Otherworldly evil monarch จอมโฉดแห่งโลกหน้า มือสังหารมือพระกาฬ – ตอนที่ 333

อ่านนิยายจีนเรื่อง otherworldly evil monarch ตอนที่ 333 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

” ถูกต้อง !  เด็กหนุ่มที่มีระดับปราณเพียงนี้และมาต่อสู้กับอสูรเชวียนนั้นก็เป็นเหมือนการเอาชีวิตมาทิ้ง  แม้แต่ ยอดฝีมือเชวียนหยกยังไม่มีโอกาสได้เอาชีวิตรอดเมื่อเผชิญหน้ากับอสูรเชวียนระดับสูง  จักเป็นอันใดได้อีกหากไม่ใช่การเอาชีวิตมาทิ้ง ?  ดังนั้น จะบอกว่าเขาเป็น เหยื่อสังหาร ก็ได้ไม่ยากนัก ”

ตงฟางเหวินเจี้ยนยิ้มอย่างโหดเหี้ยม

” โม่เซี่ย อย่าได้เชื่อว่าเคล็ดวิชาความคล่องตัวของเจ้านั้นยอดเยี่ยมเกินไป เจ้าจักพบว่าการหลีบหนีนั้นยากนักหากถูกโดนเข้าไปในหมู่ศัตรู  แม้น กระบวนท่า อันแปลกประหลาดของเจ้าก็มิอาจช่วยเจ้าได้หากถูกพวกมันล้อมเอาไว้  เช่นนั้นเจ้าต้องไม่หุนหัน  และเจ้าต้องไม่หลุดไปนอกสายตาของพวกเรา ! ”

 

” แต่เด็กผู้นั้นอายุเพื่อยี่สิบหน้า ยี่สิบหก  และ ชันเจนว่าเขาอยู่ในระดับเชวียหยกสูงสุด  ข้าเชื่อว่า เข้าก้าวหน้ามาไกลจาก ปฐพีเชวียน เช่นนั้น เขามีความสามารถที่หาได้ยาก ที่มีฝีมือเช่นนี้ในวัยเดียวกัน เหตุใดพวกเขาจึงไม่เก็บผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ไว้ไกล้ตัว ?  เหตุใด สกุลเปียลี่ ถึงปล่อยให้เด็กผู้นี้เอาชีวิตมาทิ้ง ?  นี่ไม่ใช่เรื่องน่าสังเวชหรือ ? “

จวินโม่เซี่ยถามทีท่าสงสัย

 

” เหตุผลนั้นไม่ยากเข้าใจ  ความจริง นั้นง่ายดายนัก เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้เกิดจากเมียหลวงของสกุล !  แม่ของเจาเป็นเมียน้อย ! ”

ตงฟางเหวินชิงดูเสียใจขณะที่เขายิ้ม

 

” เด็กผู้นั้นมีนาว่า ไป๋ลี่หลัวหยุน เขาคือผู้หนึ่งที่มีพรรสวรรค์ที่หาได้ยากที่สุดที่เกิดมาในสกุลไป๋ลี่  สกุลที่ฝึกฝนปราณเชวียนจักมีสมาชิกที่มีวรยุทธสูง สะสางเส้นลมปราณของเด็กทารกเกิดใหม่  สิ่งนี้ทำให้ลดโอกาสที่เด็กจะเจ็บป่วย  ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้จักช่วยวางรากฐานการฝึกวรยุทธูในอนาคต

 

“แต่ ไม่มีผู้ใดสางเส้นลมปราณของ ไป๋ลี่หลัวหยุน ในตอนที่เขาเกิด แต่ไม่สำคัญเนื่องจากเขาได้เริ่มฝึกฝนตั้งแต่อายุสามขวบ และเขาได้บรรลุขั้นเชวียนเก้าเมื่ออายุสิบปี  ความจริงเขาได้ไปถึงขั้นเชวียนเงินสูงสุดในช่วงอายุสิบห้า และบรรลุไปขั้นเชวียนทองไม่นานจากนั้น  หลังจากนั้น เขาบรรลุขั้นเชวียนทองไปยังหยกเชวียนในวัยยี่สิบ  และ ตอนนี้เขาอยูในชั้นหยกเชวียนสูงสุด  บอกได้อย่างง่ายได้ว่าเขานั้นเป็นเลิศในวัยของเขาหากมองที่ฝีมือการบำเพ็ญ  มีไม่กีคนนักที่สามารถเทียบกับผู้นี้ได้  อย่างไรก็ตามมันเป็นความจริงที่ตัวเจ้ามิอาจนำไปเทียบได้ เนื่องจากเจ้าสามารถต่อสู้กับเทพเชวียนได้ด้วยความสามารถในการเคลื่อนไหวของเจ้าแม้นจะเป็นยอดฝีมือเชวียนหยก ความจริงเจ้าอาจชนะด้วยการเคลื่อนไหวของเจ้า  เจ้านั้นมีพรสวรรค์ที่ชั่วร้าย ! ”

 

” แต่เจ้าเด็กผู้นี้นั้นมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและหาได้ยาก  เขาอาจไม่ได้เป็นลูกแท้ๆแต่อเขาก็ไม่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ถูกหรือไม่ ?  เขายังคงเป็นสายเลือดแม้ว่าจักเป็นลูกนอกสมรส  เช่นนั้น มันจักต่างอันใดหากเขามิได้เป็นทายาทของสกุล ?  เขายังเป็นยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์อันหายากในวัยเดียวกัน ! ความจริง มันสามารถจินตนาการได้ว่าเขาสามารถก้าวไปยังขั้นสวรรค์เชวียนภายในสิบปีจากความเร็วในการพัฒนาของเขา และสิ่งที่เขาเคยทำมาในวัยเด็ก  ยิ่งกว่านั้น เข้าอาจจะไปยังขั้นเทพเชวียนในวัยสามสิบ !  ท่านกำลังบอกข้าว่าพวกเขาละทิ้งความสามารถเช่นนี้เนื่องจากเขามิใช่ลูกแท้ๆ ?  สกุลเปียลี่ มิได้โง่เขลาหรอกหรือ ?  “

จวินโม่เซี่ยตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน  เขาพบว่ามันยากที่จะเข้าใจในเรื่องเช่นนี้

 

 

สำคัญที่จักต้องรู้ว่าเด็กหนุ่มที่มีความสามารถเช่นนี้นั้นหาได้ยากยิ่ง และ ความจริงนี้มิได้มีไว้สำหรับสกุลที่ทรงอำนาจของโลกเพียงอย่างเดียว … แม้แต่ นครพายุหิมะสีเงิน และ มณฑลฉือฮั่น ก็ได้เห็นความสามารถเช่นนี้ในชีวิตครั้งหนึ่ง  ในความจริง เป็นการยากที่จักพบพวกเขาจำนวนมากแม้นว่าจักค้นหาทั่วทั้ง ดินแดนเชวียนๆ  และ สกุลอื่นๆก็จักรักษาผู้ที่มีพรสวรรค์เชวนนี้ดั่งอัญมณี และดูแลเขาอย่างใกล้ชิด  ความจิรง คนเช่นนี้จักได้รับการดูแลเช่นเดียวกับที่ สามพี่น้องตงฟางดูแลความปลอดภัยของจวินโม่เซี่ย เช่นนั้นจึงต้องเห็นความสำคัญของเด็กเหล่านี้

 

” นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีอย่างอื่นอีก  พ่อของเขาคือเหตุผลหลักที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้  ปู่ของเขาคือพ่อแท้ๆของเขา  เขาเมาและข่มขืนสาวใช้ และหลังจากนั้นเขาก็สร้างความสัมพันธ์กับนาง  และ หลัวยุ่น ได้เกิดมาจากความสัมพันธ์นั้น และลูกชายคนโตของสกุลด้วย  อย่างไรก็ตาม สกุลเปียลี่ มอเคนยอมรับในสถานะของเขา  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้ทารุณเด็กเหล่านั้น  ความสามารถโดยกำเนิดทำให้เขาแปลกประหลาดยิ่งขึ้น  และ การปฏิบัติเริ่มแย่ลงขณะที่วรยุทธเชวียนของเขาดีขึ้นจากพรสวรรค์ที่โดดเด่นของเขา  ดังนั้น ตัวตนที่น่าอับอายในสกุลของเขาหมายความเขาได้รับการปฏิบัติอย่างคนรับใช่  ในความจริง คนรับใช้ยังได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า  สิ่งนี้นำความแค้นมาสู่หัวใจของเขา และเขาก็ต้องการจักล้างแค้น  ความรู้สึกอยากแก้แค้นนี้เริ่มมีมากขึ้นเมื่อเขาได้บรรลุไปถึงขั้นเชวียนหยก  และจากนั้น เหตุการณ์ร้ายได้บังเกิดขึ้น …. ”

 

ใบหน้าของ ตงฟางเหวินชิงเต็มไปด้วยความเวทนา ขณะเอ่ยต่อ

” แต่สิ่งนั้นคือ … เขามิได้เป็นต้นเหตุ  ในความจริง เรื่องนี้ง่ายดายยิ่งนัก  เขาเพิ่งกลับบ้าน และ คุณชายน้อยตัวจริงพยายามสร้างปัญหาให้เขา  เริ่มส่อเสียดเขา และได้รับการตอบโต้อย่างรุนแรงจากเขา  เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังโทสะนั้นง่ายที่จักเข้าใจ  เขามิได้มีสถานะใดในสกุล แม้นวรยุทธของเขาจักล้ำหน้าเกินกว่าผู้อื่น ที่ได้รับการช่วยเหลือจากภายนอก และสางเส้นลมปราณตั้งแต่ยังเล็ก ”

 

” แต่กระนั้นเขายังเป็น สายเลือดของสกุล  และ สายเลือดนั้นสำคัญอย่างมาก  นั้นคือเหตุผลหลักที่เขายังไม่โดนสังหาร  แต่ บางคนในสกุล ไป๋ลี่ ไม่ต้องการปล่อยเขาไป  และ การเดินทางมายังเถียนฟาเป็นโอกาสทองในการกำจัดเขา ”

 

” เช่นนั้น … นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ! ”

จวินโม่เซี่ยถอนใจยาว  จากนั้นเขาพึมพัม

” ไป๋ลี่ หลัว ยุ่น…”

ประกายแสงเยือกเย็นปรากฏในดวงตาของเขา  ไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ความคิดของเขา

 

” แต่กระนั้น พวกเรารู้สึกว่าสกุลไป๋ลี่ ทำให้ตัวเองประสบกับความอันตรายเนื่องจากการกระทำนี้  เหมือนดั่งที่เจ้าเพิ่งเอ่ย… เด็กน้อยผู้นี้มีความสามารถชั้นเลิศตั้งแต่เกิด!  เขาเพียงตามหลังเจ้าอยู่น้อยนิด เราเชื่อว่าเขาจักได้กลายเป็น ยอดปรมาจารย์ คนใหม่ในวัย สามสิถึงห้าสิบ ! “

 

” เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรู้ว่า ความแข็งแกร่งของสกุล และชื่อเสียงจักเพิ่มขึ้นหากพวกเขามีผู้ใดผู้หนึ่งเป็น ยอดปรมาจารย์ ผู้แข็งแกร่ง  นี่คือความจริงที่แสนพิเศษสำหรับสกุลที่ทรงอำนาจ  ในความจริง พวกเขาจักละทิ้ง สกุลอื่นๆได้ภายในการก้าวหน้าก้าวใหญ่เพียงหนึ่ง !

 

” นครพายุหิมะสีเงิน และ มณฑลฉือฮั่น มิต่างกัน  โอกาสที่คนเช่นนี้จักเกิดในสกุลใดๆนั้นมีเพียงหนึ่งในร้อยปี … หนึ่งเดียวในช่วงอายุ  เช่นนั้น ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดสกุล ไป๋ลี่ จึงทิ้งโอกาสนี้ … สิ่งนี้ทำให้ข้าเสียใจกับการตัดสินใจของพวกเขา  ข้าหมายถึง … เหตุใดสกุล ไป๋ลี่ ถึงคิดสั้นนัก ?  หรือพวกเขากลัวว่าเขาจักล้างแค้น เมื่อมีความแข็งแกร่งเพียงพอ …. ?  หรือจักมีเหตุผลอื่น … ! “

 

ตงฟางเหวินชิงพยักหน้า และหัวเราะอ่อนโยน

” แต่พวกเรามิได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย  ในความจริง มันเป็นการดีสำหรับพวกเราที่ ยอดปรมาจารย์ จักถูกกำจัดไปโดยเร็วที่สุด  ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้เรามีเหตุผลที่ต้องฉลอง  ในที่สุด  วีรบุรุษนั้นเกิดขึ้นจากกองกระดูกของผู้อื่น  และ ทุกผู้ที่แข็งแกร่ง ที่อยู่ในจุดที่สูงที่สุดจักมีมือที่เปื้อนเลือด  พวกเราเก้าสกุลมีใช่ศัตรูกันอย่างแน่นอน  แต่พวกเราคือคู่แข็งชั้นเลิศ “

 

ผู้นำของทุกก๊กทรงอำนาจที่ยืนอยู่บนที่สูงตลอดเวลา  แต่ ในที่สุดพวกเขาเริ่มลงมาแล้ว  จากนั้นพวกเขาตัดสินใจไปยัง ศาลาว่าการ เพื่อถกเรื่องต่างๆ  ตงฟางเหวินชิง เหลือบมองออกไป และเอ่ย

” ข้าจักตามลุงสามของเจ้าไปประชุม เนื่องจาก พวกไร้ค่าจากนครพายุหิมะสีเงิน คงไม่หยุดเยาะเย้ย  แต่พวกเขาจักไม่ทำสิ่งล่ำเส้นหากข้าอยู่ใกล้ๆ ”

จากนั้นเขาหัวเราะนุ่มนวลและจากไป  เขาผลักเก้าอี้เลื่อนของจวินวูอี้อย่างนุ่มนวลตรงไปยัง ศาลาว่าการ หลังจากนั้น

 

จวินโม่เซี่ย มองไปยังลุงสามผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อน และคิด ….

ตอนนี้ขาของลุงสามหายเป็นปกติแล้ว  แต่ข้าไม่รูว่าเมื่อใหร่ที่เขาจักสามารถยืนได้อย่างเหมาะสม … เมื่อใหร่กันที่ ขุนพลเลือด จักยืนหยัดได้อย่างภาคถูมิใจและแสดงความยิ่งใหญ่ต่อหน้าคนทั้งโลก ?

 

อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง  ความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยม … !

 

และความแข็งแกร่ง มีค่าเท่ากับ … พรสวรรค์ …

 

จากนั้น จวินโม่เซี่ยก้าวยาวตรงไปหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย  และเขาเริ่มเดินตรงไปหา ไป๋ลี่หลัวหยุน

 

คนอื่นๆจากสกุล ไป๋ลี่เริ่มมุ่งหน้ากลับแล้วในตอนนี้  สามบุรุษหัวเราะและพูดคุยกันอย่างอิสระขณะที่พวกเขาเข้าในกระโจม  พวกเขาไม่แม้แต่เหลือบมมอง ไป๋ลี่หลัวหยุน ผู้ที่ยืนอยู่ตรงทางเข้า  ความจริง ไป๋ลี่เซี่ยวเฟิง ผู้นำสกุลไป๋ลี่ บังเอิญมองไปข้างหน้าขณะที่เขาเข้าไปใน ศาลาว่าการ เพื่อถกเรื่องเร่งด่วน

 

ไป๋ลี่หลัวหยุนมองไปยังเมฆบนท้องฟ้าอย่างไร้ชีวิต  เขาขื่นขมอยู่ภายในแต่ก็ฝืนยิ้ม

อีกกี่วันที่ข้าจะยังอยู่ในสถานการณ์สับสนเช่นนี้ ?  อสูรเชวียนนับพันนี้จักทำให้ข้ากลายเป็นศพหรือไม่ ?  นี่จักเป็นจุดจบของข้าหรือไม่ ?

 

ไป๋ลี่หลัวหยุน รู้ชัดเจนถึงสิ่งที่สกุลของเขาทำกับเขา

 

” สกุลไป๋ลี่จักไม่หยุดจนกว่า หลัวกยุนจักตาย ”

นี่คือวาจาของคุณชายน้อยสกุลไป๋ลี่ บอกแก่พ่อของ ไป๋ลี่หลัวหยุน เมื่อเขาบรรลุถึงขั้นเชวียนเก้าในวัยสิบปี  และ ไป๋ลี่หลัวหยุน ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้วาจานี้ตั้งแต่นั้นมา

 

บางครั้งข้าก็ประหลาดใจกับวาจาถากถาง  เด็กจะได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากสกุลของเขา  และ ทุกคนได้เห็นพรสวรรค์ของข้า  เช่นนั้นเหตุใดสกุลไป๋ลี่จึงทำกับข้าเช่นนี้ ?

 

เรื่องนี้เลยเถิดเกินปแล้ว … ความจริงกลัวว่าข้าอาจจะหนีไป และเช่นนั้นเช่นนั้นเขาจึงขู่เอาชีวิตข้าและท่านพ่อหากข้าไม่ลงใต้มาสถานที่นี้  เขาทำเช่นนั้นเพื่ออันใด ?  และท่านพ่อก็หลีกเลี่ยงเรื่องนี้ในตอนที่ข้าพบาบามเอ่ยถึง  มีเพียงวาจามีค่าเดียวที่เขาเอ่ยกับข้าคือ

“อนิจจา หลัวหยุน ความต้องการล้างแค้นของเจ้านั้นรุนแรงนัก  มันจักดีกว่าหากเจ้าไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ให้มากนัก …. ”

 

” ความปรารถนาที่จักแก้แค้น ? ” เมื่อใหร่กันที่ข้าต้องการก่อปัญหา ?  ข้าจักตอบโต้ด้วยความหลัวหรือหากคนเหล่านั้นไม่ล้ำเส้น ?  คนจักไม่ต่อต้านต่อพฤติกรรมที่ข้าต้องประสบในวันนั้นได้อย่างไร?  หรือจะเป็น … ?  หรอจักมีเหตุผลอื่นที่ข้าไม่รู้ ?

 

ข้าจักกลับไปและหาคำตอบของปัญหาทั้งหมดหากข้าโชคดีพอที่จักมีชีวิตรอดในสถานที่เช่นนี้ …

 

ไป๋ลี่หลัวหยุนมีสีหน้านิ่งเฉยขณะที่เขาหันหลังและเข้าไปในกระโจม

 

พวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับข้า  แต่กระนั้น … เมื่อใหร่กันที่พวกเขาถือว่าข้าเป็นคนในครอบครัว ?  ยิ่งข้าตายเร็วเท่าใหร่ ยิ่งเป็นผลดีกับพวกเขาเท่านั้น ..​แต่ ทำไมกับข้ามันไม่เหมือนกัน ?!

 

ตอนนั้นเองที่เขาเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามาหาเขา

 

เขาไม่คุ้นเคยกับเด็กหนุ่มผู้นี้ แต่เขารู้ว่าเด็กผู้นี้มีนามว่า จวินโม่เซี่ย เขาได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเด็กผู้นี้  ดังนั้นเขาจึงรู้ว่า เด็กหนุ่มผู้นี้ อันธพาลยิ่งกว่าปู่สองและคนอื่นๆในครอบครัวของเขา

 

เขามองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่าจวินโม่เซี่ยเข้ามาใกล้เขา  เส้นทางของเด็กหนุ่มผู้นั้นชัดเจน และไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยิ่งกว่านั้น เขามีสีหน้าที่ผิดปกติมากบนใบหน้าของขาขณะมองไปยัง ไป๋ลี่หลัวหยุน

 

“​ไป๋ลี่หลัวหยุน ? “

จวินโม่เซี่ยเงยหน้าขึ้น และลองเรียกเขา

 

” จวินโม่เซี่ย ?  คุณชายน้อยสามแห่งสกุลจวิน … ? “

ไป๋ลี่หลัวหยุนมีสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน  เขารู็สึกไม่ตื่นกลัว หรือมีความสุขเมื่อรู้ว่าเด็กผู้นั้นตรงมาหาเขา  ความจริงเขาไม่พยายามเดาเหตุผลที่เขาถูกมองหา …

 

” เจ้าอยากไปทาที่นั่งคุยกันไหม ?  ตามข้ามา ”

จวินโม่เซี่ยเชิญชวน  มันคือวิธีการร้องขอ แต่น้ำเสียงของจวินโม่เซี่ยนั้นทำให้มันเหมือนคำสั่ง

 

เขาเป็นมือสังหารที่ห่างไกลในชีวิตก่อน  ดังนั้นเข้าจึงรู้ว่าวิธีที่จักจัดการกับบุคลิกที่แยกออกจากสังคม เแม้ว่านิสัยของเขาจะเปลี่ยนไปมากในชีวิตนี้

 

เราต้องไม่คาดหวังให้คนเช่นนี้เริ่มก่อน  พวกเขาจักปิดปากแม้นต้องการจักพูดสิ่งใดก็ตาม  จวินโม่เซี่ยรู้ดีเพราะเขาเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน …

 

วิธีการเดียวที่จัดการกับคนเช่นนี้ได้คือการควบคุมสถานการณ์โดยการเริ่มก่อน  จากนั้นคนผู้นั้นจักทำตามคำสั่งโดยไม่รู้ตัว  ความจริง พวกเขาจักพยายามก้าวตามจังหวะการเคลื่อไหวของเจ้าแม้นว่าพวกเขาไม่ต้องการ …แม้นว่าพวกเขาไม่มั่นใจ … หรือแม้ว่าพวกเขาไม่เต็มใจยอมรับ … นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ต้องการดูอ่อนด้อย และพยายามพูดกับเจ้าอย่างเท่าเทียม หรือ … อย่างน้อยพวกเขาจักมองหาโอกาสที่จักเท่าเทียมกัน …

 

” ข้าไม่พูดกับคนแปลกหน้า ”

ไป๋ลี่หลัวหยุน หันไปยอ่างเฉยเมย และเริ่มเดินเข้าไปในกระโจม

 

กระโจมเดียวกันกับที่เขาเกลียดชังสุดหัวใจ …

 

” ข้าได้ยินมาว่าเจ้าคือผู้หนึ่งที่มีพรสวรรค์ด้านปราณเชวียนที่หายากในวัยนี้  เช่นนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวข้ามิใช่หรือ ? “

จวินโม่เซี่ยก้าวขึ้นหน้า

 

เงาร่างสูงโปร่งของ ไป๋ลี่หลัวหยุนหยุดลงในทันที

 

” ข่าวลือบอกว่าเจ้านั้นอายุยี่สิบหก  พวกเขาบอกว่าเจ้าได้บรรลุไปถึงขั้นเชวียนหยกสูงสุด  แต่เจ้าไม่กล้าพูดกับข้า … ?  เจ้ากลัวข้าว่าแผนการทำร้ายเจ้าหรือ ? “

จวินโม่เซี่ยยิ้มชั่วร้าย

 

ไป๋ลี่หลัวหยุนหันกลับมาในทันที  ใบหน้าของเขายังคงไร้ความรู้สึก และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงบขณะที่เขามองไปยังคุณชายน้อยจวิน

 

” ราวกับข่าวลือนั้นผิดไป  และมันไม่น่าประหลาดใจ … เนื่องจากข่าวลือเก้าในสิบนั้นเชื่อไม่ได้ ”

จวินโม่เซี่ยหันหลังไป  แต่ก่อนจากไปเขาได้ทิ้งท้ายไว้

” และข้ากล้าหาญนัก แท้จริงแล้วข้าไม่ควรมาที่นี่ ”

แต่กระนั้น เขายังมิได้เดินไปที่กระโจม  เขาเดินไปข้างนอกแทน

 

เสียฝีเท้าของอีกคนหนึ่งดังตามเขามา  ไป๋ลี่หลัวหยุนเดินตามเขาไปอย่างเงียบๆ  เขาตามอยู่ไม่ห่าง….และใกล้จนเกินไป

 

ความภูมิใจเปล่งขึ้นในดวงตาของจวินโม่เซี่ย

 

” เจ้าจักคุยกับข้า ?  เหตุใดเจ้าไม่พูดอะไร ?

ไป๋ลี่หลัวหยุนจักกลับไปงีบที่กระโจมของเขาหากความสงสัยนี้ไม่เกิดขึ้นในหัวของเขา  และ เขาจักไม่ตามจวินโม่เซี่ยมาเช่นนี้อย่างแน่นอน …

 

จวินโม่เซี่ย ไม่หันหลังมาเลย … ความจริงร่างของเขาเริ่มเคลื่อนที่เร็วขึ้น และความเร็วในการก้าวเดินของเขานั้นเพิ่มขึ้นจนน่าปงระหลาดใจ  ไป๋ลี่หลัวหยุนไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว  แต่เขาก็ยังตามจวินโม่เซี่ยต่อไป  เขาไม่เดินเข้ามาใกล้ และไม่ทิ้งห่างมาก  สองเด็กหนุ่ม หยกเชวียนสูงสุดเดินตามกัน … ราวกับพวกเขากำลังไล่ล่า  อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดสังเกตุเห็นเด็กทั้งสองเพราะพวกเขาสนใจถึงการพูดคนในศาลาว่าการ

 

ในที่สุดคุณชายน้อยจวินค่อยๆเคลื่อนที่เร็วขึ้น  การเคลื่อนที่ของเขาเร็วยิ่งขึ้น  ไม่นานมันดูเหมือนว่าเขากำลังพุ่งจากพื้นขึ้นสู่อากาศ  และ ความห่างระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองเริ่มเพิ่มขึ้น …

 

ไป๋ลี่หลัวหยุน ที่มักเฉยเมยต่อโลกมาโดยตลอด  แต่ดวงตาของเขาเริ่มแสดงความประหลาดใจ

คุณชายน้อยผู้มีชื่อเสียงย่ำแย่ผู้นี้เร็วกว่าข้า ?

แต่เขายังไม่ยอมรับและเริ่มออกแรง  ตอนนี้เขายังมิอาจไล่ตามอีกฝ่ายได้  ความจริงเขาไม่แม้แต่เข้าใกล้เขาได้มากขึ้นเลย  และ ระยะห่างก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ …

 

ข้าล้มเหลวในการแข่งกันเรื่องความเร็ว

ไป๋ลี่หลัวหยุนิได้ยอมรับมันอย่างเปิดเผย  แต่เขาเข้าใจชัดเจนว่าผู้อีกผู้หนึ่งได้แสดงให้เห็นว่าอยู่เหนือกว่าเขาแม้นจะอยู่ในวัยเดียวกัน

 

อย่างน้อยในเรื่องของความเร็ว …

 

จวินโม่เซี่ยนำหน้าไปยังเนินเล็กๆที่หลบซ่อนอยู่ประมาณห้ากิโลเมตรข้างหน้า  เขาปีนมัน และนั่งลองอย่างรวดเร็ว  จากนั้นเขาเริ่มเอ่ยขณะที่ตบไปยังหญ้าที่อยู่ข้างๆเขา

” มานั่ง !

 

ไร้คำตอบ ไป๋ลี่หลัวหยุน ยืนตรงตรงราวหอกเช่นเคย  เขาคุยเคยกับการตื่นตัวเป็นเวลานานโดยไม่ให้ตัวเองพักผ่อนแม้แต่ชั่วครู่  เพราะทุกคนในสกุลของเขามีความพยายากจะสังหารเขาให้ได้ทุกครั้งที่มีโอกาส …

 

ดังนั้นเขาจึงเริ่มคุ้นเคยกับการระแวดระวังอยู่เป็นเวลานาน

 

อย่างไรก็ตาม วี่แววแห่งการยอมรับก็เริ่มเกิดขึ้นในดวงตาของเขา

 

” เจ้าต้องการอันใด ? “

ในที่สุด ไป๋ลี่หลัวหยุน ถาม เขาตระหนี่กับคำพูด  เขาดูเหมือนจะทะนุถนอมพวกมันราวกับทองคำ  ชายหนุ่มผู้นี้ไม่คุ้นเคยกับการพูดคุยยาวๆ  เขาจักเก็บความคิดเอาไว้ใกล้หัวใจเสมอ  ไป๋ลี่หลัวหยุน ถามคำถามนี้เพียงเพราะเขาถูกชักนำให้ทำเช่นนี้โดยจวินโม่เวี่ย

.เขาเด็กกว่าข้ามาก  แต่ วรยุทธของเขานั้นมิได้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย ….

 

” เจ้ามาที่นี่เพื่อเอาชีวิตมาทิ้งใช่หรือไม่ ? “

จวินโม่เซี่ยยังคงไม่หันไป  ความจริง เขามิได้หันหลังไปเลยตลอดการเดินทางมายังสถานที่นี้  คุณชายน้อยจวินมั่นใจอย่างมากว่า ไป๋ลี่หลัวหยุน จักตามเขามา  และ ไม่เพียงแค่ตามเขามา … เขายังพยายามไล่ให้ทันเขาด้วย

 

เห็นได้ชัดว่ามันทำให้มีความไม่สบายใจเกิดขึ้นในใจของ ไป๋ลี่หลัวหยุน

 

” มันเป็นกงการอะไรของเจ้า ? “

ไป๋ลี่หลัวหยุน ถามท่าทีเฉยชา

 

” ความจิรงนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า  ความจริง เจ้าจักไม่เป็นภัยกับสกุลข้าหากเจ้าตาย ”

จวินโม่เซี่ยยิ้มและเอ่ยต่อ

” แต่มีบางอย่างที่ข้าพบว่ามันประหลาดอย่างมาก  เจ้ามาที่นี่ทำไมเมื่อเจ้ารู้ว่าต้องตาย ? “

 

” นั่นมิใช่ธุระของเจ้า ! ”

ไป๋ลี่หลัวหยุนเอ่ยด้วยโทสะ  .เจ้าเหลือขอผู้นี้เอ่ยเรื่องไร้สาระต่อหน้าข้า !  เขารู้อะไรในสิ่งที่เขาเอ่ย ?

 

” ข้าเดาว่ามีใครบางคนขู่บังคับเจ้ามาที่นี่ใช่ไหม ? “

จวินโม่เซี่ยพึมพัม

” ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาขู่เอาชีวิตคนที่เจ้ารักที่สุดใช่หรือไม่ … ?  มิเช่นนั้นทำไมเจ้าถึงมาที่นี่เมื่อรู้อยู่แล้วว่าต้องตาย ?  เจ้าดูเหมือนคนโง่จากสิ่งที่ข้าเคยเห็นมา … ”

 

ไป๋ลี่หลัวหยุนไร้ว่าจา

 

การคาดเดาของอีกผู้นั้นนถูกต้อง  ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเข้าใจธรรมชาติของเขาได้อย่างแม่นยำ เขามิได้เอ่ยว่าจา แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ได้เห็นถึงความจริงผ่านเขา

 

นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับผู้ที่อายุน้อยกว่าเขา

 

” เจ้าต้องการเป็นผู้นำสกุลไปลี่มิใช่หรือ ? “

จวินโม่เซี่ยเคี้ยวก้านหญ้าครึ่งหนึ่งไว้ระหว่าฟัน  ดูราวกับเขากำลังพูดกับเมฆขาวเบื้องบน

” เจ้านั้นสงบ ใจดำ โหดร้าย และกล้าหาญอย่างมาก และเจ้าจะไม่หยุดเลย  ยิ่งไปกว่านั้น ความปรารถนาที่จักแก้แค้นของเจ้านั้นรุนแรงนัก  และเจ้าก็ปรารถนาในอำนาจเช่นกัน  เจ้าต้องการแก้แค้นแต่เจ้าก็ไม่แข็งแกร่งพอ  เจ้าไม่มีอนาคตในสกุล ไป๋ลี่  เช่นนั้น  เจ้าจึงปรารถนาที่จักทรงพลังที่สุดในสกลเนื่องจากเจ้าไม่สามารถแก้แค้นได้โดยไร้พลัง  ข้าพูดถูกหรือไม่ ? “

 

” และอีกครั้ง มันเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า ?  ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพยายามพูด ! ”

 

ไป๋ลี่หลัวหยุนน้ำเสียงไม่สุภาพ และเต็มไปด้วยความเกลียดชัง  อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยรู้ว่าวาจาของเขาทิ่มแทงหัวใจของเด็กหนุ่มผู้นี้  มิเช่นนั้นผู้สันโดษผู้นี้คงไม่เอ่ยวาจามากมาย

 

” แท้จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า  แต่ความปรารถนาของเจ้าจักไม่บรรลุผล หากเจ้ายังอยู่ในสกุล ไป๋ลี่ ”

จวินโม่เซี่ยยืนขึ้นและหันไปทันที  เขามองตรงไปยังดวงตาของ ไป๋ลี่หลัวหยุน และเอ่ย

” กระนั้น ข้าจักทำให้มั่นใจว่ามันจะเป็นจริงหากเจ้าเข้าร่วมกับข้า ! “

 

” เจ้า ? “

ไป๋ลี่หลัวหยุน เพ่งมองฝ่ายตรงข้ามเยือกเย็น

” เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้น ?  สถานการณ์ของสกุลจวินมิได้ดีเช่นกัน  และ สกุลไป๋ลี่เป็นหนึ่งในเก้าสกุลยิ่งใหญ่ เช่นนั้น ข้าก็รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับสกุลจวิน  สกุลของเจ้ามิอาจเทียบกับสกุลไป๋ลี่ได้เลยนตอนนี้ ! ”

 

” เจ้าผิดแล้ว  และ สกุลจวินของข้าไม่มีส่วนเดี่ยวข้องกับเจ้า  เช่นนั้น ทั้งหมดที่เจ้าต้องตอบคือ เจ้าจักเข้าร่วมกับข้าหรือไม่ ? “

จวินโม่เซี่ยยิ้ม

“มาคุยกับถึงสถานการณ์ของเจ้า  เจ้าต้องรู้ว่าเจ้านั้นไร้ความหวังแม้เล็กน้อยในสกุล ไป๋ลี่ เจ้าสามารถตายได้หลายสิบครั้งในการเดินทางครั้งนี้ด้วยนับล้านเหตุผล  เช่นนั้น ข้าเชื่อว่านี่คือโอกาสสุดท้ายที่เจ้าจักเลี่ยงความตายได้  และบางทีข้าอาจจะหลอกเจ้า …. และเจ้าได้ยอมรับว่าเจ้าอาจตายในการต่อสู้ที่ ป่าเถียนฟา หากเจ้าไม่คว้าโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ ความจริง ข้าเชื่อว่าแม้แต่กระดูกของเจ้าก็จักกลายเป็นอาหารอันโอชะของเหล่า อสูรเชวียน ! “

 

ไป๋ลี่หลัวหยุน เพ่งมองจวินโม่เซี่ยอย่างเงียบๆ  และ จวินโม่เซี่ยมองตอบด้วยรอยยิ้ม  ยังคนเป็นเช่นนั้นไปชั่วระยะ  จากนั้น ในที่สุดเขาเงยหน้าขึ้นและทำลายความเงียบ

” ข้าจักอยู่หรือตายมันสำคัญอย่างไร ?  มีชีวิต หรือ ตาย ไม่มีความหมายต่อข้า  ชีวิตข้าในโลกนี้ไร้ความสุข  และความตายนั้นหมายถึงอิสระ  ความจริง มันหมายถึงอิสระภาพที่มีความหายอย่างมากต่อคนเช่นข้า ”

 

” อิสระ ?  แต่ข้านั้นต่างออกไป  หากข้าตาย … ข้าก็เลือกที่จักตายหลังจากได้ล้างแค้นแล้ว ”

จวินโม่เซี่ยตอบอย่างสงบนิ่ง

 

” แก้แค้น …”

มันดูราวกับมีการระเบิดเกิดขึ้นในดวงตาของ ไป๋ลี่หลัวหยุน  วาจานี้พูดไปยังหัวใจของเขา  เช่นนั้นเขาจึงหันไปมองจวินโม่เซี่ยและเอ่ย

” ข้ามีสองเงื่อนไข ข้าสัญญาจะเข้าร่วมกับเจ้าหลังจากจบเรื่องที่ป่าเถียรฟา หากเจ้ายอมรับ

 

” อย่างแรก เจ้าต้องเอาชนะข้า  เจ้าต้องเอาชนะข้าด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า  ข้ารู้ว่าเจ้านั้นแข็งแกร่ง แต่ข้าต้องมั่นใจ  ท้ายที่สุดข้าก็จักเข้าร่วมกับเด็กที่มีความสามารถสูงสุด

 

” และอย่างที่สอง มีคนจากสกุลไป๋ลี่จำนวน ห้าคนมายัง นครสวรรค์ใต้ ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนสี่และข้า  ข้าต้องการให้พวกเขาสี่คนตาย

 

“ข้าจักติดตามเจ้าสิบปีหากเจ้าทำให้สองเงื่อนไขสีสำเร็จ และข้าจักจากไปหากเจ้าไม่สามารถทำให้ข้าสำเร็จปรารถนาได้ภายในสิบปีนั้น  อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ชีวิตข้าที่รับใช้เจ้าหากเจ้าสามารถทำให้มันสำเร็จได้ แต่จักเป็นชีวิตของคนทั้งสกุลไป๋ลี่ ! ”

 

จวินโม่เซี่ยได้ยินสองเงื่อนไขนั้น  จากนั้น เขาก้าวขึ้นหน้าและมองไปยัง ไป๋ลี่หลัวหยุน ด้วยรอยยิ้มเจือจาง ขณะที่เขาก้าวถอยและจากไป  เขาไม่หันหลังมามองจนลับสายตาไป

 

เงื่อนไขเหล่านี้ไม่มีปัญหากับข้า !  ตอนนี้ข้าสามารถจัดการกับเจ้าได้อย่างง่ายดาย  และ ข้าสามารถดูแลเพื่อนจากสกุลไป๋ลี่ได้อย่างแน่นอน !  เจ้าไม่คิดหาเงื่อนไขอื่นแล้วหรือ ?

 

เด็กน้อย รอจนกว่าข้าจักควบคุมเจ้าได้ !

 

จวินโม่เซี่ยใช้เคล็ดชั้นเลิศของเขา และกลับไปยังค่ายของเขาอย่างลับๆ  อย่างไรก็ตาม เขาประหลาดใจที่ได้เห็นกองกำลัง สองหมื่นตั่งกระโจมของพวกเขาเสร็จแล้ว  อีกทั้งพวกเขายังเริ่มคุ่มกันค่ายในตอนที่เขาไปถึง  ค่ายนี้อยู่ในเมือง  แต่พวกเขาก็ยังสร้างกำแพงป้องกัน  และพวกเขาก็ได้สร้างสิ่งกีดขว้างไวทั้งสองฝั่ง  คูน้ำ และกับดัก และ ธนูที่ว่าไว้สำหรับซุ่มโจมตี  ยิ่งกว่านั้น ทหารยามตรงทางเขานั้นตื่นตัว  พวกเขาแต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขะมักเขม้น  ขอบเขตของค่ายถูตรวจตราด้วยหน่วยลาดตระเวน

 

ช่วงเวลานั้นถูกแบ่งเป็นสี่กลุ่ม  สองกลุ่มจักทำหน้าที่เดียวกันพร้อมกัน  หนึ่งกลุ่มทำหน้าที่ขณะที่อีกกลุ่มเฝ้าระวัง  สิ่งนี้ทำให้มั่นใจว่ามีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา

 

คำสั่งที่เข้มงวดของกองทัพนี้ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะมีการลอบโจมตี  และ การเปลี่ยนกะเป็นประจำทำให้มั่นใจว่าทหารได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ

 

น่าเสียดายที่พวกเขาถูกส่งให้เผชิญหน้ากับ กบฏอสูรเชวียน ดังนั้น ทหารสามัยเหล่านี้ จึงไม่มีโอกาสรอดชีวิต  จวินโม่เซี่ยตระหนักถึงสิ่งนี้หลังจากเขาได้เห็นกองกำลังของ อสูรเชวียน

คนสองหมื่น … กับทหารของเขา เจ้าหน้าที่อันดับสูง ยอดฝีมือ คุณชายจากสกุลสูงส่ง เหล่านี้ … เป็นดังแมลงวัน พวกเขาถูกส่งมาตาย

 

คนเหล่านี้เป็นตัวเบี้ยร้อยเปอร์เซ็น !

 

จวินโม่เซี่ยถอนใจเบาๆก่อนจะเดินตรงไปยังค่ายของเขา

 

เขากำลังจะเข้าไปเมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศไม่ปกติ

 

กวนเซียงฮั่น ปลอบใจ ตู่กู้เซี่ยวอี้  เนื่องจากเรื่องบางอย่าง ใบหน้าอันงดงามของ คุณหนูตู่กู้เต็มไปด้วยน้ำตา  ราวกับนางได้รับเรื่องราวน่าเศร้าบางอย่างอย่าง

 

” เกิดอันใดขึ้น ? ”

 

” ฮืออ ฮือออ …. พี่โม่เซี่ย …. เจ้าขาวน้อย …หายไป ….”

ตู่กู้เซี่ยวอี้ มองเขา  จาหนั้น นางพุ่งตรงไปหากเขา และร้องไห้นำ้ตาไหลออกมา

 

” โอ้ เช่นนั้น มันหายไปตอนที่ข้าไม่อยู่ที่นี่ ? “

จวินโม่เซี่ยยิ้มเล็กน้อยในใจ

เจ้าพาตัวน่ารำคานมาที่นี่  และ ตอนนี้มันได้จากไปแล้ว ราชัญอสูรเชวียน ได้ออกคำสั่งให้อสูรเชวียนทุดตัวเข้าร่วม  เช่นนั้น เจ้าขาวน้อยก็มิได้รับข้อยกเว้นมิใช่หรือ ?  เจ้าขาวน้อย ยังอยู่ที่นี่ … และนั้นคือปัญหาที่แท้จริง !

 

” ฮืออ ฮือออ …​ไม่ ข้าต้องหาเขา … เขายังไม่ได้กินข้าว … ”

ตู่กู้เซี่ยวอี้ กังวลและโศกเศร้า  เจ้าขาวน้อยเป็นเหมือแอปเปิ้ลในสายตาของนาง

 

” พวกเรา… จะหาเขา … อาจจะ … เขาอาจจะออกไป …. เล่นสักพัก และไม่นานก็กลับมา ….”

จวินโม่เซี่ย ปลอบใจนาง

 

ในส่วนลึกของป่าเถียรฟา ….

 

กระเรียน และ หมีใหญ่ กำลังยืนตรงด้วยการเชื่อฟัง  มีอีกสองผู้ที่อยู่ข้างหลังเขา  ราชัญอสูรระดับเก้า จากทุกเผ่าที่อยู่ที่นี่ จากนั้น พวกเขาทั้งหมดหมอบลงกับพื้น อสูรจักเอาหางกวาดไปตามพื้นเป็นครั้งคราว  และ พวกเขาไม่ปล่อยให้มีฝุ่นละอองแม้แต่น้อยในพื้นที่เล็กๆนี้

 

ผู้ที่อยูตรงหน้าพวกเขาอยู่ในชุดคลุมสีดำอย่างลึกลับ ขนของเขา ใบหน้า ร่างกายและขา …. ทั้งหมดถูกปิดซ่อนไว้   แม้แต่ดวงตาของเขาก็มิอาจเห็นได้

 

แม้แต่รูปลักษณ์ของคนผู้นี้ก็ไม่ชัดเจน  เช่นนี้ ใครๆก็ลืมใบหน้าของเขาไปแล้ว …

 

” บอกข้า ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร ?  ข้าปลีกวิเวกไปเพียงสองปี และเจ้าได้ก่อปัญหาใหญ่โตเช่นนี้ ? ตอนนี้เจ้ากล้าพอที่ทำให้ ยอดฝีมือทั้งหมดมารวมตัวกัน ?  หือ ? “

คนลึกลับเอ่ยขึ้น  เขาคือ ราชัญแห่งเถียรฟาอย่างแท้จรอง ผู้เดี่ยวกับที่คุยกับลี่จือเทียนก่อนหน้านี้

 

” พี่ใหญ่ … นี่ …นี่ … ”

หมีใหญ่ และ กระเรียนร้อง และจากนั้นมองหน้ากัน  พวกเขาไร้วาจา

 

” คนของเรากว่าสามล้านมุ่งออกจากป่าเถียรฟา  และคนเหล่านั้นก็มีระดับหกอย่างต่ำ … ความแข็งแกร่งทั้งหมดของเถียรฟาถูกปลดปล่อย ”

ผู้ที่อยู่ในชุดคลุมคำรามทางจมูก

“เพียงแค่ลี่เจือเทียนนั้น จำเป็นต้องใช้กองกำลังจำนวนมากเพื่อจัดการหรือ ? “

 

” พี่ใหญ่ เรื่องนั้นมิใด้ตรงกับเรื่องนี้ …. ”

กระเรียนเอ่ย …จากนั้นเขาตีริมฝีปาก และกลืนคำที่เขาจะพูดเข้าไป

 

” เกิดอะไรขึ้น ?! “

ผู้ที่อยู่ในชุดคลุมปลดปล่อยพลังปราณออกมาอย่างไร้จำกัด

” ข้าต้องการรู้เรื่องทั้งหมด!  บอกข้า น้องหมี่สี่ ! ”

 

” ข้า ..ข้า …ข้า … ข้า…”

หมีใหญ่สั่นขณะเขาตอบตะกุกตะกัก

 

ร่างของคนสว่างวาปและหมีใหญ่เห่าหอนด้วยความเจ็บปวด  จากนั้นร่างของเขากลิ่งไปราวลูกบอล  เกิดเสียงดังขึ้นเมื่อเขากลิ่นไปไกล  แขนของเขาพยายามคว้าต้นไม้ใหญ่เพื่อหยุดการเคลื่อนที่ และต้นไม้เหล่านั้นหักลงก่อนเขาจะหยุด

 

” กลับมา ! ”

หมี่ใหญ่ประคองหลังส่วนล่างของเขาด้วยมือข้างหนึ่งเมื่อได้ยินคำนั้น  จากนั้นเขามีสีหน้าบูดบึ้ง และแสดงท่าทางเชื่อฟัง

 

“พูด ! ”

 

จากนั้น หมีใหญ่ดึงสีหน้าที่เจ็บปวดขณะที่นึงได้ว่าเขาขโมยแกนเชวียนระดับเก้าในนครเทียนเชียงได้อย่างไร  เขาเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาและ กระเรียนขมยแกนนั้นมา

 

” เจ้ากำลังบอกข้า …คนผู้นี้สามารถทำให้เราก้าวหน้าขึ้นไปอย่างง่ายดาย ?  เจ้าแน่ใจอย่างนั้นหรือ ? “

ราชัญอสูรเชวียนเริ่มตัวสั่น ผ้าที่ห่อตัวก็กระเพื่อมตามไปด้วย

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด