  พวกเราสองคนนั้นมีความหมายต่อกัน !  ข้าเพียงช่วยนางออกจาขุมนรก  ผิดอันใด ?  ยิ่งกว่านั้น พี่ของเจ้าก็ตายมาหลายปีแล้ว  เจ้าต้องการให้นางอยู่กับความทรงจำของพี่ชายที่ตายไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ ?  ตรรกกะอันใดกัน ? “

ใบหน้าของ ลี่เติ้งหยวน แดงก่ำ  เขาเริ่มมีโทสะในทันที  ปกติแล้วเขาไม่ยอมให้ใครมาดูถูกชื่อเสียงของเขา  เช่นนั้้น เขาจึงเล่นลิ้นเอ่ยวาจาเหล่านั้นอย่างเร่งรีบ

 

” เจ้าทั้งสองมีความหมายต่อกัน ?  เจ้าช่วยนางจากนรก ?  เจ้ายินยอมให้นางทำเรื่องนี้ด้วยหรือ ? “

จวินโม่เซี่ยมองขึ้นฟ้าและหัวเราะลั่น

” ข้าไม่เคยรู้่วางมีผู้ที่ไร้ยางอายเช่นนี้อยู่ในโลก !  ข้าเริ่มที่จะยอมรับสิ่งนั้น  อย่างไรก็ตาม เจ้าเป็นผู้ช่ำชองการบิดเบือนความจริง และกลับถูกเป็นผิด  เจ้าพยายามฉุดหญิงสาว และหญิงผู้นั้นเป็นสะใภ้ของอีกสกุล  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังขู่ทำลายสกุลของหญิงสาวหากพวกเขาไม่ส่งนางให้เจ้า !  นั้นมิใช่สิ่งที่เจ้าหมายถึงเมื่อเจ้าเอ่ยว่าเจ้าทั้งสองมีความหายต่อกัน และเจ้าต้องการช่วยนางจากขุมนรกหรอกหรือ ?!  เจ้านั้นช่างโดดเด่นอย่างแท้จริง !  วันนี้ ข้า อันธพาลอันดับหนึ่ง ต้องถอยอย่างไม่มีทางเลือกเพื่อมอบตำแหน่งนี้ให้สำหรับ คุณชายน้อยลี่ และ ข้าควรเขียนเชื่อของเขา ไว้บนธงแห่งอันธพาล !  ข้ายอมรับความไร้ยางอายของเจ้าอย่างจริงใจ มันเป็นเลิศที่สุดในโลกล้า ! ”

 

ผู้คนจากสกุลทรงอำนาจรวมกันที่ลานนี้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องนี้  แต่ พวกเขาเหลือบมอง ลี่เติ้งหยวน ด้วยความเหยียดหยามหลังจากได้ยินเด็กหนุ่มทั้งสองพูดคุยกัน  มณฑลฉือฮั่นเป็สกุลที่มีอำนาจสูงส่งแต่ เรื่องนี้อุกฉกรรรณ์ยิ่งนัก  อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่เกี้ยวกราดเหล่านี้ ไม่เกรงกลัวผลใดๆก็ตามที่จะเกิดขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งที่อุกอาจเช่นนี้

 

ผู้คนในโลกนี้ให้ความสำคัญกับคุณธรรมอย่างมาด  อย่างไรก็ตาม ลี่เติ้งหยวน ได้ละเมิดบรรทัดฐานของพวกเขาอย่างมาด หากเขาได้ทำสิ่งเหล่านี้

 

” นั้นจักมากเกินไป !  พวกเราไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันอีก ! ”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยโทสะดังออกมาจากกระโจม  มิได้ดังมาก แต่เสียงที่สะท้อนออกมาทำให้ทุกคนสั่นไหว

 

เงาร่างจำนวหนึ่งค่อยๆเดินออกมาจากกระโจม และกลิ่นไอสูงส่งปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่

 

คนแรกนั้นสูง  เขามีใบหน้าที่หมองคล้ำ หนวดเคราสีดำสามสายล่องลอยตามสายลม และอกลงมาที่อกของเขา  ดวงตาของเขาปลดปล่อยพลังอำนาจ  พวกมันมิได้เต็มไปด้วยความทะนงในศักดิ์ศรี  แต่ เปล่งพลังอันยิ่งใหญ่ออกมาอย่างเป็นธรรมชติ  ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าคนผู้นั้นมีความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์

 

มันมิได้หมายถึงความทะนง  อย่างไรก็ตาม เขาทำให้ทุกคนรู้สึกไร้ค่าในสายตาของเขา  รู้สึกได้ว่า ท้องฟ้าเบื้องบนก็มิอาจหาญแข่งขันกับเขา

 

คนผู้นี้คือผู้ที่ตะโกนขึ้นเมื่อครู่นี้

 

จวินโม่เซี่ย ไม่เคยเห็นเขามาก่อน  แต่เข้ารู้วาคนผู้นั้นมีอายุราวสี่ห้าสิบปี … และมีชื่อเสียงมาตลอดในช่วงหกสิบปีที่ผ่านมา  เขามิใช่ใครอื่น นอกจาก ยอดปรมาจารย์ ลีจื้อเทียน !

 

ไม่มีนอกจาเขาที่จักทรงพลัง และมีท่าทางที่สั่นสะเพื่อนชั้นฟ้าได้ !

 

ยอดปรมาจารย์ ลีจื้อเทียนต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี  แต่เขายังคงดูหนุ่ม !  จวินโม่เซี่ย วิจารย์เขาในใจ

ไม่ประหลาดใจที่ตาเฒ่าอายุร้อยปีมีลูกชายที่อายุเพียงยี่สิบ  ดูเขาสิ !  ไม่ประหลาดใจเลยหากเขาจักมีลูกเพิ่มอีสักสองสามคน

 

เขาคือ… สัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง !

 

ผู้ที่ตาม ลีจื้อเทียน มานั้นคือ ยอดปรมาจารย์แห่งชีวิตและความตาย ฉีฉางเซี่ยว และปรมาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ย ปรมาจารย์เหยี่ยวสวรรค์ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และอีกคนหนึ่ง คนผู้นี้ดูเยือกเย็น  ใบหน้าของเขาเป็นเหมือนหน้ากากดำ  ชุดของเขาสีดำ รวมถึงรองเท้าของเขาด้วย  ฝักกระบี่ที่ห้อยออกมาจากสะโพกของเขาก็เป็นสีดำ รวมไปถึงด้ามของมัน

 

คนผู้นั้นมีลักษณะคล้ายดั่งมีดสีดำ  เขายืนอยู่อย่างสงบนี่ แต่ทุกคนยังรู้สึกราวกับพลังของกระบี่กดทับตัวพวกเขาอยู่

 

พลังของกระบี่ของเขาสามารถประจันกับสวรรค์ทั้งเก้าชั้นได้ !  คนผู้นี้มิใช่ใครอื่นนอกจากคนที่ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวต่อสู้ด้วยเมื่อหลายปีก่อน  พายุกระบี่สวรรค์ เฟิงจวนจุ้น เดิมทีเขามิได้อยู่ใน แปดเซี่ยนผู้ยิ่งใหญ่ แต่กระนั้นชื่อของเขาเพิ่งถูกรวมเข้าไปอยู่ในแปดเซียน  เขายังเป็นมือกระบี่ไร้เทียมทาน

 

อย่างไรก็ตาม คุณชายน้อยจวินมั่นใจว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ได้ทิ้งห่างคู่แข่งของเขาไว้เบื้อหลังแล้ว  ท้ายที่สุด เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ได้บรรลุไปได้หลังจากได้รับคำแนะนำจาก คุณชายน้อยจวิน

 

” เมื่อทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว ข้าขอให้ผู้ตำของ ก๊กเหล่าต่างๆ มารวมตัวกัน และวางกลยุทธ์เพื่อขับไล่ศัตรู ”

ลีจื้อเทียนมองไปรอบๆอย่างไม่รีบร้อน  เขาไม่ได้เอ่ยถึงการโต้แย้งของ คุณชายน้อยจวิน และลูกชายของเขา

 

ท่าทางของเขาดูสงบ  อย่างไรก็ตาม เขาเหลือบมองไปยังจวินโม่เซี่ย และคุณชายน้อยจวินรู้สึกราวกับมี มีดบินอันแหลมคมแทงมาที่เขา  ความจริง จวินโม่เซี่ยรู้สึกว่าสายตาของเขานั้นเฉียบคมคนเหมือนจะทิ่มแทงดวงตาของเขา  คุณชายน้อยจวิน อดที่จะรู้สึกสั่นกลัวไปถึงก้นบึ้งแห่งจิตวิญญาณของเขามิได้

 

ข้าต้องคอยระวังเขาจากก้นบึ้งหัวใจ !

 

เขายังไม่คู่ควร !

 

ไม่มีผู้ใดที่คู่ควรกับเขา !

 

นี่คือครั้งแรกที่จวินโม่เซี่ยรู้สึกหดหู่ที่สุดในชีวิต

 

เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับ ยอดปรมาจารย์ชั้นสูงเช่นนี้มาก่อน  คุณชายน้อยจวินไม่อาจเอ่ยปากออกมาและหัวเราะอย่างอิสระออกมาได้ง่ายเหมือนกับ ฉีฉางเซี่ยว เล้ยวูเบ้ย หรือ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกไร้ความสามารถอย่างรุนแรงเมื่อเผชิญกับ สายตาของ ลีจื้อเทียน

 

นี่เหมือนกับ จิตสังหาร  !  ไม่มีผู้ใดสามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อย เมื่อเมล็ดพันธ์แห่งความกลัวได้ถูกปลูกเข้าไปในจิตใจของเขา

 

อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยมีโทสะอย่างมาก เนื่องจาก ยอดปรมาจารย์พยายามที่จะปิดบังความผิดพลาดของลูกชาย  ความจริง คุณชายน้อยจวินเดือดดาลด้วยโทสะ !

 

เจ้าคือยอดปรมาจารย์อันดับสอง  แต่เจ้ายังเอาตัวเองมาเกี่ยวข้องกับ การทะเลาะกันของเด็กสองคนที่ล้างแค้นและระบายความโกรธของลูกชายของเจ้า !  น่าอับอายยิ่งนัก !

 

เจ้ายอดปรมาจารย์อันดับสองต่ำช้า นี่เป็นเพียงการเสแสร้ง !

 

อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่า ลีจื้อเทียนให้้ท้ายลูกชายอย่างแท้จริง

 

เขารู้ดีว่าลูกของเขานั้นผิดในเรื่องนั้น  แต่ เขายังไม่เอ่ยสิ่งใดเพื่อแก้ไข … และจากนั้น เขาได้จ้องมองด้วยความโกรธมายังสกุลของเหยื่อ !

 

ในที่สุด จวินโม่เซี่ยก็เจ้าในว่า เหตุใดที่ สองราชัญอสูรเชวียนเห็นด้วยเพียงแต่หักขาลูกชายของคนผู้นั้น … และไม่เอาชีวิตของเขาไป  และ แม้จะทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจาก ลีจื้อเทียน ท้ายที่สุด เขาก็ได้ทำ การอัญเชิญสูงสุด แทนการเจรจา  ในที่สุดคุณชายน้อยจวินก็ได้รู้ว่า เหตุใดที่สถานการณ์ได้มาถึงจุดนี้

 

จวินโม่เซี่ยหลับตาอ่างรวดเร็ว  จากนั้น เขาได้กระตุ้น เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ และขับไล่ความรู้สึกกลัวนั้นออกไป

 

อย่างไร หัวใจของเขาก็ได้สั่นไหวด้วยความกลัว

 

ความแข็งแกร่งของ ลีจื้อเทียนนั้นสูงส่งยิ่งกว่า ยอดปรมาจารย์ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และ ยอดปรมาจารย์อันดับห้า เล้ยวูเบ้ย มากมายนัก

 

เขานั้นคู่ควรได้ชื่อว่า ผู้ที่ทรงพลังอันดับสองในวัยของเขา

 

ทุกคนเห็นด้วยกับวาจาของ ลีจื้อเทียน และไม่อาจคาดได้ว่า ไม่มีผู้ใดเห็นถึง ท่าทีร่าเริงที่ ลีจื้อเทียน แสดงให้แก่ จวินโม่เซี่ย

 

อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าเขาก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรม แม้จะมีคนเห็น  ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ใดจะกำหมัดต่อสู้กับ ยอดปรมาจารย์อันดับสองเพื่อเด็กหนุ่มและอันธพาล ?  เขาเชื่อว่าไม่มีผู้ใดเลือกทำเช่นนี้ …

 

ทุกคนเริ่มกลับไปยังกระโจมของตัวเอง  แต่ทันใดนนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องยาว ดังมาจากที่ใหนสักที่  ทุกผู้สะดุ้งตกใจ   จากนั้นพวกเขาจึง เงี่ยหูฟัง

 

เสียงกรีดร้องเพิ่มมากขึ้น  ราวกับว่ามันอยู่ซักที่  เสียงเดินทางไปมาระหว่างช้องว่างของกระโจมจำนวนมาก  และจากนั้นมันก็เปลี่ยนจากเสียงที่แทบจะไม่ได้ยิน …​เป็นเสียงดังสนั่น  ราวกับสวรรคืแตกเป็นเสี่ยงๆ  เสียงกรีดร้องนี้ ทำให้คนหูหนวกได้

 

” ฉึบ … ”

ทหารจำนวนมากของ นครสวรรค์ใต้ เงยหน้าขึ้นอากาศ และเริ่มมีเลือดพุ่งออกมาจากปากของพวกเขา  เสียงกรีดร้องดังลั่น และทำให้ร่างของพวกเขาสั่นอยู่ด้านใน และทำให้พวกเขาบาดเจ็บ  ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ส่งเสียงเหล่านั้นอยู่ห่างออกไปราว ห้ากิโลเมตรเป็นอย่างน้อย

 

พลังเช่นนั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนัก !

 

จากนั้น เสียงกรีดร้องที่บ้าคลั่ง และดุร้ายก็หายไปชั่วขณะ  ความจริงมันหยุดลง หลังจากส่งเสียงคำราม  ทันใดนนั้น ทุกคนก็ได้รู้ว่าเสียงเหล่านั้นไพเราะอย่างมาก

 

เสียงนั้นเพิ่งเบาลง  จากนั้น อสูรเชวียนนับล้าน จากป่า เขาและแม่น้ำ ยกหัวของพวกมันขึ้น และคำราม กรีดร้อง และเห่าหอนเพื่อตอบ  เสียงของ อสูรเชวียนสิบล้านคล้ายดั่งคลื่นยักทรงพลัง …​หรือดินถล่มที่น่าหวาดกลัว

 

ผู้คนที่อยู่ที่นี่ เริ่มตัวสั่นหวาดกลัว

 

เสียงกรีดร้องที่ดังและคมชัดนั้น ทำให้เมฆที่ปกคลุมอยู่บ้านท้องฟ้า…หายไป  พวกมันถูกผลักออกไปด้วยพลังของเสียงกรีดร้องนี้ !

 

ท้องฟ้าเริ่มกระจ่างใส !

 

สีหน้าของ ลีจื้อเทียนเคร่งขรึมอย่างมากขณะที่เขามองออกไปไกล  เขามิอาจซ่อนความตื่นตกใจที่มีต่อเสียงกรีดร้องนี้ได้

” ราชัญ..แห่ง… เถียน….ฟา…มาถึงแล้ว ….”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด