มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 20 ฆ่าคนโดยมิเอ่ยวาจา

อ่านนิยายจีนเรื่อง มรรคาสู่สวรรค์ ภาค2 ตอนที่ 20 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

จู๋เจี้ยก้าวออกมาท้าทายอีกฝ่าย นี่คือคำแนะนำของกรมชิงเทียน

กรมชิงเทียนจัดวางกองทัพเสินเว่ยเอาไว้รอบเขา แต่ก็กังวลว่าอีกฝ่ายจะขี่กระบี่บินหนีไป พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะลงมือบนลานเมฆ ที่นี่มีผู้บำเพ็ญพรตอยู่หลายคน ยอดฝีมือของสำนักกระบี่ซีไห่เองก็มีอยู่จำนวนมาก มีเพียงสิ่งเดียวที่กรมชิงเทียนกังวลก็คือสำนักซีไห่อาจจะไม่พอใจเพราะงานเลี้ยงซื่อไห่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือคิดหาวิธียั่วโมโหอีกฝ่าย ขอเพียงอีกฝ่ายลงมือก่อน สำนักซีไห่ย่อมมิอาจกล่าวโทษราชสำนักหลังจากจบงานได้ เผลอๆ บางทีอาจจะกลายเป็นผู้ช่วยเหลือที่สำคัญที่สุดก็เป็นได้

ส่วนตัวเลือกที่ดีที่สุดย่อมต้องเป็นจู๋เจี้ย เนื่องเพราะเขามีสัมพันธ์อันดีกับสำนักกระบี่ซีไห่ สามารถว่ากล่าวอะไรในตำหนักได้ตามอำเภอใจ ยิ่งไปกว่านั้นการพูดจาของเขายากที่จะทนฟังได้จริงๆ

“หรือว่าเจ้าหน้าตาอัปลักษณ์? ตอนเป็นเด็กถูกใครใช้มีดกรีดใบหน้า ทำลายโฉมอย่างนั้นหรือ?”

“หรือว่าเจ้าหน้าตางดงาม จนไม่ยอมให้คนอื่นเห็น?”

“รีบถอดหมวกเสียเถอะ ตัวข้านั้นนิยมชมชอบหญิงงาม หากเจ้าต้องตาข้าจริงๆ ข้าจะต้องดูแลเจ้าเป็นอย่างดีแน่นอน

จู๋เจี้ยพูดจาไม่หยุด คำพูดทั้งเหยียดหยามและดูแคลนยิ่งนัก

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตในตำหนักรู้สึกแปลกใจ ในใจครุ่นคิดเหตุใดคำพูดจึงหยาบโลนถึงเพียงนี้ มาตรว่าเจ้ามีสัมพันธ์อันดีกับสำนักกระบี่ซีไห่ แต่ก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ หรือมิกลัวว่าจะทำให้เจ้าของงานไม่พอใจ? อีกอย่างเจ้ามีความมั่นใจอะไร…พี่ชายเจ้าตายไปแล้ว พระสนมเองก็มิได้มีความสัมพันธ์อันใดกับเจ้า

เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบมิพูดจา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดูหมิ่นอย่างไร นางก็มิได้เอ่ยปากตอบโต้

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าสีหน้าศิษย์ทั้งสองคนของชิงซานนั้นดูแย่ยิ่งนัก เยาซงซานที่มาจากยอดเขาเหลี่ยงว่างหรี่ตา คิ้วที่เรียวยาวราวกระบี่เลิกขึ้นเล็กน้อย เตรียมพร้อมจะสังหารคน

ที่นั่งของเซี่ยงหว่านซูแห่งสำนักจงโจวและมั่วซีแห่งสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยอยู่ใกล้สำนักชิงซาน พวกเขาสังเกตได้ถึงกลิ่นอายของเยาซงซานที่เปลี่ยนไป สีหน้าพลันคร่ำเคร่งขึ้นมาเล็กน้อย

“สาวน้อย…”

จู๋เจี้ยกล่าววาจาดูแคลนเจ้าล่าเยวี่ยมิหยุด สีหน้าท่าทางดูชั่วร้ายและเยาะเย้ยยิ่งนัก

ทันใดนั้น เสียงเขาพลันหยุดไป

ภายในตำหนักอันโอ่โถงพลันมีแสงสีแดงสว่างวาบขึ้นมา

อากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมมีกลิ่นคาวเลือดแผ่กระจายออกมาจางๆ

ลำคอของจู๋เจี้ยขาดเป็นรู โลหิตสดๆ พุ่งกระเซ็นออกมาราวกับน้ำพุอย่างไรอย่างนั้น

กระบี่บินวกกลับ บินมาถึงตรงหน้าเจ้าล่าเยวี่ย ก่อนจะหายไปในฝ่ามือของนาง

ในเวลานี้ จู่เจี้ยเพิ่งจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ในดวงตาเผยให้เห็นสายตาที่ตะลึงลานและสิ้นหวัง สองมือกุมลำคอของตัวเองไว้แน่น

โลหิตไหลทะลักออกมาจากช่องว่างระหว่างนิ้วของเขา ภาพเหตุการณ์ดูโหดร้ายทารุณยิ่งนัก

ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยชีวิตเขาได้ จู๋เจี้ยใบหน้าขาวซีด ร่างกายค่อยๆ คุกเข่าลงไปกับพื้น ส่งเสียงร้องคล้ายกล่องสูบลมที่เสียแล้ว ก่อนจะหมดลมไปทั้งแบบนี้

ภายในตำหนักตกตะลึง ผู้บำเพ็ญต่างลุกขึ้นมอง ใคร่จะดูให้ชัดว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่

สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องไปยังเจ้าล่าเยวี่ย นอกจากความตกตะลึงแล้วยังมีความรู้สึกหวาดกลัว

นางกับจู๋เจี้ยอยู่ห่างกันร้อยกว่าจ้าง แต่กลับสามารถสังหารได้ในกระบี่เดียว อีกทั้งกระบี่ที่บินกลับมายังซ่อนเข้าไปในฝ่ามือ

หากแบ่งตามสภาวะของสำนักชิงซานอันเป็นที่นิยมที่สุดในดินแดนทางใต้ เช่นนั้นมิเท่ากับว่านางบรรลุขั้นมิประจักษ์แล้วหรอกหรือ?

เซี่ยงหว่านซูและมั่วซีสบตากัน ต่างคนต่างมองเห็นความตกตะลึงในใจอีกฝ่าย

หญิงสาวที่สวมหมวกลี่เม่านี้น่าจะอายุไล่เลี่ยกับตน แต่สภาวะกลับสูงส่งกว่าตนเอง?

นางเป็นใครกันแน่? แล้วยังมีกระบี่บินเล่มนั้นคือกระบี่อะไรกันแน่? ไฉนจึงมีจิตสังหารที่น่าหวาดกลัวขนาดนั้น?

“กลางวันแสกๆ เจ้ายังกล้ากระทำการเหิมเกริมต่อหน้าทุกคนอย่างนั้นรึ!”

เสียงอันโกรธเกรี้ยวเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านนอกตำหนัก

ในที่สุดเหล่าเจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียนก็ปรากฏตัวออกมา

เมื่อเห็นจู๋เจี้ยที่นอนจมกองเลือด ซือเฟิงเฉินสีหน้าคร่ำเคร่ง จิตใจรู้สึกหนักอึ้ง

จู๋เจี้ยยั่วโมโหอีกฝ่ายตามที่เขาขอได้สำเร็จ แต่…เขากลับไม่สามารถหยุดยั้งการสังหารคนของอีกฝ่ายได้

นี่ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความรู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงปะทุขึ้นมา

ซือเฟิงเฉินสูดหายใจ สงบสติอารมณ์ เขาพูดกับเหล่าผู้บำเพ็ญพรตภายในตำหนักว่า “เรียนอาจารย์เซียนทุกท่าน ฆาตกรที่สวมหมวกลี่เม่าผู้นี้คือคนร้ายที่ราชสำนักกำลังตามจับอยู่ เมื่อสองปีก่อนสังหารคนไปเกือบร้อยคน ก่อกรรมทำเข็ญมากมาย มิอาจปล่อยให้นางหนีรอดไปได้เด็ดขาด!”

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมประชุมกับกรมชิงเทียนเมื่อหลายวันก่อนตอบสนองได้รวดเร็วที่สุด

พวกเขาลุกออกจากที่หนึ่ง เรียกกระบี่และอาวุธวิเศษที่ติดตัวมา ภายในตำหนักเต็มไปด้วยแสงสว่าง จิตสังหารอบอวล

เซี่ยงหว่านซูมองดูเจ้าล่าเยวี่ย คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย คล้ายคาดไม่ถึงว่าสาวน้อยผู้นี้จะเป็นคนชั่ว

สายตามั่วซีเองก็มองไปที่นาง คิ้วที่โค้งเว้าดั่งใบหลิวขมวดเล็กน้อย เผยให้เห็นสีหน้าที่ดูรังเกียจ

สิ่งที่ทำให้กรมชิงเทียนและเหล่าผู้บำเพ็ญพรตประหลาดใจก็คือ สมณะแพทย์ของวัดกั่วเฉิงสองรูปนั้นมิขยับ จั๋วอวี๋สื่อแห่งต้าเจ๋อก็มิขยับ ที่น่าประหลาดก็คือเยาซงซานก็มิขยับเช่นกัน คนผู้นี้คืออาจารย์เซียนจากยอดเขาเหลี่ยงว่างที่ขึ้นชื่อว่าชื่นชอบการต่อสู้ รังเกียจความชั่วร้ายมิใช่หรือ?

อยู่ห่างไปร้อยจ้าง สังหารจู๋เจี้ยด้วยกระบี่เดียวในพริบตา จริงอยู่ที่สภาวะที่เจ้าล่าเยวี่ยแสดงออกมานั้นแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ภายในตำหนักเวลานี้มียอดฝีมืออยู่เป็นจำนวนมาก อาทิเช่นเหอจือชงผู้อาวุโสแห่งคุนหลุน หรืออย่างเช่นเซี่ยงหว่านซู ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าที่นี่เป็นสถานที่ของสำนักกระบี่ซีไห่ ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานก็เป็นยอดฝีมือระดับขั้นคเนจร!

ตามหลักแล้ว เจ้าล่าเยวี่ยแทบจะไม่มีโอกาสสังหารจู๋เจี้ยในสถานการณ์เช่นนี้เลย

การปล่อยกระบี่ของนางกะทันหันเป็นอย่างมาก

คนอื่นกล่าววาจาไม่ลงรอยกันจึ่งสังหาร แต่นางกลับสังหารโดยไม่เอ่ยวาจา

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือไม่มีผู้ใดคิดถึงว่านางจะกล้าสังหารคนที่นี่

ที่นี่คือลานเมฆซึ่งเป็นสถานที่สำคัญของสำนักกระบี่ซีไห่ แม้นจะบอกว่าเป็นเพราะงานเลี้ยงซื่อไห่ ข่ายพลังจึงหยุดชั่วคราว แต่การสังหารคนที่นี่ มันก็เหมือนเป็นการท้าทายสำนักกระบี่ซีไห่

ผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ซีไห่มองเจ้าล่าเยวี่ยอย่างเยือกเย็น จิตจำแนกที่มีความกดดันอย่างรุนแรงปกคลุมตัวนางเอาไว้

จนกระทั่งถึงตอนนี้ ซีหวังซุนก็ยังมิเผยตัวออกมา ทั้งยังมิกล่าวอะไร

ไม่มีผู้ใดรู้ว่ายอดฝีมือลึกลับที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาในสำนักซีไห่ผู้นี้กำลังสังเกตเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเงียบๆ อยู่ในส่วนลึกของตำหนัก

ทุกอย่างล้วนแต่อยู่ในการควบคุมของเขา

เขาใคร่อยากดูว่าคนหนุ่มสาวที่สวมหมวกลี่เม่าสองคนนั้นจะรับมือกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร จากนั้นค่อยปล่อยพวกเขาไป

“หนี้เลือดของศิษย์หลานสำนักซานตูเหล่านั้น วันนี้เจ้าคืนมาทั้งหมดทีเดียวแล้วกัน”

เหอจือชงผู้อาวุโสแห่งสำนักคุนหลุนค่อยๆ ลุกขึ้น สายตามองดูเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าว

สิ้นเสียงเขา วงจักรพระจันทร์อันคมกริบวงหนึ่งส่งเสียงคำรามแหวกอากาศขึ้นมา ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาเจ้าล่าเยวี่ยพร้อมจิตสังหารอันรุนแรง

พริบตานั้น กระบี่บินเล่มหนึ่งพุ่งขึ้นไปจากด้านล่าง

กระบี่บินเล่มนั้นเปล่งแสงเจิดจ้า รวดเร็วยิ่งนัก คล้ายเส้นสีเขียวที่เป็นเส้นตรง

เสียงเคร้งดังสนั่น!

วงจักรพระจันทร์ถูกกระบี่บินเล่มนี้ฟันใส่จากด้านล่าง ก่อนจะบินเอนเอียงกลับไปตรงหน้าของผู้อาวุโสแห่งคุนหลุน หมุนคว้างกลางอากาศ สงเสียงดังวูมๆ

ผู้อาวุโสของคุนหลุนใบหน้าแดงเรื่อ หนวดเครากระจายยุ่งเหยิง มุมปากมีโลหิตสดๆ ไหลซึมออกมา สภาพดูทุลักทุเล

จริงอยู่ที่กระบี่บินเล่มนั้นแข็งแกร่ง แต่สภาวะของผู้บังคับกระบี่นั้นมิได้สูงกว่าเขา เขาเพียงแต่มิได้ระวัง จึงทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

เขามองไปยังที่นั่งของสำนักชิงซาน พลางกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “เยาซงซาน เจ้าบ้าไปแล้วรึ!”

………………………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด