มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 28 งานชุมนุมซื่อเจี้ยนของชิงซาน
สถานที่จัดงานชุมนุมซื่อเจี้ยนของชิงซานคือยอดเขาเทียนกวง พูดให้ถูกก็คือในป่ากระบี่
ป่ากระบี่คือป่าหินที่มีเสาหินนับร้อยๆ ตั้งเรียงราย เสาหินเหล่านั้นใหญ่ประมาณชามข้าว แต่กลับสูงร้อยกว่าจ้าง ดูคล้ายกระบี่ยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนจ่อไปบนท้องฟ้า ดูยิ่งใหญ่ตระการตา
ศิษย์จำนวนมากเพิ่งจะเคยเข้าร่วมงานชุมนุมซื่อเจี้ยนเป็นครั้งแรก แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นป่าหินในระยะใกล้ขนาดนี้ จึงรู้สึกตกตะลึง ในใจครุ่นคิดอีกประเดี๋ยวตนเองต้องขึ้นไปยืนอยู่บนปลายเสาหินเหล่านี้เพื่อประลองกับศิษย์ร่วมสำนัก จึงอดรู้สึกประหม่าขึ้นมามิได้
งานชุมนุมนี้ไม่เหมือนกับงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน งานชุมนุมซื่อเจี้ยนคล้ายการต่อสู้ที่แท้จริงมากกว่า อันตรายมากกว่า ทุกครั้งจะมีลูกศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก แล้วก็มีผู้บาดเจ็บสาหัสอยู่ไม่น้อย ได้ยินว่าในงานชุมนุมซื่อเจี้ยนเมื่อหลายปีก่อน ถึงขนาดมีศิษย์เสียชีวิตในงานประลอง และด้วยสาเหตุเหล่านี้ อีกทั้งไม่อยากให้โลกภายนอกรู้ถึงความสามารถที่แท้จริง สำนักชิงซานจึงไม่เคยเชื้อเชิญสำนักอื่นให้มาชมงานชุมนุม แม้นจะเป็นสำนักที่มีสัมพันธ์อันดีมาหลายพันปีอย่างวัดกั่วเฉิง สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยและต้าเจ๋อก็ตาม
ศิษย์จำนวนหลายร้อยคนมายังรอบป่ากระบี่ มิได้ส่งเสียงใดๆ
กระบี่ดำที่ทั้งกว้างทั้งตรงเล่มหนึ่งลอยนิ่งอยู่กลางอากาศด้านบนลานหิน แผ่ไอเยือกเย็นที่เสียดกระดูกออกไปรอบๆ
นี่คือกระบี่สามฉื่อแห่งยอดเขาซั่งเต๋อ
วันนี้หยวนฉีจิงมาดูแลงานชุมนุมด้วยตนเอง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ การหายใจของเหล่าลูกศิษย์คล้ายถูกแช่แข็งเอาไว้ ไหนเลยจะกล้าส่งเสียงดัง
ฟิ้วๆๆๆ!
เสียงแหวกอากาศดังขึ้นไม่หยุด
ลำแสงกระบี่หลายสายส่องสว่างเสาหินนับร้อยแท่งบนยอดเขา แสงสว่างกระจายออกมานับไม่ถ้วน
กระบี่บินหกเล่มค่อยๆ บินลงตั้งเป็นแถวอยู่ด้านหลังกระบี่สามฉื่อ
บางเล่มดูโบราณเรียบง่ายและเยือกเย็น บางคมดูแหลมคมยิ่งนัก บางเล่มดูทรงพลังราวสายฟ้า
กระบี่สามฉื่อ!
กระบี่สุญตา!
กระบี่พิณอำไพ!
กระบี่สุริยันหวนกลับ!
กระบี่กาลนาน!
กระบี่น้ำขึ้น
แล้วก็…กระบี่มิคำนึง!
เมื่อเห็นภาพนี้ ในที่สุดศิษย์จำนวนนับหลายร้อยคนก็มิอาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป พวกเขาเริ่มพูดคุยกัน สีหน้าดูตื่นเต้น
กระบี่หลักของแต่ละยอดเขาในชิงซาน เก้าเล่มมาอยู่ที่นี่เจ็ดเล่ม!
ภาพแบบนี้มิได้ปรากฏให้เห็นมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังสุดยอดกระบี่เหล่านั้น
กระบี่บินสีเลือดที่ตั้งอยู่ด้านหลังสุดเล่มนั้นได้รับความสนใจมากที่สุด แล้วก็ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกทอดถอนใจอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน
ผู้อาวุโสที่เส้นผมกลายเป็นสีขาวบางคนถึงขนาดเกิดความรู้สึกคล้ายอยู่กันคนละโลก
นักพรตจิ่งหยางไม่เคยร่วมงานของสำนักมาก่อน กระบี่มิคำนึงย่อมปรากฏตัวน้อยครั้งเช่นกัน
ครั้งสุดท้ายที่กระบี่มิคำนึงปรากฏตัวอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ขณะนั้นเจ้าสำนักยังเป็นนักพรตไท่ผิง หยวนฉีจิงเพิ่งจะรับตำแหน่งเจ้าแห่งยอดเขา
นั่นมันผ่านมานานเท่าไรแล้ว?
……
……
บนหน้าผาที่อยู่ตรงข้ามกับป่ากระบี่มีแท่นหินอยู่เก้าแท่น
แท่นหินเก้าแท่นนั้นก็คือที่นั่งของเหล่าผู้อาวุโสของยอดเขาทั้งเก้า มีเพียงแท่นที่สองที่เป็นศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างโดยมีกั้วหนานซานเป็นผู้นำ
เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้เป็นอาจารย์ ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างจึงไม่มีที่นั่ง พวกเขาจะยืนตลอดทั้งงาน
สายตาจำนวนมากมองไปทางแท่นหินที่เก้า
เจ้าล่าเยวี่ยมาแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการคารวะกับเหล่าผู้อาวุโสของแต่ละยอดเขาด้วยระดับความอาวุโสที่เท่าเทียมกัน หรือรับการคารวะจากเหล่าศิษย์ สีหน้าของนางล้วนแต่สงบนิ่ง มิได้มีความประหม่าหรือกระอักกระอ่วนใดๆ
เจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงครุ่นคิด จิตใจความกล้านี้อยู่เหนือศิษย์ธรรมดาทั่วไป ช่างดูคล้ายกับอาจารย์อาเล็กเมื่อกาลก่อน ดูเหมือนตำแหน่งนี้สมควรจะเป็นของนางจริงๆ
ในตอนที่นางมองไปทางจิ๋งจิ่วที่อยู่ข้างกายเจ้าล่าเยวี่ย สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา
ความคิดของผู้อาวุโสอีกหลายคนที่มีต่อจิ๋งจิ่วเองก็ซับซ้อนอย่างมากเช่นกัน แม้นจะไม่ใช่ความซับซ้อนอย่างเดียวกับเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงก็ตาม
มีบางคนบอกว่าจิ๋งจิ่วยังอายุน้อย การที่ยังไม่ได้บรรลุเข้าสู่สภาวะมิประจักษ์ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อเทียบกับเจ้าล่าเยวี่ยและจัวหรูซุ่ยที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ก็ยังถือว่าอ่อนแอนกว่า
ได้ยินว่าขณะนี้ัจัวหรูซุ่ยอยู่ในขั้นมิประจักษ์ระดับสูงแล้ว เมื่อออกจากการเก็บตัวมีโอกาสสูงมากที่จะก้าวข้ามประตูสภาวะคเนจรบานนั้นไปได้ ถึงเวลานั้นจะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดินอย่างแน่นอน
แต่ผู้อาวุโสของยอดเขาทั้งเก้าหลายๆ คนกลับมิได้คิดเช่นนี้
จิ๋งจิ่วเคยแสดงฝีมือเพียงแค่ครั้งเดียว นั่นก็คือตอนที่เอาชนะกู้ชิงในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเมื่อสามปีก่อน
และการแสดงฝีมือครั้งนั้นก็ทำให้ผู้อาวุโสหลายคนมั่นใจว่าศิษย์หนุ่มผู้นี้คืออัจฉริยะแห่งวิถีกระบี่
ในงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ปีนี้ เพลงกระบี่ที่กู้ชิงใช้เห็นได้ชัดว่ามาจากจิ๋งจิ่ว เจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงอยากรับเขาไว้เป็นศิษย์ก็เนื่องจากชื่นชมในจุดนี้
จนถึงตอนนี้ ผู้อาวุโสเหล่านั้นยังคงนิ่งเงียบ มิได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อจิ๋งจิ่ว เพียงเพราะไม่ให้ทำให้สำนักอื่นๆ หันมาจับตามอง โดยเฉพาะสำนักจงโจว
พวกเขาหวังว่าในอนาคตจะกลายเป็นกองทัพปาฏิหาริย์ของสำนักชิงซานได้
หลังรู้เรื่องการนัดหมายกับสำนักจงโจวในงานเลี้ยงซื่อไห่ พวกเขาก็ยิ่งเฝ้ารอคอยการแสดงฝีมือของจิ๋งจิ่วในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีหน้า
ไม่สามารถเอาชนะถงเหยียนในการแข่งหมากล้อมได้? พวกเขามิได้สนใจแม้แต่น้อย
จิ๋งจิ่วจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่อายุเท่ากันของสำนักจงโจวได้หรือเปล่า นี่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่พวกเขาสนใจ
……
……
ลำดับการประลองในงานชุนนุมซื่อเจี้ยนใช้วิธีจับฉลากทั้งหมด จนกระทั่งคัดเลือกผู้ชนะสิบคนสุดท้ายเพื่อเป็นตัวแทนสำนักชิงซานไปเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีหน้าออกมาได้
หากต้องเจอกับศิษย์พี่ของยอดเขาเหลี่ยงว่างตั้งแต่รอบแรก อย่างนั้นก็ได้แต่บอกว่าเจ้าโชคไม่ดี
การประลองทางวิถีกระบี่ สิ่งที่เน้นย้ำคือสรรพสิ่งรวมอยู่ในหนึ่งกระบี่ โชคเป็นเพียงส่วนหนึ่งในนั้นเท่านั้น
แล้วก็ไม่มีใครกล้าเล่นลูกไม้อะไรในช่วงการจับฉลาก แม้นในคุกกระบี่ของยอดเขาซั่งเต๋อจะคุมขังอสูรปีศาจเอาไว้จำนวนมาก แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าด้านในยังมีห้องว่างเหลืออยู่อีกเท่าไร
ฉี่หยวนเหลียงโชคร้ายอย่างมาก
เขาเพิ่งจะได้สืบทอดกระบี่เมื่อสามปีก่อน วันนี้เข้าร่วมงานชุมนุมซื่อเจี้ยนเป็นครั้งแรกก็ถูกจัดให้ประลองเป็นคู่แรก
ที่โชคร้ายกว่านั้นคือเขาได้เยาซงซานเป็นคู่ต่อสู้….
ลำแสงกระบี่สองสายลอยขึ้นจากพื้น
เยาซงซานและฉี่หยวนเหลียงขึ้นไปยืนอยู่บนเสาหินสองแท่งที่อยู่ตรงข้ามกัน ระยะห่างประมาณร้อยกว่าจ้าง
ปลายเสาหินสูงขึ้นไปจากพื้นหลายร้อยจ้าง ด้านล่างมีเมฆหมอกลอยล่อง หากคนธรรมดาต้องมายืนอยู่บนนี้ เกรงว่าคงจะแข้งขาอ่อนจนตกลงไปตายเป็นแน่
ฉี่หยวนเหลียงย่อมต้องรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์พี่ลำดับที่สิบเอ็ดของยอดเขาเหลี่ยงว่างผู้นี้ แต่ศิษย์ชิงซานจะละทิ้งการต่อสู้ได้อย่างไร
เขาฝืนบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ รวบรวมความกล้ากล่าวออกไปว่า “เชิญ!”
……
……
ไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย เยาซงซานเป็นฝ่ายชนะ จากนั้นก็มีศิษย์ทยอยบินขึ้นไปบนป่าหินแล้วเริ่มการประลองกระบี่
เมื่อเทียบกับงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนแล้ว งานชุมนุมซื่อเจี้ยนน่าตื่นตาตื่นใจกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไร แล้วก็ย่อมต้องอันตรายกว่ามากด้วย
ลำแสงกระบี่ที่บ้างดุดันบ้างละเอียดลออบินฉวัดเฉวียนไปมาระหว่างเสาหินที่สูงเสียดฟ้า มีเศษหินร่วงตกลงไปด้านล่างอยู่ตลอดเวลา
แม้นจะมีม่านพลังของข่ายพลังปกคลุมอยู่ แต่ก็ยังได้ยินเสียงเสียดหูอย่างรุนแรงในขณะที่กระบี่บินแหวกอากาศ ทั้งยังสามารถรับรู้ได้ถึงเจตน์กระบี่อันรุนแรงเหล่านั้น
การต่อสู้ดำเนินมาถึงจุดที่ดุเดือดที่สุด ทั้งสองฝ่ายขี่กระบี่บินออกไปจากเสาหินที่ยืนอยู่เดิม ต่อสู้โดยยืนอยู่บนกระบี่ มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบออกมาอยู่ตลอดเวลา แล้วยังมีเปลวไฟอันร้อนแรงลุกขึ้นมาด้วย
เหล่าลูกศิษย์จ้องมองไปยังเงาคนและลำแสงกระบี่ที่บินไปมาอย่างรวดเร็วในป่าหิน สายตาไม่ละไปไหน ไม่ยอมปล่อยให้พลาดภาพเหตุการณ์ใดๆ ไปแม้แต่ภาพเดียว
อาจารย์ของแต่ละยอดเขาเองก็จับตาดูการต่อสู้ของเหล่าศิษย์ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง เตรียมพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือทุกเมื่อ
เพราะในการประลองกระบี่เช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายมิอาจออมแรงได้แม้เพียงนิดเดียว เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ ต่อให้คิดจะหยุดมือก็ยากที่จะทำได้
ทว่าสายตาจิ๋งจิ่วกลับมิได้อยู่ที่ป่าหิน
เขาจ้องมองไปยังทางขึ้นเขาสายหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
ทางสายนั้นคับแคบ เลือนรางอยู่ใต้สายหมอก ไม่รู้มุ่งไปยังที่ใด
เขารู้ว่าจากหน้าผาตรงนั้นอ้อมขึ้นไปก็จะเป็นที่พักของเหล่าศิษย์ยอดเขาเทียนกวง
หลิ่วสือซุ่ยอยู่ที่นั่น
………………………………………………………………….
คอมเม้นต์