มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 3 สังหารในหนึ่งกระบี่
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจในรายละเอียดของภาพเหล่านั้น
เขาเคยอ่านหนังสือ
ในหนังสือเหล่านั้นมีรูปภาพ
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ข้ายังคงมิเข้าใจ เรื่องแบบนี้มีอะไรน่าสนุก”
จิ๋งจิ่งกล่าว “เรื่องธรรมชาติ ย่อมต้องมีความสนุกตามธรรมชาติ หากมันไม่สนุก มนุษย์จะสืบพันธุ์ได้อย่างไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เรื่องหลักการข้าเข้าใจ คนธรรมดาอายุขัยมีจำกัด การลุ่มหลงไปกับความสุขเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพียงแต่เหตุใดหลายๆ คนที่กำลังบำเพ็ญเพียรเองก็ลุ่มหลงอยู่กับเรื่องแบบนี้? แล้วยังมียอดฝีมือของฝ่ายอธรรม ที่ความสูงส่งของสภาวะเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับอาจารย์อาที่บรรลุขั้นคเนจรของฝ่ายเรา แต่กลับยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ ถึงขนาดเที่ยวขืนใจหญิงสาวไปทั่ว”
“วิถีหยินหยาง[1]ก็เป็นวิถี วิธีของฝ่ายมารข้าย่อมไม่พูดถึง แต่จากที่ข้ารู้มา ความจริงแล้วนักบวชแห่งสำนักตงอี้ค่อนข้างมีความพิถีพิถันในการบำเพ็ญเพียรเป็นคู่อยู่ทีเดียว และนั่นก็อาจจะทำให้ได้เห็นมุมหนึ่งของธรรมวิถีได้เช่นกัน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ชิงซานมิได้ฝึกฝนด้วยวิถีนี้ แต่อย่างระหว่างยอดเขาซีไหลและยอดเขาซั่งเต๋อเองก็มีคู่รักที่บำเพ็ญเพียรด้วยกันอยู่หลายคู่”
เจ้าล่าเยวี่ยย่อมต้องทราบ ทั้งยังทราบถึงความคิดของกู้หานด้วย เพียงแต่นางมิเคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไปกันเถอะ”
เจ้าล่าเยวี่ยพยักหน้า ดูคล้ายสงบนิ่ง แต่ในใจแอบลอบถอนใจ
สายลมยามค่ำคืนพัดแผ่วเบา ผมสั้นของนางถูกพัดจนยิ่งดูยุ่งเหยิง แต่มันกลับไม่สามารถลดอุณหภูมิบนใบหน้าของนางลงได้
ภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้ทำให้ใจกระบี่ของนางสั่วไหวขึ้นมาเล็กน้อย
นางมองดูจิ๋งจิ่ว พบว่าสีหน้าเขายังคงเป็นเหมือนปกติ จึงอดรู้สึกนับถือขึ้นมาไม่ได้ ภายในใจครุ่นคิดมิเสียทีที่เป็นผู้สืบทอดที่ปรมาจารย์อาไว้วางใจมากที่สุด การบำเพ็ญเพียรของเขาช่างลึกล้ำจริงๆ
ในขณะที่พวกเขาหมุนตัวเตรียมจากไป พลันได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากที่ๆ ไม่ไกลนัก
จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงแท่งไม้ฟาดลงไปบนร่างกายคน เสียงร่ำไห้อย่างน่าเวทนาของหญิงสาว และยังมีเสียงด่าทอที่ดังขึ้นมาไม่ขาดสาย
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่ว พลางถามว่า “ทำอย่างไรดี?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ปกติผู้บำเพ็ญพรตจะไม่ยุ่งกับเรื่องราวบนโลก”
เจ้าล่าเยวี่ยสังเกตคำว่า ‘ปกติ’ ในคำพูดของเขาประโยคนี้
จิ๋งจิ่วกล่าวอีกว่า “เรื่องน่าเศร้ามีนับไม่ถ้วน คนชั่วร้ายมีนับไม่ถ้วน ฆ่ายังไงก็ไม่หมด”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ดังนั้นจึงทำเป็นมองไม่เห็น?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “แล้วถ้าเห็นล่ะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ดูอารมณ์”
“ข้าไม่คิดเช่นนี้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าอยากทำอะไรก็ทำ หากเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ เช่นนั้นข้ายังจะบำเพ็ญเพียรไปทำไมอีก?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แล้วแต่เจ้า”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เจ้าลงมือ?”
เสียงท่อนไม้ที่อยู่ไกลออกไปหยุดลงไปแล้ว เหลือเพียงเสียงร่ำไห้และเสียงด่าทอที่ยังคงดังอยู่
จิ๋งจิ่วมองดูระยะทาง พลางกล่าว “ข้าไปไม่ถึง”
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปทางนั้น พลางร่ายเคล็ดกระบี่
กระบี่มิคำนึงพุ่งออกไป บนท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมืองซางโจวถูกระบายด้วยสีแดงที่ดูไม่เป็นมงคลสายหนึ่ง
ภายในตรอกที่อยู่ไกลออกไปมีเสียงวัตถุหนักๆ ตกลงพื้น จากนั้นเป็นเสียงร้องโหยหวน
หลังจากนั้น กระบี่มิคำนึงบินกลับมา
จิ๋งจิ่วคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าล่าเยวี่ยจะปล่อยกระบี่ได้รวดเร็วเด็ดขาดถึงเพียงนี้
เมื่อคิดถึงว่าตอนที่อยู่บนยอดเขาเสินม่อ นางเคยบอกว่านางดุร้าย เขาพลันยิ้มขึ้นมา
ตอนที่ลาดตระเวนรอบชิงซาน เจ้าล่าเยวี่ยเคยสังหารปีศาจไปจำนวนหนึ่ง
อินซานตายตรงหน้านาง แต่คนฆ่าคืออาจารย์เมิ่ง
จั่วอี้ตายตรงหน้านาง แต่คนฆ่าคือจิ๋งจิ่ว
วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางสังหารคน
มือขวาของนางสั่นเทาเล็กน้อย
ในเวลานี้ นางมองเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของจิ๋งจิ่ว จิตใจพลันรู้สึกสงบขึ้นเล็กน้อย
จิ๋งจิ่วยื่นมือไปลูบหัวของนาง ในสายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม
สำหรับเจ้าล่าเยวี่ย นี่ค่อนข้างแปลกประหลาด นางจึงอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ว่า “เจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรือ?”
จิ๋งจิ่วมิกล่าวกระไร หากแต่ส่งหมวกลี่เม่าให้นาง ขณะเดียวกันก็สวมของตัวเองด้วย
ในอดีตเมื่อครั้งที่เขาเลือกนาง เขามิได้คิดอะไรมาก
ตอนนี้ดูแล้ว เหมือนนั่นจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
สาวน้อยค่อนข้างคล้ายกับตนในอดีตที่สังหารคนด้วยกระบี่เดียว
เมืองซางโจวตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล
แสงไฟส่องสว่างตรอกเล็กตรอกนั้น เสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ทั้งยังมีเสียงตะโกนด่าทอของทหารดังแทรกขึ้นมา
หญิงสาวรูปร่างผอมแห้งนางหนึ่งนอนอยู่ตรงมุมกำแพง ใบหน้าขาวซีด สายตาเสียขวัญ เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ริมฝีปากอันแห้งผากและหลุดลอกของนางขยับขึ้นลงไม่หยุด ไม่รู้กำลังพูดอะไรอยู่
รอบกายของนางมีศพไร้ศีรษะนอนอยู่สี่ศพ โลหิตไหลทะลักนองพื้น ศีรษะกลิ้งออกไปไกล บนใบหน้ายังคงมีสีหน้าหื่นกระหายและดุร้ายอยู่ คล้ายก่อนที่จะตาย พวกเขามิได้รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วก็มิได้รับรู้ถึงอันตรายใดๆ
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยได้จากไปแล้ว พวกเขาไม่ทราบว่าหญิงสาวที่รูปร่างผอมแห้งผู้นั้นหลบหนีออกมาจากหอชิงโหลว แล้วก็มิรู้ว่าสุดท้ายแล้วหญิงสาวผู้นั้นจะหนีพ้นจากชะตากรรมอันแสนเศร้าหรือไม่ หอชิงโหลวแห่งนั้นค่อนข้างมีเส้นสายในเมืองชิงซาน ใครจะรู้บ้างว่าจุดจบของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
หากมองจากในมุมของการทำความดี พวกเขาทำแบบนี้ไม่ถือว่าเหมาะสม อย่างน้อยก็ยังจัดการได้ไม่สมบูรณ์
แต่ก็เหมือนที่จิ๋งจิ่วว่าไว้ เรื่องน่าเศร้ามีนับไม่ถ้วน คนชั่วร้ายมีนับไม่ถ้วน สังหารยังไงก็ไม่หมด ต่อให้เจ้าเป็นเทพเซียนก็ไม่มีทางจัดการได้
อย่าได้หวั่นไหวต่ออารมณ์ นี่คือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรตจำเป็นต้องเรียนรู้เมื่อกลับมาสู่โลกปุถุชน
เวลาที่วัดกั่วเฉิงมาเหยียบโลกปุถุชน พวกเขาจะเลือกอีกเส้นทางหนึ่งที่แตกต่างออกไป
ด้วยเหตุนี้จิ๋งจิ่วจึงเคารพ แต่มิยอมรับ
เนื่องเพราะนักบวชของวัดกั่วเฉิงใช้ชีวิตยากลำบากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือในอดีต รวมไปถึงผู้ที่จากไปแล้วเหล่านั้น อาทิเช่นเทพดาบ
……
……
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเดินเท้าอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนด้านนอกเมืองซางโจว ดูมิคล้ายว่าเร็ว แต่มิทันไรก็เดินออกมาร้อยกว่าจ้างแล้ว
หลักเหตุผลล้วนเข้าใจ แต่การยอมรับจำเป็นต้องใช้เวลา
พวกเขาเดินเงียบๆ มาหนึ่งชั่วยาม กระทั่งแสงแรกของวันปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า เจ้าล่าเยวี่ยจึงเริ่มเอ่ยปาก
“ข้าอยากขี่กระบี่”
“มีลม”
“ข้าอยากตากลม”
“หากใจสงบ ไยต้องมีลม”
“เจ้ารู้ไหม? ในชิงซานมีคนสงสัยว่าเจ้าเป็นพระจากวัดกั่วเฉิง”
“การคาดเดานี้น่าสนใจทีเดียว”
เจ้าล่าเยวี่ยแสดงท่าทางของลูกสาวคนเล็กในบ้านอย่างที่เห็นได้ไม่บ่อยนักออกมา นางจ้องเขาพลางกล่าว “ข้าจะบิน”
จิ๋งจิ่วมองนางพลางกล่าว “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่า หากไม่สามารถลงไปยังพื้นด้านล่างได้ ต่อให้บินสูงขึ้นไปอีก มันยังจะมีความหมายอันใด?”
เมื่อครั้งที่ไปดูศพอินซานที่อยู่นอกเมืองอวิ๋นจี๋เสร็จเรียบร้อย ตอนที่เขาเตือนนางว่าให้ล้มเลิกความคิดที่จะสืบเรื่องปรมาจารย์อาจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียน เจ้าล่าเยวี่ยเคยกล่าวประโยคนี้เอาไว้
เจ้าล่าเยวี่ยจ้องมองดวงตาเขา พลางกล่าว “แต่เจ้าเองก็เคยบอกว่าเป้าหมายของการบำเพ็ญเพียร มิใช่การช่วงชิงเอาชนะ แล้วก็หาใช่การไล่หาความหมายไม่ หากแต่เป็นการบินให้สูงขึ้นไป”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าแค่พูดไปเรื่อย”
……
……
พระอาทิตย์ยามเช้าลอยขึ้น บนพื้นดินด้านหน้าจู่ๆ มีผ้าแพรสีแดงปรากฏขึ้นมาแถบหนึ่ง
เมื่อดูอย่างละเอียดแล้ว ที่แท้นั่นเป็นแม่น้ำเส้นใหญ่ที่มีความกว้างอย่างมากเส้นหนึ่งกำลังสะท้อนแสงสีแดงอันอบอุ่นออกมา
แม่น้ำหลั่งไหล ผ้าแพรสีแดงคล้ายกำลังขยับเขยื้อนไม่หยุดเหมือนผ้าแพรของจริง
นี่คือแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดทางด้านทิศใต้ของแผ่นดินเฉาเทียน — แม่น้ำจั๋ว
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยมุ่งหน้าไปทางนั้น เมื่อเดินตามเสียงสายน้ำผ่านหน้าผาแถบหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงชายฝั่งทางทิศใต้ของแม่น้ำจั๋ว
แม่น้ำจั๋วกว้างพันจ้าง ริมฝั่งตรงข้ามมีเมืองขนาดใหญ่ แม้จะอยู่ห่างไกลขนาดนี้ แต่ก็ยังมองเห็นสิ่งก่อสร้างที่สูงใหญ่เสียดฟ้าที่อยู่ด้านในเหล่านั้น
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของข่ายพลังจำนวนมาก
นี่คือเมืองเฉาหนาน เมืองที่สำคัญที่สุดทางทิศใต้ของราชวงศ์มนุษย์
………………………………………………………………………….
[1]วิถีหยินหยาง หมายถึง การบำเพ็ญพรตแบบเป็นคู่ชายหญิง
คอมเม้นต์