มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 52 สวนเหมยบนลานเหมันต์

อ่านนิยายจีนเรื่อง มรรคาสู่สวรรค์ ภาค2 ตอนที่ 52 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ทั่วทั้งกรมชิงเทียนต่างกำลังยุ่งวุ่นวาย ซือเฟิงเฉินซึ่งเป็นรองผู้ตรวจการณ์กลับว่างงานเช่นนี้ นี่อธิบายความจริงได้เรื่องหนึ่งว่า เขาไร้อำนาจแล้ว

สามปีก่อนเขาเริ่มสืบคดีที่เกิดในเมืองเฉาหนาน จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วถึงจะสืบทราบว่าใครเป็นฆาตกร แต่ที่โชคร้ายอย่างมากคือ เขาสืบไปถึงสำนักชิงซาน

หลังกลับมายังเมืองเจาเกอ เขาถูกหัวหน้าดุด่า ตำหนิอย่างรุนแรงจนเกือบสูญเสียตำแหน่ง จนกระทั่งพระสนมที่อยู่ในวังช่วยเอ่ยปาก เขาจึงรอดมาได้ แต่เมื่อปีที่แล้วเขาเข้าไปในวังเพื่อขอบคุณพระสนม แต่กลับไม่สามารถผูกสัมพันธ์กับพระสนมเอาไว้ หลายคนมองว่าเขามิได้มีค่าอะไร จึงถูกกีดกัน มิได้มีหน้าที่ความรับผิดชอบอะไรอีก

จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ ถึงแม้นตัวเองจะล่วงเกินสำนักชิงซาน แต่เหตุใดตอนนั้นท่านผู้บัญชาการถึงได้โมโหถึงขนาดนี้ เท่าที่เขารู้มา ในอดีตท่านผู้บัญชาการเว่ยเองก็เป็นผู้บำเพ็ญพรตไร้อาจารย์ มิได้มีความผูกพันอะไรกับสำนักบำเพ็ญพรตของดินแดนทางใต้มากนัก ได้รับการสนับสนุนจากลู่กั๋วกงจนเติบโตจนมาอยู่ในตำแหน่งนี้เหมือนอย่างทุกวันนี้

ไม่คิดถึงปัญหาเหล่านี้ดีกว่า ชาเขียวที่อยู่ในถ้วยรสชาติดีเยี่ยม ว่างงานก็มีข้อดีของการว่างงาน อย่างน้อยก็ไม่ต้องเอาชาฤดูใบไม้ผลิชั้นดีไปทำเป็นซุปเต้าเจี้ยวเพราะไม่มีเวลาดื่มชา แล้วก็ไม่ต้องชงชาที่อยู่ในถ้วยจนกระทั่งจืดเป็นน้ำแกงเพราะไม่มีเวลาเปลี่ยนใบชาใหม่

ซือเฟิงเฉินครุ่นคิดเช่นนี้ ขณะที่ดวงตาก็หรี่เล็กมองไปทางสวนดอกเหมยที่อยู่ไกลออกไป

สวนดอกเหมยอยู่ทางด้านตะวันตกของเมืองหลวง แล้วก็เป็นสถานที่จัดงานชุมนุมเหมยฮุ่ย

หลายปีก่อน สัตว์ประหลากของแคว้นเสวี่ยบุกเข้ามา อำนาจการปกครองของราชสำนักถูกตัดขาด เผ่าพันธุ์มนุษย์ตกอยู่ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด สายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์และผู้นำหนุ่มสาวของสำนักฝ่ายธรรมะดื่มเลือดสาบานเป็นพันธมิตรต่อกันในสวนดอกเหมย ร่วมแรงร่วมใจทำให้ความวุ่นวายจากการอพยพของชาวบ้านสงบลง จากนั้นเอาชนะกองทัพสัตว์ประหลาดของแคว้นเสวี่ย จนทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์กลับมารุ่นโรจน์อีกครั้งหนึ่ง

เพื่อเป็นการระลึกถึงการผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรที่มีความสำคัญอย่างมากในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ทุกๆ สิบปี ราชสำนักจะจัดงานชุมนุมเหมยฮุ่ยขึ้นครั้งหนึ่ง มีการเชื้อเชิญสำนักฝ่ายธรรมะในตอนนั้นและสำนักบำเพ็ญพรตอีกเป็นจำนวนมากมาเข้าร่วมงาน นอกจากนี้ ในปัจจุบันงานชุมนุมเหมยฮุ่ยยังมีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ พันธมิตรฝ่ายธรรมะจะได้รับการจัดสรรจำนวนหินผลึกและทรัพยากรตามอันดับที่ได้จากการประลองในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย สำหรับสำนักใหญ่อย่างสำนักจงโจวและสำนักชิงซานแล้ว ทรัพยากรจะเพิ่มขึ้นหรือลดน้อยลงนั้นมิได้มีความสำคัญเท่าไร แต่ใครจะยอมเสียหน้าล่ะ?

สวนดอกเหมยเมื่อหลายปีก่อนก็เป็นแค่สวนดอกเหมยธรรมดาๆ ซือเฟิงเฉินเคยเห็นสวนดอกเหมยเมื่อครั้งอดีต มันมีขนาดแค่แค่ไม่กี่หมู่[1]  ปลูกต้นเหมยเอาไว้หลายสิบต้น หร็อมแหร็มเบาบาง ดูธรรมดาเป็นยิ่งนัก แต่สวนดอกเหมยในเวลานี้เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่วิจิตรตระการตาที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน กระทั่งเมืองหลวงที่อยู่ไกลออกไปก็ยังมิอาจเทียบได้

สวนดอกเหมยในเวลานี้ประกอบไปด้วยลานสูงหลายสิบลาน มีถนนหินที่ตรงดิ่งเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นข้างทางหรือบนลานก็ล้วนแต่มีต้นเหมยปลูกเอาไว้อยู่ หากมองมาจากที่ไกลๆ สิ่งก่อสร้างแห่งนี้จะดูคล้ายต้นเหมยขนาดยักษ์ เพียงแต่ถูกก้อนเมฆที่ถูกข่ายพลังเรียกมาบดบังเอาไว้ ชาวบ้านธรรมดาจึงไม่มีโอกาสได้เห็นมัน

คนที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดในวังเวลานี้คือพระสนมเหมย ว่ากันว่านางใกล้จะคุกคามถึงตำแหน่งของพระสนมหูแล้ว

เมื่อคิดถึงวันที่ตัวเองเข้าไปในวังเพื่อพบพระสนมหูเมื่อปีที่แล้ว ดวงตาของซือเฟิงเฉินก็ยิ่งหรี่เล็ก จนใกล้จะเปลี่ยนเป็นเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่ง รอยยิ้มเยาะเย้ยตรงมุมปากยิ่งฉีกกว้างมากขึ้น

เพียงแค่การยิ้มครั้งนี้เป็นการเยาะเย้ยตัวเอง

ตอนนั้นเขาคิดว่าเบาะแสที่ไปเจอมาจากกองเอกสารเก่าอันนั้นจะเป็นความลับของพระสนมหู จึงคิดฉวยโอกาสนี้บีบบังคับให้นางช่วยเหลือตัวเอง แต่ใครจะไปคิดถึงว่าฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้นานแล้ว หากมิเป็นเพราะเขาเชี่ยวชาญในการสังเกตดูสีหน้าคน ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เปลี่ยนประเด็นไปเป็นเรื่องอื่น เกรงว่าตอนนั้นเขาคงตายไปแล้ว

ทางที่ถูกต้องมิอาจเดินได้!

ซือเฟิงเฉินคิดทอดถอนใจ คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะให้ปีศาจจิ้งจอกมาเป็นพระสนม นี่ถือเป็นลางของแผ่นดินที่กำลังจะวุ่นวายจริงๆ ก็เหมือนกับสาวน้อยเจ้าแห่งยอดเขาของสำนักชิงซานผู้นั้น หรือหายนะเมื่อหลายปีก่อนนั้นกำลังจะออกมาทำลายโลกมนุษย์แล้ว? แต่เขาเป็นเพียงเจ้าหน้าที่กรมชิงเทียนธรรมดาที่ถูกลดอำนาจลงคนหนึ่ง จะไปทำอะไรเพื่อประชาชนในใต้หล้านี้ได้? พระสนมหูมิอาจคาดหวังได้ กระทั่งตัวนางเองก็ยังมีปัญหา ราชสำนักทำอะไรเจ้าไม่ได้ กฎหมายทำอะไรเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นข้าคงได้แต่ต้อง…ฆ่าเจ้าด้วยมือข้าเอง

“ข้าเจ้าฆ่าเจ้า ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้”

ซือเฟิงเฉินมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกล พลางกล่าวพึมพำออกมา คล้ายคนเลอะเลือนผู้หนึ่ง

เมืองเจาเกอในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้าสีคราม หมื่นลี้ไร้เมฆ ร่องรอยกระบี่หลายสิบสายดูชัดเจน

……

……

สำนักใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงอย่างสำนักจงโจวและสำนักชิงซาน มาเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยก็เพื่อจะชิงความเป็นหนึ่งเหนืออีกฝ่าย แต่สำหรับสำนักเล็กๆ ที่ไม่ได้อยู่ในระดับชั้นเดียวกันอย่างสำนักซานตูและสำนักเฮ่าเทียนเหมินแล้ว การที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว พวกเขามิได้คิดที่จะชิงดีชิงเด่นอะไร หวังเพียงแต่จะได้เจอผู้ยิ่งใหญ่ที่ร่ำลือกัน เมื่อกลับไปยังสำนักแล้วจะได้ไปคุยโวให้เหล่าศิษย์ร่วมสำนักได้ฟัง

บนลานสูงที่อยู่ภายใต้เมฆหมอกที่ลอยล่องเต็มไปด้วยดอกไม้ คล้ายกับดินแดนแห่งเซียนก็มิปาน ศิษย์ของสำนักเล็กๆ เหล่านั้นยืนอยู่บนลาน ทั้งรู้สึกประหม่าและรู้สึกตื่นเต้น ศิษย์บางคนถามอย่างใคร่รู้ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ เหตุใดถึงมีดอกไม้มากมายขนาดนี้ จากนั้นจึงมีเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ ของศิษย์ร่วมสำนักดังขึ้นมา ที่นี่คือสวนดอกเหมย ดอกเหมยนานาชนิดบนโลกล้วนแต่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาวก็ล้วนแต่มีดอกเหมยเบ่งบาน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข่ายพลังที่คอยแทรกแซงธรรมชาติ มาตรว่าไม่ตรงตามฤดู แต่ดอกไม้ก็ยังเบ่งบานได้ตามพระประสงค์ของฝ่าบาท

“ลานเหมันต์ที่สูงที่สุดทางด้านเหนือคือสำนักจงโจว แล้วลานที่สูงที่สุดทางตะวันตกคือสำนักไหนกัน? วัดกั่วเฉิง?”

“วัดกั่วเฉิงไม่เคยลงประลอง แทบจะไม่ค่อยเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยด้วยซ้ำ เหตุใดจึงไปนั่งอยู่ที่นั่นได้?”

“เจ้าโง่ ผู้ที่ดำเนินงานชุมนุมเหมยฮุ่ยคือฉานจึ แล้ววัดกั่วเฉิงจะไม่มาได้อย่างไร”

บนลานหินที่อยู่ค่อนข้างใกล้พื้นดิน ศิษย์จากสำนักต่างๆ กำลังพูดคุยกัน ในใจครุ่นคิดว่าตนอยู่ใกล้บุคคลที่เล่าลือกันขนาดนี้ จึงอดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้

สวนดอกเหมยในตอนนี้ประกอบไปด้วยลานสูงหลายสิบลาน หากมองดูไกลๆ จะคล้ายต้นเหมยต้นหนึ่ง

ลานสูงเหล่านั้นคล้ายใบไม้หรือไม่ก็ดอกเหมย ตลอดทั้งปีหลบซ่อนอยู่ในเมฆหมอก ถูกขนามนามว่าลานเหมันต์

ชื่อนี้หมายถึงดอกเหมยที่สามารถเบ่งบานได้ในฤดูเหมันต์อันหนาวเหน็บ

นับแต่มีงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเป็นต้นมา ตำแหน่งของสำนักส่วนใหญ่ก็แทบจะไม่เคยเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะลานเหมันต์สิบกว่าลานที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุด

ตำแหน่งของสำนักจงโจวอยู่บนลานเหมันต์ที่อยู่ในจุดสูงสุดทางด้านเหนือ ได้ยินว่าวันนี้ลั่วไหวหนานและถงเหยียนมิได้มา หลายคนจึงอดผิดหวังมิได้ ด้านล่างคือตำแหน่งของเรือนอี้เหมา บัณฑิตสิบกว่าคนที่มิได้มีอาจารย์มาเป็นผู้นำต่างนั่งนิ่งๆ อยู่บนอาสนะ บ้างมองดอกเหมยพลางถามใจตนเอง บ้างมองท้องฟ้าครุ่นคิดถึงธรรมวิถี

ลานเหมันต์ที่อยู่ในจุดสูงสุดทางฝั่งตะวันตกคือตำแหน่งของวัดกั่วเฉิง บนลานเหมันต์ที่อยู่ถัดลงมาสองลานเป็นของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยและสำนักกระบี่ซีไห่ ศิษย์หญิงของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมีผ้าแพรสีขาวปิดบังใบหน้า พลิ้วไสวตามลม ร่างกายอ้อนแอ้นอรชน มองดูแล้วคล้ายๆ กันหมด แล้วก็มิรู้ว่าคนไหนคือผู้สืบทอดของเหลียนซานเยวี่ยผู้ลี้ลับคนนนั้น ความสัมพันธ์ของสำนักกระบี่ซีไห่และเมืองเจาเกอค่อนข้างธรรมดามาแต่ไหนแต่ไร ผู้ที่มาร่วมงานจึงมีไม่มาก ศิษย์หนุ่มที่รูปร่างผอมสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าสุดดึงดูดสายตาหลายคู่เอาไว้ เขาก็คือถงหลูที่เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาในช่วงหนึ่งปีมานี้

ส่วนลานเหมันต์ทางด้านทิศใต้เป็นของสำนักต้าเจ๋อ สำนักเสวียนหลิงและสำนักอู๋เอินเหมินที่ช่วงหลายปีมานี้ถูกสำนักกระบี่ซีไห่กดดันอย่างหนัก

ลานเหมันต์ที่อยู่ตรงจุดสูงสุดอยู่ตรงข้ามกับลานเหมันต์ของสำนักจงโจว ต่างก็อยู่ในจุดที่สูงที่สุดในสวนดอกเหมย เวลานี้ยังคงว่างอยู่

นั่นย่อมต้องเป็นตำแหน่งของสำนักชิงซาน

……

……

ตำแหน่งของลานเหมันต์ในสวนดอกเหมยก็คือตำแหน่งที่ตั้งคร่าวๆ ของสำนักฝ่ายธรรมะ

ราชวงศ์ตระกูลจิ่งกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งเป็นเวลานานมากแล้ว แต่สถานการณ์กลับมิได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก สำนักชิงซานและสำนักจงโจวยังคงเป็นผู้นำอย่างไม่อาจคัดค้านได้ แม้นจะบอกว่าในช่วงหลายสิบปีมานี้ ศิษย์หนุ่มสาวของสำนักชิงซานตกเป็นรองสำนักจงโจวมาโดยตลอด แต่ผู้บำเพ็ญพรตมีอายุยืนยาว ธรรมวิถียากลำบากและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ใครจะรู้บ้างว่าในอนาคตสถานการณ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร อย่างเช่นหลายปีมานี้ ศิษย์หนุ่มสาวของชิงซานมีศิษย์ที่ยอดเยี่ยมปรากฏขึ้นมาหลายคน อย่างเช่นกั้วหนานซาน อย่างเช่นจัวหรูซุ่ย และแน่นอนว่าต้องมีเจ้าล่าเยวี่ยอยู่ด้วยแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้นสำนักชิงซานยังมีผู้บรรลุสภาวะขั้นแหวกทะเลสิบคน บรรลุขั้นทะลวงสวรรค์สองคน ขุมกำลังระดับนี้ ทั่วทั้งแผ่นดินยังมีผู้ใดกล้าไม่ยอมรับ?

ปีที่แล้วหยวนฉีจิงผู้เป็นเจ้าแห่งยอดเขาซั่งเต๋อยืนยันว่าตนเองได้บรรลุเข้าสู่สภาวะขั้นทะลวงสวรรค์ กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งแห่งแผ่นดินเฉาเทียน

ขณะนั้นอาคันตุกะจากสำนักต่างๆ ได้เดินทางไปยังสำนักชิงซานเพื่อร่วมแสดงความยินดี ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก

หากมิเป็นเพราะทุกคนต่างรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าสำนักชิงซานและหยวนฉีจิมิค่อยดีเท่าไร เกรงว่าสำนักบำเพ็ญพรตอื่นๆ ที่เหลือคงจะยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเป็นแน่

“สำนักชิงซานมาแล้ว!”

ในสวนดอกเหมยพลันมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา

ลำแสงกระบี่หลายสิบสายส่องสว่างท้องฟ้า จากนั้นจึงพุ่งลงมารวมกันยังด้านบนของสวนดอกเหมยอย่างรวดเร็ว

บนลานเหมันต์ที่อยู่ในจุดสูงสุดทางทิศใต้มีคนหลายสิบคนปรากฏขึ้นมา นอกจากหนานว่างซึ่งเป็นเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงที่เป็นผู้นำในครั้งนี้แล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนแต่สวมชุดสีเขียว ดูองอาจห้าวหาญ

บนลานเหมันต์หลายสิบลานมีเสียงพูดคุยดังขึ้นมา กระทั่งสำนักอื่นๆ ที่อยู่บนลานเหมันต์ที่อยู่สูงขึ้นไปอย่างสำนักคุนหลุน สำนักต้าเจ๋อเองก็มีเสียงพูดคุยดังขึ้นมาเช่นกัน

“ใครคือเจ้าล่าเยวี่ย? มองไม่เห็นผู้หญิงที่ผมยุ่งๆ เลย”

“ใครคือจิ๋งจิ่ว? เขาหล่อขนาดนั้นจริงๆ หรือ?”

………………………………………………………………………

[1]หมู่ คือ มาตรวัดพื้นที่เป็นไร่ของจีน

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด