มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 88 ความวุ่นวายหลังจบศึกประลอง

อ่านนิยายจีนเรื่อง มรรคาสู่สวรรค์ ภาค2 ตอนที่ 88 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

หลังจิ๋งจิ่วเดินออกไป ถงเหยียนก็เดินออกไป

การประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ดังนั้นย่อมไม่มีทางจะจบลงเพียงเท่านี้แน่นอน

ผู้ชนะในการประลองหมากล้อมจะได้รับการประสาทพรจากฉานจึพร้อมกับผู้ชนะจากการประลองอีกสี่รายการ อีกทั้งเดิมทีนี่ยังเป็นชื่อเสียงเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่อย่างมากด้วย

แต่เป็นเพราะเหตุผลบางอย่างที่สามารถเข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือทางวิถีหมากที่แท้จริงเหล่านั้นหรือว่าผู้ที่แค่ชื่นชอบเล่นหมากล้อมต่างรู้สึกไม่ค่อยมีความสนใจเท่าไร ดูไม่ค่อยมีความกระตือรือร้น

“ข้าเองก็จะไปเหมือนกัน” เหอจานเอาไหสุราเหน็บข้างเอว ก่อนกล่าวกับเซ่อเซ่อว่า “ถ้ามีโอกาสจะไปเล่นกับเจ้าที่สำนักเสวียนหลิงนะ ข้าจะพาเจ้าไปจับปลาที่ต้าเจ๋อ หัวปลาที่นั่นเอามาตุ๋นแล้วหอมมาก อร่อยกว่าปลาย่างเสียอีก”

เซ่อเซ่อมิได้สนใจคำพูดท่อนหลังของประโยคนี้เลย นางถามอย่างตกใจว่า “เจ้าไม่ประลองหมากล้อมแล้วหรือ?”

“ใช่” เหอจานนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “หลังจากนี้ก็ไม่เล่นแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ สายตาที่ตกตะลึงจำนวนมากมองมาที่เขา

จิ๋งจิ่วและถงเหยียนจากไป เหอจานย่อมต้องเป็นผู้ที่มีโอกาสคว้าอันดับหนึ่งในการประลองหมากล้อมครั้งนี้อย่างแน่นอน

ต่อให้จิตใจเขาจะถูกการประลองก่อนหน้านี้ทำให้ตกตะลึงอย่างมาก หรือว่าไม่อยากจะฉวยโอกาสนี้ในการสร้างชื่อเสียง แต่เหตุใดถึงบอกว่าหลังจากนี้จะไม่เล่นหมากล้อม?

คำพูดหลังจากนั้นของเหอจานไม่รู้ว่าเป็นการตอบเซ่อเซ่อหรือว่ากล่าวกับทุกคนที่อยู่ในเขาฉีผาน

“ต่อให้ข้าเกิดใหม่ก็ไม่มีทางเอาชนะสองคนนั้นได้ กระทั่งชายเสื้อของพวกเขาก็ไม่มีทางได้สัมผัส แล้วยังจะเล่นต่อไปเพื่ออะไร?”

……

……

จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยปล่อยมือกันเมื่อมาถึงปากทางถนนใหม่ คล้ายกับเมื่อหลายวันก่อน ทุกอย่างล้วนแต่เป็นปกติ คล้ายว่าวันนี้มิได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

ชายหลังคาของวัดไท่ฉางถูกน้ำฝนชะล้าง สีดำส่องประกาย ดูแล้วคล้ายเขาของมังกร

จิ๋งจิ่วดึงสายตากลับมา เขาเดินขึ้นบันไดหิน ผลักประตูเดินเข้าไป

ทุกคนในบ้านต่างนั่งอยู่ในโถงด้านนอก เมื่อเห็นเขาเข้ามา จึงพากันลุกขึ้นยืน

“ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ?”

ท่าทีของพี่ใหญ่แห่งตระกูลจิ๋งดูมีความเคารพมากกว่าเมื่อหลายวันก่อน แต่ในสายตาเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกดีใจ

จิ๋งจิ่วเห็นเขา จึงนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองลืมเรื่องๆ หนึ่งไป

หลายวันก่อนตอนที่เขาให้อีกฝ่ายเดิมพันการประลองหมากล้อม เขาบอกให้อีกฝ่ายเดิมพันว่าตนเองจะเป็นผู้ชนะการประลองในตอนสุดท้าย วันนี้ตนเองประลองไปเพียงกระดานเดียวก็กลับมาแล้ว

เขากล่าวว่า “เสียไปเท่าไร เดี๋ยวข้าใช้ให้เจ้า”

พี่ใหญ่ตระกูลจิ๋งกล่าวอย่างดีใจว่า “ไม่เป็นไร ข้าเดิมพันแบบชนะกระดานเดียว”

……

……

ตอนที่อยู่บนเขาฉีผาน ฝนก็ได้หยุดลงแล้ว

ด้านนอกหน้าต่างไม่มีเสียง เงียบสงัดเป็นยิ่งนัก เหมาะสำหรับการเข้านอน

แต่จิ๋งจิ่วกลับนอนไม่หลับ เขาครุ่นคิดถึงเรื่องบางเรื่อง

เขามายังเมืองเจาเกอเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดก็คือมาดูว่าคนผู้นั้นจะมาหาตนเองหรือเปล่า

แต่ในเมื่อเจ้าล่าเยวี่ยกล่าวคำพูดเหล่านั้น ในตอนที่เขาออกหน้าให้สือซุ่ยก็พูดออกไปอีกรอบหนึ่ง เช่นนั้นแวะประลองหมากรุกหน่อยก็คงไม่เป็นไร

ก็แค่เกมเกมหนึ่งเท่านั้น

ก็เหมือนกับที่เขากล่าวกับถงเหยียนตอนที่อยู่ในเขาฉีผาน

แต่มันเป็นแค่เกมจริงๆ หรือ?

เขาลุกขึ้นเดินไปยังหน้าชั้นหนังสือ ก่อนจะหยิบหมากล้อมชุดนั้นออกมา จากนั้นกลับมาที่โต๊ะ แล้ววางหมากที่เล่นในวันนี้อีกครั้ง

เขายืนอยู่หน้าโต๊ะ มองดูกระดานหมากล้อมอยู่เป็นเวลานาน

สีดำขาวของตัวหมากแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน แต่สุดท้ายกลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

การประลองในวันนี้เขาเป็นฝ่ายชนะ แต่เขาทราบดีว่าตนเองชนะในเรื่องบางเรื่องที่ถงเหยียนไม่สามารถทำได้

เขาไม่คิดว่านั่นเป็นการเอาชนะอย่างไม่ใสสะอาด เพียงแต่เมื่อยืนอยู่ในจุดของถงเหยียนแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของถงเหยียนเช่นเดียวกัน

สภาพร่างกายของเขาในตอนนี้มีความพิเศษอย่างมาก เขามีระดับความแข็งแกร่งของจิตใจที่แทบจะไร้ขีดจำกัด

หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ต่อให้เขาเริ่มเรียนหมากล้อมตั้งแต่เล็ก ก็คงยากที่จะทำเหมือนอย่างวันนี้ได้

หมากของถงเหยียนในวันนี้เข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบ หากไม่เป็นเพราะสภาพจิตใจและร่างกายเหนื่อยล้าจนเกินไปในช่วงท้าย จนทำให้การเดินตาที่เจ็ดนับจากสุดท้ายมีความฝืนมากเกินไป เขาเองก็คงไม่มีทางที่จะคว้าโอกาสที่ทำให้ตนเองสามารถหลบหนีได้ตลอดเวลาอันนั้นเอาไว้ได้  หรือถ้าหากถงเหยียนลดความเร็วในการเดินหมากลง ทำให้การประลองครั้งนี้กลายเป็นการประลองระยะยาวหลายสิบวัน การแพ้ชนะของการประลองครั้งนี้ก็คงยังไม่รู้ผล

ดังนั้นเขาจึงรับรู้และเข้าใจถึงความเจ็บปวดในตอนสุดท้ายของถงเหยียน

“เจ้ายังคงเป็นที่หนึ่งในโลก”

จิ๋งจิ่วมองดูกระดานหมาก พลางกล่าวกับถงเหยียน

ในตอนเหยียบลงไปในแม่น้ำใต้ดินที่อยู่ในภูเขาลูกนั้น เขานึกว่าครั้งนี้ตนเองคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนยังคงมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป ถึงแม้จะน้อยนิดอย่างมากก็ตาม

บางทีอาจจะเป็นเพราะได้สัมผัสกับดินแดนอะไรบางอย่างที่ครั้งที่แล้วไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เลยเกิดความหวั่นไหวหรือ?

จิ๋งจิ่วไม่แน่ใจในจุดนี้ การจะคำนวณการเปลี่ยนแปลงที่เล็กละเอียดที่อยู่ในใจแห่งเต๋านั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินไป และเขาในตอนนี้ก็เหนื่อยอย่างมากแล้ว

เขาเดินไปริมหน้าต่าง มองดูสวนที่เงียบสงบในยามค่ำคืน ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด อารมณ์ของเขากลับรู้สึกผิดหวังห่อเหี่ยว

อารมณ์เช่นนี้ หรือพูดอีกอย่างคืออารมณ์ทั้งหมด ล้วนแต่เป็นเรื่องที่แทบจะไม่เคยปรากฏขึ้นมาในใจของเขา

ตรงเรือนที่อยู่ด้านหน้าพลันมีเสียงหัวเราะของเด็กและเสียงอุทานตกใจของผู้หญิงดังขึ้นมา จากนั้นก็เป็นเสียง ‘ชู่ว’ ที่ดูค่อนข้างตื่นเต้น ก่อนจะกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง

พี่ใหญ่ของตระกูลจิ๋งคงจะกำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ แล้วก็เรื่องการเดิมพันอันนั้นให้ทุกคนฟังอยู่

หากจิ๋งจิ่วคิดอยากจะฟังพวกเขาคุยกันย่อมต้องฟังได้ แต่เขามิได้ทำเช่นนั้น อารมณ์ของเขาค่อยๆ สงบลง

……

……

หลังจากนั้นหลายวัน การประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยดำเนินต่อไป

เป็นเพราะวันนั้นสภาพจิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง กู่หยวนหยวนที่สำนักเฟิงเตาฝากความหวังเอาไว้ฝืนทนเล่นได้เพียงสองกระดานก็ต้องพ่ายให้กับผู้บำเพ็ญพรตที่ไม่รู้จักชื่อผู้หนึ่งไป สภาพจิตใจของซั่งจิ้วโหลวเองก็เหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก สุดท้ายก็ไม่สามารถทนจนถึงที่สุดได้ เขาลงจากเขาฉีผานไปในวันที่ห้าของการประลอง

คนที่เป็นผู้ชนะการประลองหมากล้อมในท้ายที่สุดคือเชวี่ยเหนียงแห่งสำนักจิ้งจง

สมแล้วที่สาวน้อยที่มีกระผู้นั้นเป็นคนที่ถงเหยียนเคยให้คำชี้แนะด้วยตนเอง เห็นๆ อยู่ว่าได้รับผลกระทบจากหมากกระดานนั้นเช่นเดียวกัน แต่นางกลับยืนหยัดจนถึงท้ายที่สุดได้

ได้ยินว่านางคล้ายจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากการประลองหมากกระดานนั้น สภาวะของวิถีแห่งหมากมีความก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม

หมากกระดานนั้นย่อมต้องหมายถึงหมากที่จิ๋งจิ่วเล่นกับถงเหยียนกระดานนั้นในวันแรกของการประลองหมากล้อม

แทบจะไม่มีใครสนใจผลการประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ผู้คนต่างกำลังถกเถียงถึงหมากกระดานนั้นอยู่

โรงพิมพ์ในเมืองเจาเกอใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดในการพิมพ์บันทึกการเดินหมากออกมานับหลายพันใบ ก่อนจะถูกแย่งไปจนหมด แล้วส่งไปยังตระกูลต่างๆ

กระดานที่จิ๋งจิ่วและถงเหยียนใช้เดินหมากและตัวหมากถูกส่งกลับเข้าไปในวังวันนั้น โดยหมากทุกตัวถูกวางเอาไว้เหมือนเดิม จากนั้นใช้วิชาในการผนึกให้มันคงรูปเอาไว้ ว่ากันว่าฝ่าบาททรงทอดพระเนตรมันทั้งคืน

แม้แต่คนที่เดินไปเดินมาและพ่อค้าหาบเร่ที่มิได้สนใจอะไรในหมากล้อมก็ยังพูดคุยถึงหมากกระดานนี้อย่างสนุกสนาน เพียงแต่รายละเอียดหลายๆ อย่างถูกพูดต่อกันจนเปลี่ยนไปจากเดิม ฟังดูแล้วมหัศจรรย์ยิ่งนัก

……

……

ถงเหยียนเดินทางออกจากเมืองเจาเกอ ทิ้งการประลองวิถีพรตซึ่งเป็นรายการที่สำคัญที่สุดไป หลังกลับมายังเขาอวิ๋นเมิ่งก็เริ่มเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ว่ากันว่าสำนักจงโจวไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้

ทุกคนต่างรู้ว่าคนที่สำนักจงโจวรู้สึกไม่พอใจมิใช่ถงเหยียน หากแต่เป็นจิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างแท้จริง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาถูกพลิกขึ้นมาดูอีกครั้ง กลายเป็นประเด็นพูดคุยไปทั่วทุกตรอกซอกซอย

อย่างเช่นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสำนักชิงซานเหล่านั้น และเรื่องที่้เขาออกเดินทางกำจัดความชั่วนับหมื่นลี้ไปกับเจ้าล่าเยวี่ย และแน่นอนว่าย่อมต้องมีเรื่องที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมซื่อเจี้ยนเหล่านั้นด้วย

หลายคนเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้จิ๋งจิ่วคืออัจฉริยะทางวิถีกระบี่ที่สำนักชิงซานให้ความสำคัญ

ในฐานะที่เป็นศิษย์อันดับสามของยอดเขาเหลี่ยงว่าง ชื่อเสียงในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตของกู้หานย่อมมิใช่ธรรมดา

กั้วหนานซานนั้นเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักชิงซาน บรรลุสภาวะขั้นคเนจร ถูกมองว่าเป็นยอดฝีมือในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์ที่มีโอกาสท้าสู้กับลั่วไหวหนานได้

จิ๋งจิ่วเพิ่งจะเข้ามาร่ำเรียนกระบี่ที่สำนักชิงซานได้ไม่กี่ปี แต่กลับสามารถเอาชนะกู้หาน แล้วยังหักกระบี่ของกั้วหนานซาน? ถึงแม้ในข่าวลือจะบอกว่านั่นไม่ใช่การประลองกันจริงๆ กั้วหนานซานถูกจิ๋งจิ่วจับกระบี่เอาไว้ได้ในตอนที่จะเก็บกระบี่กลับมาในตอนสุดท้าย แต่ศิษย์ขั้นมิประจักษ์คนหนึ่งเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขั้นคเนจร ต่อให้มีโอกาส แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถคว้าจับกระบี่เอาไว้ได้?

เมื่อมาคิดถึงการประลองหมากกันน่าตกตะลึงในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยนั้นอีกครั้ง จิ๋งจิ่วก็ค่อยๆ มีภาพลักษณ์หนึ่งขึ้นมาในใจของทุกคน นั่นคือคุณชายรูปงามที่เชี่ยวชาญในการคำนวณ

แต่หลังจากนั้นก็มีข่าวใหม่เริ่มแพร่กระจายออกมา ว่ากันว่ามาจากในสำนักชิงซาน

จิ๋งจิ่วอาจจะมาจากวัดกั่วเฉิง

…………………………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด