มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 1 วันแรกของความขายหน้าแห่งชิงซาน
สหายเก่าเชื้อเชิญ มั่นหมายเจอกัน ณ ขุนเขา จากตะวันตกมาไกลพันลี้ ในที่สุดได้ยลหลูซาน[1] ขอเพียงมีสุรา หยางสยง[2]ล้วนมิสนใจ ท้องฟ้าและชายชราข้างบ้าน มาปลอบประโลมความกลัดกลุ้ม
คล้ายดั่งห่านป่า พัดมาแล้วหายไป เรืออันวิจิตรล่องฉางเจียง[3] เหม่อมองฝั่งเจียงหนานลับหายไป สุดหล้าฟ้าเขียวยากแยกไกลไกล้ บทเพลงไร้ดนตรี ทั้งดอกสาลี่บานสะพรั่ง
(ซูมู่เจ๋อ[4] สมัยซ่ง : โจวจื่อจือ[5] )
……
……
รุ่งสาง จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยออกจากยอดเขาเสินม่อ
เขาพวกเดินทางโดยมิหยุดพักเป็นระยะทางแปดร้อยลี้ ออกจากศาลาหนานซง มาถึงเมืองอวิ๋นจี๋แวะกินหม้อไฟหนึ่งมื้อ
เจ้าล่าเยวี่ยกินซูโร่ว[6]ไปเจ็ดจาน ดื่มสุราผลไม้ไปสามขวด จิ๋งจิ่วลวกผักไม่กี่ใบ อีกทั้งยังใช้น้ำแกงใสในการลวก
หลังเที่ยง พวกเขาออกเดินทางต่อไปอีกหลายร้อยลี้ ก่อนจะมาถึงนอกเมืองซางโจว
เมืองซางโจวมิถือเป็นเมืองที่ใหญ่อะไรนัก แต่ถนนหลักห้าสายมารวมกันอยู่ที่นี่ ตำแหน่งชัยภูมิสำคัญยิ่ง ดังนั้นราชสำนักจึงดูแลที่นี่เข้มงวดเป็นอย่างมาก
ด้านนอกประตูเมืองมีทหารคอยดูแล แม้นจะเก็บเงินเล็กน้อยเพื่อปล่อยผ่านให้เร็วขึ้น แต่สำหรับการตรวจตราคนที่สัญจรไปมาแล้ว พวกเขามิได้ผ่อนปรนเลยแม้แต่น้อย
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ใต้ศาลาพักผ่อนที่อยู่นอกเมือง จ้องมองประตูเมืองอยู่เป็นเวลานาน
พวกเขามีปัญหายุ่งยากปัญหาหนึ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้
จะเข้าไปในเมืองอย่างไร?
จิ๋งจิ่วหวนคิดถึงบันทึกการเดินทางและกฎข้อบังคับต่างๆ เกี่ยวกับราชสำนักที่เคยได้อ่านเมื่อในอดีต ก่อนพบว่าไม่มีวิธีอื่นที่จะเข้าไป
“ขี่กระบี่เข้าไป ในเมืองน่าจะมีที่พักเซียนสำหรับผู้บำเพ็ญพรตอยู่” เขากล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ย
เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกโมโหเล็กน้อย
ตอนแรกนางบอกแล้วว่าควรจะขี่กระบี่บิน แต่จิ๋งจิ่วกลับมิเห็นด้วย บอกว่าในเมื่อออกมาท่องเที่ยว ไยต้องเร่งรีบเพียงนั้น อีกทั้งอย่าเปิดเผยสถานะตัวเองจะดีกว่า
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “มิเช่นนั้นก็จำเป็นต้องมีใบผ่านทางที่ทางเมืองออกให้”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูเขาพลางกล่าว “เจ้ามีหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ตอนพวกเราออกมา สามารถไปขอจากยอดเขาซีไหลสักสองสามใบได้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เช่นนั้นตอนนี้ก็ไม่มี?”
