มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 10 ชิงซานหลังจากผ่านไปสองปี
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ผ่านไปสองปี
โลกปุถุชนยังคงเป็นเหมือนเดิม มิได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย
ดินแดนหมิงสงบเงียบ ภายใต้แสงอาทิตย์มิได้เห็นร่องรอยของเพลิงวิญญาณมาเป็นเวลานมนาน
แคว้นเสวี่ยเองก็เงียบสงัด ดูเหมือนหลังทำศึกใหญ่ติดต่อกันหลายครา แม้แต่อสูรหิมะที่ขึ้นชื่อเรื่องความป่าเถื่อนกระหายเลือดก็ยังต้องพักหายใจเช่นกัน
ในที่สุดทหารพลเรือนในจังหวัดทางเหนือและชายผู้ได้ชื่อว่าดาบเดียวดายสยบหิมะเองก็มีช่วงเวลาสองปีที่ไม่ต้องทำศึก
ด้านนอกทะเลมิรู้เกิดเรื่องอันใดขึ้น เพียงได้ยินว่าตอนที่เรือเทพลำหนึ่งของเกาะเผิงไหลไปสำรวจแดนลี้ลับหมิงเฉวียนอันเป็นหนึ่งในสามน้ำวนใหญ่ จู่ๆ พลันเจอกับพายุอันรุนแรงจนจมลงไป แม้นภายหลังจะโชคดีหลุดรอดออกมาจากการกลืนกินของน้ำวนยักษ์ได้ แต่กลับไปชนเข้ากับภูเขาหิมะลูกหนึ่ง
หากไม่เป็นเพราะวีรบุรุษผู้หนึ่งจากแผ่นดินต่างแดนก้าวข้ามทะเลมาช่วยเหลือ เกรงว่าเรือเทพลำนั้นคงจะจมลงก้นทะเลอันหนาวเหน็บไปแล้ว
หลังเรื่องราวนี้แพร่กระจายมาถึงแผ่นดินเฉาเทียน ก็ถูกหลายๆ คนกล่าวว่าเป็นเรื่องหลอกลวงที่น่าขบขัน เพราะนอกจากผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่เหนือสภาวะแหวกทะเลขึ้นไป ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจรายละเอียดต่างๆ ในเรื่องราวนี้ได้ อย่างเช่นที่บอกว่าวีรบุรุษผู้นั้นก้าวข้ามทะเลมันหมายความว่าอย่างไร คนๆ หนึ่งจะสามารถช่วยเรือเทพอันหนักอึ้งเหมือนดั่งขุนเขาขึ้นมาได้อย่างไร
นี่ถือเป็นเรื่องปกติ คนเรามักจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองยินดีจะเชื่อเท่านั้น
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ยังคงมีคนธรรมดาบางคนที่ยังดึงดันคิดว่าโลกนี้ไม่มีผู้บำเพ็ญพรตอยู่ ซึ่งนั่นก็เป็นหลักเหตุผลเดียวกัน
ไม่ว่าผู้คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ สุดท้ายเรื่องราวบางเรื่องมันก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี
อย่างเช่นเมืองไห่โจวที่กำลังจะมีงานเลี้ยงซื่อไห่[1]ที่ซีหวังซุนจัดขึ้นอีกครา
ขณะเดียวกัน ด้านในศาลาว่าการลับแห่งหนึ่งภายในเมืองก็กำลังจัดงานชุมนุมหนึ่งขึ้น
ฤดูหนาวของปีนี้ได้เดินทางมาถึงช่วงปลายฤดูแล้ว ในเมืองเจาเกอมิได้มีหิมะตกลงมาอีก เมืองไห่โจวซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลตะวันตกนั้นมีอากาศอบอุ่น นี่ยิ่งทำให้คนรู้สึกหลงไหลเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ
ครั้นมองดูใบหน้าที่เฉยเมยของผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้น ซือเฟิงเฉินพลันรู้สึกอยากเมามายขึ้นมา และไม่ไปครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก เพียงแต่หลังเลื่อนตำแหน่งมา เขาก็มิได้ดื่มสุราจนเมามายมาเป็นเวลาสองปีแล้ว
เขาทราบดี หากมิเป็นเพราะเมืองไห่โจวจัดงานเลี้ยงซื่อไห่ขึ้นมา อาศัยเพียงกรมชิงเทียนและตัวเขานั้นไม่มีทางเชิญผู้บำเพ็ญพรตมาได้มากมายขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศิษย์ของสำนักใหญ่ๆ เหล่านั้นเลย
“ข้าเลื่อนตำแหน่งมาสองปีแล้ว”
ซือเฟิงเฉินมองดูผู้บำเพ็ญพรตกลุ่มหนึ่งพลางกล่าว สีหน้ามิได้มีความยินดีใดๆ ทั้งสิ้น
นอกจากผู้บำเพ็ญพรตจากสำนักเล็กๆ สองคนที่กล่าวแสดงความยินดีออกมาโดยมิรู้เรื่องราวแล้ว ผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ มิได้มีการตอบสนองใดๆ
ผู้บำเพ็ญพรตเคารพราชวงศ์ แต่กลับมิได้มองขุนนางของราชสำนักอยู่ในสายตาเท่าไร แม้นจะซือเฟิงเฉินจะมิใช่ขุนนางธรรมดาก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้นซือเฟิงเฉินได้เลื่อนจากผู้ดูแลในเมืองเฉาหนานมาเป็นรองผู้ตรวจการณ์ของกรมชิงเทียน ดูแล้วคล้ายจะเป็นการเลื่อนตำแหน่ง แต่หลายๆ คนต่างทราบว่าเป็นเพราะอะไร
“ข้าซึ่งเป็นรองผู้ตรวจการณ์ต้องตรวจสอบคดีนี้ หากครั้งนี้ยังจับคนชั่วสองคนนั้นมิได้ ตัวข้าคงต้องจบสิ้น”
สายตาซือเฟิงเฉินกวาดมองดูทุกคน พลางกล่าวว่า “จริงอยู่ที่ข้ามิได้มีอิทธิพลอะไรต่อสำนักของทุกท่าน แต่ถ้าหากมั่นใจแล้วว่าสุดท้ายตนเองต้องจบเห่ ไม่แน่ข้าอาจจะใช้กำลังเฮือกสุดท้ายที่มีไปจัดการกับจำนวนจัดสรรของราชสำนักเสียหน่อยก็เป็นได้”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าผู้บำเพ็ญพรตของสำนักใหญ่อย่างต้าเจ๋อนั้นมิแปรเปลี่ยน แต่สีหน้าของผู้บำเพ็ญพรตในพรรคเล็กๆ เหล่านั้นกลับดูร้อนรนขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นหินผลึกหรือว่าทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรอื่นๆ ล้วนแต่ได้ทางราชสำนักกับสำนักใหญ่อย่างๆ สำนักจงโจว สำนักชิงซาน สำนักต้าเจ๋อ สำนักซีไห่ร่วมมือกันกำหนดจำนวนจัดสรรทรัพยากร
สำนักใหญ่ๆ เหล่านั้นย่อมมิเป็นกังวลว่าราชสำนักจะจัดสรรทรัพยากรให้ตนเองน้อย แต่สำนักเล็กๆ เหล่านั้นจะทำอย่างไร?
หากซือเฟิงเฉินจะลงมือเพื่อระบายความโกรธก่อนที่ตนเองจะจากไปจริงๆ แม้นจะแค่ลดจำนวนหินผลึกลงหนึ่งส่วนก็สามารถสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงให้กับสำนักเล็กๆ เหล่านั้นได้แล้ว
ผู้บำเพ็ญพรตจากสำนักเล็กคนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ใต้เท้า ท่านต้องการสิ่งใดก็สั่งการมาได้เลย ไฉนต้องทำเช่นนี้ด้วย”
ซือเฟิงเฉินกล่าว “เจตนาของข้านั้นชัดเจน ยอดฝีมือของราชสำนักถ้าไม่ไปคุ้มกันอยู่ในศูนย์กลางเมืองเจาเกอ ก็ไปอยู่ในกองทัพเจิ้นเป่ยเพื่อต่อสู้กับยอดฝีมือของแคว้นเสวี่ย ตอนนี้กรมชิงเทียนเหลือเพียงแค่เปลือกที่ว่างเปล่า ไม่สามารถจัดการหาตัวคนชั่วสองคนนั้นมาได้จริงๆ จึงได้แต่ต้องบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากทุกท่าน”
ผู้บำเพ็ญพรตคนนั้นกล่าวถามอย่างตกใจ “คนชั่วสองคนนั้นคือใครกันแน่?”
“ไม่มีผู้ใดทราบ”
ซือเฟิงเฉินโบกมือ แสงสว่างสายหนึ่งตกไปบนกำแพงคล้ายกระดาษขาว บนนั้นมีตัวหนังสือเขียนไว้ยืดยาวสิบกว่าบรรทัด
“ครั้งแรกสุดคือที่เมืองซางโจว คนชั่วสองคนนั้นสังหารคนตายไปสี่คน หลังสืบสวนพบว่าพวกเขามิเคยแม้กระทั่งเจอหน้าทั้งสี่คนมาก่อน น่าจะเป็นการสังหารตามอำเภอใจ จากนั้นก็เป็นเมืองเฉาหนาน พวกเขาสังหารศิษย์สำนักซานตูตายไปสี่คน แล้วก็เหลือเบาะแสเอาไว้เล็กน้อย”
ซือเฟิงเฉินกล่าวต่อว่า “ในเวลาสองปีหลังจากนั้น คนชั่วสองคนนี้ยังคงก่อคดีอย่างต่อเนื่อง สังหารคนรวมแล้วเจ็ดสิบกว่าคน ในนี้มีทั้งชาวบ้านธรรมดาที่บริสุทธิ์ แล้วก็มีผู้บำเพ็ญพรต ส่วนใหญ่เป็นการสังหารโดยไม่มีเหตุผล คล้ายเป็นการทำตามอำเภอใจเหมือนอย่างการสังหารในครั้งแรก จากตรงนี้จะเห็นได้ถึงความเหี้ยมโหดของทั้งสองคน”
หลายคนสังเกตถึงคดีที่เกิดในเมืองเฉาหนาน ทันใดนั้นก็มองไปทางผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกลาง
ผู้อาวุโสท่านนั้นผมขาวเหมือนดอกเลา ลมหายใจล้ำลึก เขาคือเหอจือชง ผู้อาวุโสแห่งสำนักคุนหลุน
สำนักคุนหลุนที่มิเคยร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่มาก่อนกลับส่งผู้อาวุโสมาท่านหนึ่ง ดูแล้วน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้นในเมืองเฉาหนาน
เหอจือชงมิได้กล่าวกระไร สำนักซานตูเป็นสำนักในสาขาของสำนักคุนหลุน หากผู้ที่ถูกฆ่าเป็นเพียงศิษย์ระดับล่างที่ไม่มีความสำคัญอะไร เขาคงไม่มีทางออกหน้าเป็นแน่ เพียงแต่นายน้อยของสำนักซานตูผู้นั้นค่อนข้างทุกข์ใจกับเรื่องนี้ หลังเกิดเหตุเกิดความคับแค้นใจ จึงไปพูดกล่อมเจ้าสำนักซานตูให้มาขอความช่วยเหลือจากสำนักคุนหลุน เขาจึงจำต้องเดินทางมา
มีคนถามว่า “คนชั่วสองคนนั้นอยู่ในสภาวะระดับใด?”
ซือเฟิงเฉินกล่าวว่า “ต้นสารทฤดูปีที่แล้ว ไต้ซือจู๋กุ้ยที่ดูแลวัดเฮยหลงถูกคนชั่วสังหารทั้งๆ ที่มีภูเขาลูกหนึ่งคั่นกลางอยู่ เกรงว่าอีกฝ่ายคงอยู่ในสภาวะมิประจักษ์”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าทุกคนพลันแตกต่างกันออกไป
ชื่อเสียงของจู๋กุ้ยแห่งวัดเฮยหลงนั้นฉาวโฉ่ยิ่งนัก มิรู้ว่าหลอกลวงเศรษฐีจนสิ้นเนื้อประดาตัวมาแล้วเท่าไร กระทั่งเงินรักษาอาการป่วยของคนยากจนก็ยังไม่เว้น แล้วยังมีข่าวลืออีกว่าเขาแอบมีอะไรกับภรรยาและลูกสาวของตนเอง ไม่มีความชั่วใดไม่ทำ เพียงแต่ไต้ซือผู้นี้มีความสัมพันธ์กับกุ้ยเฟย[2]นางหนึ่งในวังหลวง แต่ละสำนักไม่สะดวกตอแย จึงมิเคยไปจัดการอะไร
ในเวลานี้ได้ยินซือเฟิงเฉินกล่าวเช่นนี้ ทุกคนถึงได้รู้ว่าการตายอย่างฉับพลันของไต้ซือจู๋กุ้ยเมื่อปีที่แล้ว ที่แท้มีสาเหตุเช่นนี้เอง
ซือเฟิงเฉินทราบว่าทุกคนกำลังคิดสิ่งใดอยู่ สองคิ้วขมวดเล็กน้อย มิได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อไปอีก หากแต่กล่าวว่า “คนชั่วสองคนนั้นลงมือเมื่อไรมิเคยมีผู้ใดรอดชีวิต จึงมีเบาะแสไม่มากเท่าไร รู้เพียงแค่พวกเขาหนึ่งสูงหนึ่งเตี้ย หนึ่งชายหนึ่งหญิง ใช้ผ้าสีเทาปิดบังใบหน้า กระบี่ที่ใช้เป็นกระบี่บิน มิทราบว่าทุกท่านมีความเห็นเช่นไร?”
เบาะแสมีเพียงเท่านี้ ยังจะมีความเห็นเช่นไรได้?
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
“อย่างไรซะก็มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา”
ผู้ที่กล่าวคือชายวัยกลางคนผิวดำคล้ำ เขาคือผู้บำเพ็ญพรตไร้อาจารย์คนหนึ่งจากต้าเจ๋อ นามทางธรรมของเขาคือจั๋วอวี๋สื่อ
ในใจทุกคนครุ่นคิดว่าช่างเป็นคำพูดที่เหลวไหลเสียจริง ต้าเจ๋อฝึกฝนวิถีลมฝน ย่อมต้องไม่เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าอยู่แล้ว
จั๋วอวี๋สื่อกล่าวต่อว่า “ในเมื่อใช้กระบี่ ทั้งยังมีฝีมือยอดเยี่ยมเพียงนี้ ก็คงจะเป็นปู้เหล่าหลิน อู๋เอินเหมิน ซีไห่ไม่กี่สำนักนี้นั่นแหละ”
ซือเฟิงเฉินส่ายศีรษะพลางกล่าว “แม้นมือสังหารของปู้เหล่าหลินจะโหดเหี้ยมอำมหิต แต่ก็มิได้กระทำการอย่างกำเริบเสิบสานเพียงนี้ ส่วนสำนักอู๋เอินเหมิน….”
เขามิได้กล่าวจนจบ แต่ทุกคนกลับเข้าใจความหมายของเขา
หลายปีมานี้สำนักอู๋เอินเหมินถูกสำนักซีไห่กดดันอย่างหนัก ไหนเลยจะมีใจออกมาก่อความวุ่นวายในโลกภายนอก
ตามหลักแล้ว ความสามารถของสำนักอู๋เอินเหมินและสำนักซีไห่มิได้แตกต่างกันเท่าไรนัก ฐานรากของอู๋เอินเหมินนั้นเหนือกว่าซีไห่ แต่ทางซีไห่มีเทพกระบี่อยู่คนหนึ่ง นี่ทำให้อู๋เอินเหมินเองก็จนปัญญา ส่วนสำนักซีไห่…แม้นในการชุมนุมครั้งนี้จะไม่มีคนของซีไห่ แต่ที่นี่คือไห่โจว อิทธิพลของซีไห่กว้างขวาง ผู้ใดจะกล้ากล่าวโทษซีไห่ง่ายๆ?
พลันมีคนกล่าวขึ้นมา “เหตุใดจึงไม่มีใครสงสัยสำนักชิงซาน? คดีแรกสุดเกิดขึ้นที่ซางโจว จากนั้นก็เป็นเมืองเฉาหนาน ซึ่งเป็นพื้นที่ของสำนักชิงซาน”
ทุกคนต่างตกใจ ในใจครุ่นคิดคนผู้นี้เหิมเกริมยิ่งนัก ถึงกับกล้าสงสัยสำนักชิงซาน
ครั้นได้เห็นว่าคนผู้นั้นคือใคร ทุกคนจึงเข้าใจ
คนผู้นั้นมีนามว่าจู๋เจี้ย เป็นน้องชายผู้เป็นฆราวาสของจู๋กุ้ยแห่งวัดเฮยหลงที่ถูกสังหาร แล้วก็เป็นผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเพียรด้วยตนเองที่มีชื่อเสียงของสำนักจงโจว ได้ยินว่ามีสัมพันธ์อันดีกับสำนักกระบี่ซีไห่
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ สายตาทุกคนพลันไปตกอยู่ตรงมุมๆ หนึ่งที่ไม่สะดุดตา
ตรงนั้นมีชายหนุ่มสองคนนั่งอยู่
ทั้งสองคนสวมชุดสีเขียว ตั้งแต่ต้นจนจบมิได้กล่าวอะไร ดูไม่เป็นจุดสนใจ
ผู้ที่มีสีหน้าสุขุมนุ่มลึกมีนามว่าเยาซงซาน เป็นศิษย์อันดับที่สิบเอ็ดของยอดเขาเหลี่ยงว่าง
ศิษย์ที่อายุน้อยกว่ามีนามว่าหลินอิงเหลียง ตอนนี้กำลังเรียนกระบี่อยู่ที่ยอดเขาซื่อเยวี่ย ครั้งนี้ถูกเยาซงซานพาออกมาหาประสบการณ์ด้วย
เยาซงซานมองไปทางนั้น มิกล่าวกระไร แต่สายตากลับแหลมคมดุจกระบี่
กลับเป็นหลินอิงเหลียงที่ทนมิได้ สายตาจ้องมองจู๋เจี้ยพลางกล่าว “เจ้าอยากตายอย่างนั้นหรือ?”
…………………………………………………………………
[1]ซื่อไห่ หมายถึง สี่ทะเล
[2]กุ้ยเฟย คือ ตำแหน่งพระชายาอันดับที่หนึ่ง
คอมเม้นต์