จิ๋งจิ่วมองไปยังรถม้าเหล่านั้นที่อยู่บนถนน ก่อนกล่าวกับตัวเองว่า “แล้วก็มิรู้ว่าบนใบผ่านทางจะมีภาพเหมือนวาดเอาไว้หรือเปล่า”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวอย่างเหม่อลอย “ความขายหน้าของชิงซาน”
ถูกต้อง จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยต่างก็เป็นคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการใช้ชีวิตเลย
ในชิงซาน พวกเขามิได้ดูแปลกแยกอะไร แต่ในตอนที่พวกเขามายังโลกปุถุชนที่แท้จริง ปัญหาที่ว่านี้ก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
พวกเขาบำเพ็ญพรตมาโดยตลอด เวลาและสมาธิทั้งหมดล้วนอยู่ที่การบำเพ็ญเพียรและรับรู้ถึงปัญหาลึกซึ้งเกี่ยวกับฟ้าดินอะไรเทือกนั้น มิได้เคยสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในการใช้ชีวิตเลย
เมื่อครั้งที่อยู่ในหมู่บ้าน จิ๋งจิ่วใช้เวลาเก้าวันในการเรียนรู้งานเกี่ยวกับการเกษตรและงานบ้าน แต่ยังมีสิ่งอื่นที่ยังเรียนรู้ไม่สำเร็จ อาทิเช่นการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน
ไม่ว่าจะเป็นบ้านตระกูลหลิว ที่ศาลาหนานซงและธารสี่เจี้ยน หรือที่ยอดเขาเสินม่อ เขาล้วนแต่อยู่ตัวคนเดียว แล้วก็มิจำเป็นต้องพูดคุยกับผู้อื่น
สถานการณ์ของเจ้าล่าเยวี่ยนั้นดีกว่าเขาเล็กน้อย แต่ก็ยังมีขีดจำกัด ตอนที่ยังไม่เกิด นางก็เป็นอนาคตที่ถูกสำนักชิงซานให้การปกป้องเอาไว้ หลังลืมตาดูโลก นางก็เตรียมตัวบำเพ็ญพรตมาโดยตลอด เรียนรู้ความรู้ที่ลึกซึ้งต่างๆ อาศัยอยู่ในบ้าน มิเคยพบปะผู้คนที่อยู่ภายนอก จนกระทั่งมายังชิงซาน เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ตัวคนเดียว อาทิเช่นยอดเขากระบี่
ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศ แต่ในโลกปกติ พวกเขาดูเงอะงะอย่างเห็นได้ชัด
ไม่มีวิธีอื่น เช่นนั้นก็ได้แต่ต้องเลือกวิธีที่ง่ายที่สุด
แน่นอน วิธีนั้นย่อมมิใช่การแย่งใบผ่านทางที่จิ๋งจิ่วเคยคิดก่อนหน้านี้
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ทัศนวิสัยเริ่มเลือนราง เขาและเจ้าล่าเยวี่ยได้อ้อมเมืองซางโจวมายังกำแพงเมืองด้านหนึ่งที่ดูรกร้างมากที่สุด แสงกระบี่สว่างวาบ ก่อนจะหายวับไปจากที่พื้นดิน
กระบี่บินตกลงในตรอกที่ดูร้างผู้คนแห่งหนึ่ง
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “ไปที่ไหน?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่เคยนอนที่พักเซียน ได้ยินว่ามิเลว”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ในเมื่อมาท่องเที่ยว พวกเราพักโรงเตี๊ยมเหมือนอย่างเวลาที่วัดกั่วเฉิงออกมายังโลกภายนอกดีกว่า”
จิ๋งจิ่วคิดถึงสิ่งที่เขียนอยู่ในหนังสือ สีหน้าดูลังเลเล็กน้อย กล่าวว่า “ได้ยินว่าโรงเตี๊ยมค่อนข้างสกปรก อีกทั้งกลิ่นเหม็นเท้ายังรุนแรงอีกด้วย”
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจช่างไม่รู้อะไรเลย หาโรงเตี๊ยมดีๆ สักแห่งก็ได้แล้ว หรือคนธรรมดาจะไม่ล้างเท้าเลย?
จิ๋งจิ่วคิดอยากจะกล่าวอะไร เจ้าล่าเยวี่ยพูดขึ้นมาตรงๆ ว่า “ข้าเป็นปรมาจารย์ ฟังข้า”
“ก็ได้”
ทั้งสองคนออกมาจากตรอกเล็ก มุ่งหน้าไปยังถนนเส้นใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงไฟด้านนอกเส้นนั้น
เจ้าล่าเยวี่ยพลันหยุดฝีเท้า กล่าวว่า “เจ้ารอข้าตรงนี้เดี๋ยว”
จากนั้นครู่หนึ่ง นางเดินกลับเข้ามาจากด้านนอกตรอก ในมือถือหมวกลี่เม่า[7]เอาไว้สองใบ
จิ๋งจิ่วรับเอาหมวกมา กล่าวถามว่า “ทำไม?”
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้กล่าวกระไร หากแต่ใช้มือวาดไปบนใบหน้าตัวเอง
นี่กลายเป็นท่าทางที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในหมู่ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน ขอเพียงเห็นท่าทางนี้ ก็จะรู้ว่ากำลังพูดถึงจิ๋งจิ่ว
ตัวจิ๋งจิ่วมิเคยเห็นท่าทางนี้มาก่อน แต่เขาก็เข้าใจความหมายของเจ้าล่าเยวี่ยอย่างรวดเร็ว
เขาใส่หมวกขึ้นไป กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ยังมองเห็นไหม?”
แสงไฟที่ลอดเข้ามาจากด้านตรอกส่องไปบนร่างกายเขา หมวกสานบังใบหน้าส่วนใหญ่ของเขาเอาไว้ แม้นใบหน้าจะเผยมาเพียงส่วนหนึ่ง แต่มันก็ยังน่าตกตะลึงอย่างมาก
เจ้าล่าเยวี่ยยื่นมือไปกดหมวกของเขาลง หลังมองดูอยู่ครูจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
……
……
นี่คือผลลัพธ์จากการที่เจ้าล่าเยวี่ยเข้าไปถามคนที่สัญจรไปมาสองสามคนอย่างกล้าหาญ
ไฟในโรงเตี๊ยมส่องสว่าง ภายในห้องสะอาดสะอ้าน แม้นจะเสียงดังไปบ้าง แต่ก็ดูไม่เลว
เจ้าล่าเยวี่ยค่อนข้างพอใจ จิ๋งจิ่วมองดูตัวหนังสือบนป้ายชื่อร้าน ค่อนข้างไม่พอใจ
ครั้นเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม มาอยู่ตรงหน้าเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยม เจ้าล่าเยวี่ยพลันเงียบไป
จิ๋งจิ่วมิค่อยเข้าใจ จากนั้นพลันคิดได้ นางน่าจะลืมพกเงินมา
เรื่องเช่นนี้เขาไม่มีทางลืม เขาจำได้เสมอว่าเงินคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เหตุที่สถานะของเขาตอนที่อยู่ในหมู่บ้านสูงส่งถึงเพียงนั้นก็มาจากเงิน
เขาหยิบใบไม้ทองคำแผ่นหนึ่งส่งให้เถ้าแก่ ก่อนกล่าวอย่างจริงจังว่า “เอาห้องที่ดีที่สุด”
ไม่มีใครสวมหมวกลี่เม่าเข้ามาหาห้องพักในโรงเตี๊ยม แล้วก็ไม่มีใครใช้ใบไม้ทองคำจ่ายค่าห้อง แต่…นั่นมันใบไม้ทองคำเลยนะ
จะเป็นตัวประหลาดอะไรก็ช่างพวกเจ้าสิ ขอเพียงมีเงินก็พอ
“ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่ง! ดูชื่อนี้สิขอรับ เตรียมไว้เพื่อพวกท่านทั้งสองเลยขอรับ”
บนใบหน้าเถ้าแก่มีรอยยิ้มจริงใจ จากนั้นขานเรียกเสี่ยวเอ้อ สั่งกำชับให้เขาพาแขกขึ้นไปด้านบน
เมื่อมาถึงประตูห้อง พบว่าบนป้ายไม้เขียนว่าห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งไว้จริงดั่งว่า จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกค่อนข้างพอใจ
เมื่อย่างเข้าไปในห้อง เจ้าล่าเยวี่ยมองดูการตกแต่งรอบๆ พบว่าไม่เลวจริง เทียบกับบ้านที่เมืองเจาเกอแล้วก็มิได้แย่ไปกว่ากันเท่าไร
จิ๋งจิ่วคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กล่าวถามว่า “เจ้าไม่มีเงิน แล้วซื้อหมวกได้อย่างไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยตกตะลึง มิได้ตอบคำถามนี้ นางนั่งขัดสมาธิลงไปบนพื้นที่สะอาด ก่อนจะหลับตาแล้วเริ่มฟื้นฟูพลังในร่างกาย
“ความขายหน้าของชิงซาน”
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ ยิ้มพลางกล่าว
เจ้าล่าเยวี่ยยังคงมิได้สนใจเขา
หมอกขาวสายหนึ่งลอยขึ้นมาจากกลางศีรษะของนาง ตรงดิ่งเป็นเส้นคล้ายกระบี่
จิ๋งจิ่วปลดกระบี่เหล็กที่อยู่ด้านหลังลง ความคิดขยับเล็กน้อย บนตัวกระบี่สีดำมีประกายไฟสีน้ำเงินเข้มปรากฏขึ้นมา
เขายื่นมือไปจับประกายไฟมาวางไว้บนหน้า จากนั้นถูเล็กน้อย คราบฝุ่นควันที่เปรอะเปื้อนจากการเดินทางนับพันลี้หายวับไปทั้งหมด เผยให้เห็นผิวที่สะอาดผุดผ่องราวหยก
จากนั้นเพียงครู่ เจ้าล่าเยวี่ยปรับลมหายใจเสร็จเรียบร้อย นางลืมตาขึ้นมา ดวงตาสีขาวดำตัดกันอย่างชัดเจน ดูงดงามยิ่งนัก
นางเหลือบมองจิ๋งจิ่วพลางครุ่นคิด ก่อนจะยื่นมือไปในอากาศ ใช้พลังทำให้อากาศจับตัวเป็นน้ำแล้วเอามาชะล้างใบหน้า
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เสี่ยวเอ้อยกกะละมังน้ำร้อนเดินเข้ามา บนแขนมีผ้าขนหนูขาวสะอาดพาดอยู่สองผืน
“นายท่าน….”
เสี่ยวเอ้อมองดูใบหน้าเจ้าล่าเยวี่ย พลันตกตะลึง
เขาเอากะละมังน้ำวางลงไปบนพื้น มองไปทางจิ๋งจิ่ว กล่าวว่า “ถ้ายังไงนายท่าน…”
เสียงหยุดชะงักไปอีกครั้ง
เขาขยี้ดวงตา มิกล้าเชื่อในสิ่งที่ตนเองมองเห็น
……………………………………………………
[1]หลูซาน คือ ชื่อภูเขา
[2]หยางสยง คือ คนผู้หนึ่ง
[3]ฉางเจียง คือ แม่น้ำแยงซีเกียง
[4] ซูมู่เจ๋อ คือ ชื่อบทกลอน
[5]โจวจื่อจือ คือ ชื่อผู้ประพันธ์
[6]ซูโร่ว หมูทอดชนิดหนึ่ง มีลักษณะอ่อนนุ่ม สามารถนำมากินกับหม้อไฟได้
[7]หมวกลี่เม่า เป็นหมวกสานที่มีปลายแหลมด้านบน
คอมเม้นต์