มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 114 จิ๋งจิ่วอีกแล้ว
ภายในระเบียงทางเดินเงียบสงัด
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนขยับตามปลายพู่กันของเหอจาน
สีหน้าทุกคนตกตะลึง ทั้งยังแลดูสับสน
ผ่านไปไม่นาน เหอจานหยุดพู่กัน กวาดตาขึ้นลงมองดู ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เขาส่งพู่กันคืนให้จิตรกร จากนั้นปลดไหสุราจากเอวมาดื่มไปอึกหนึ่ง พลางถอนหายใจออกมาอย่างสบาย
เจ้าสำนักคุนหลุนแค่นหัวเราะ มิได้กล่าวกระไร เดินจากไปทั้งแบบนี้
“วาดได้ไม่เลว ไม่ขายหน้า”
หนานว่างกล่าวคำพูดนี้เอาไว้ ก่อนจะสืบเท้าก้าวออกไปจากระเบียงทางเดิน
คำพูดนี้คล้ายจะชมเชยเหอจาน แต่ทุกคนต่างรู้ว่านางพูดถึงจิ๋งจิ่วให้ทุกคนในที่นี้ได้ยิน
แต่ภาพนี้ของเหอจานนั้นวาดได้ดีจริงๆ
กิ่งเหมยกิ่งนั้นเคี้ยวคดยืดออกไปบนท้องฟ้าที่มืดสลัว ดอกเหมยสีแดงผลิบานออกมาจากปลายกิ่งเหมยราวกับเปลวไฟที่แตกกระจาย เห็นๆ อยู่ว่าอยู่ตรงหน้า แต่ก็คล้ายว่าอยู่ไกลออกไปบนขอบฟ้า
เดิมภาพนี้มีพื้นที่โล่งอยู่มากมาย แต่ดอกเหมยที่ต้องวาดเติมลงไปในวันนี้กลับมีจำนวนมากกว่า หากใช้วิธีวาดตามปกติ ต่อให้เป็นดอกเหมยที่มีขนาดเล็กที่สุดก็ไม่สามารถวาดลงไปบนภาพนี้ทั้งหมดได้ วิธีวาดที่เขาใช้นั้นยอดเยี่ยม เรียกได้ว่าชาญฉลาด สามารถแก้ไขปัญหาที่ยากลำบากนี้ได้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือแนวคิดทางศิลปะล้ำลึก ควรค่าแก่การหวนรำลึกถึง
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่ยืนชมอยู่ด้านนอกระเบียงทางเดินได้สติขึ้นมา พวกเขาพากันเขยิบขึ้นมาข้างหน้า ชมรายละเอียดบนภาพพลางถกเถียงกันไม่หยุด ยากที่จะคลายความรู้สึกตกตะลึงที่อยู่ในใจได้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงวาดดอกเหมยเยอะขนาดนี้? มีดอกเหมยอยู่กี่ดอกกันแน่?”
“แล้วจะนับอย่างไร?”
เหล่าผู้บำเพ็ญมองออกเพียงว่าดอกเหมยเหล่านั้นผลิออกมาจากกิ่งเหมยของจิ๋งจิ่ว แต่กลับไม่สามารถนับจำนวนของดอกเหมยได้
จิตรกรผู้นั้นกำลังเก็บพู่กันและสี พลางกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าคุณชายเหอวาดไปกี่ดอก ข้าเพียงแต่รู้ว่าบนเอกสารเขียนเอาไว้ชัดเจน มีทั้งหมดเจ็ดสิบเจ็ดดอก”
เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ เหล่าผู้บำเพ็ญพรตพากันสูดหายใจด้วยความตกใจ ในใจครุ่นคิดว่านี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
งานชุมนุมเหมยฮุ่ยจัดมาแล้วหลายครั้ง มีผู้เข้าร่วมการประลองคนไหนบ้างที่สามารถสังหารสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยได้มากมายขนาดนี้ภายในคืนเดียว?
มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า?
จิตรกรถอนใจออกมา กล่าวว่า “จำนวนนี้นกหานเฮ่าเป็นผู้นับเอง ตัวเลขที่พวกเขารายงานมามีแค่ยี่สิบเท่านั้น”
ด้านหน้าระเบียงทางเดินเงียบสงัดลงอีกครั้ง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เสียงที่ฟังดูเลื่อนลอยเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ข้าคิดว่าอันดับที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตของปีนี้ น่าจะประกาศล่วงหน้าได้แล้วล่ะ”
ก่อนหน้านี้ คนที่มีจำนวนดอกเหมยเยอะที่สุดก็คือลั่วไหวหนานและถงหลู ทั้งสองต่างวาดได้เกือบสามสิบดอก ต่างจากจิ๋งจิ่วเป็นอย่างมาก….
ก็เหมือนอย่างที่ผู้บำเพ็ญพรตผู้นั้นว่ามา อันดับหนึ่งในการประลองวิถีพรตเป็นที่แน่นอนแล้ว ตอนนี้ดูแล้วก็เหลือเพียงรอให้ผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นวาดภาพของตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยเท่านั้น
ปัญหาอยู่ที่ว่าจิ๋งจิ่วทำได้อย่างไร?
ข่าวลือบอกว่าเขาเป็นอัจฉริยยะทางวิถีกระบี่ของสำนักชิงซาน มากกว่านั้นมีคนบอกว่าเขาอาจจะเป็นผู้สืบทอดที่วัดกั่วเฉิงส่งมายังโลกปุถุชน ปัญหาอยู่ที่ว่าเขาอายุยังน้อยเกินไป ก่อนงานชุมนุมเหมยฮุ่ยก็มิได้ทำเรื่องอะไรที่น่าตกตะลึงมากนัก ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือว่าความสำคัญก็ล้วนมิอาจเทียบเจ้าล่าเยวี่ยและจัวหรูซุ่ยได้ แล้วก็ไม่อาจเทียบคนอื่นๆ อย่างลั่วไหวหนาน ถงเหยียนและไป๋เจ่าได้
แต่ใครจะไปคิดบ้างว่าในเวลาเพียงคืนเดียว เขาจะสร้างความตกตะลึงให้กับโลกแห่งการบำเพ็ญพรตได้มากขนาดนี้
“แต่ข้ากลับไม่คิดว่าเขาจะได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรต”
ผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่นอกระบบของสำนักจงโจวผู้หนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “มาตรฐานในการตัดสินการประลองวิถีพรตคือวาดภาพดอกเหมยให้เสร็จ คำว่าเสร็จในที่นี้หมายถึงสมบูรณ์ มิใช่เยอะ”
คำพูดนี้ฟังดูคล้ายอิจฉา แต่ความจริงแล้วค่อนข้างมีเหตุผล
หลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นต่างยังจำได้ เมื่อหลายปีก่อนเทพดาบเคยเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในฐานะศิษย์ธรรมดาของสำนักเฟิงเตาคนหนึ่ง เขาเอาชนะยอดฝีมือจากสำนักจงโจว สำนักชิงซาน สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย คว้าอันดับหนึ่งการประลองวิถีพรต สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน
ในภาพที่เขาวาดตอนนั้นมีดอกเหมยเพียงแค่ดอกเดียว
ดอกเหมยดอกเดียวจะถือว่าสมบูรณ์แบบได้อย่างไร?
เพราะว่าดอกเหมยดอกนั้นใหญ่มาก
ในตอนที่ประลองวิถีพรต เขาโชคร้ายไปเจอกับหนอนหิมะระดับราชาตัวหนึ่ง
จากนั้นเขาโชคดีอย่างมากที่ฆ่าหนอนหิมะระดับราชาตัวนั้นได้ อีกทั้งยังรอดชีวิตกลับมา
ภาพภาพนั้นมีชื่อเสียงอย่างมาก
หากปล่อยให้ดอกเหมยดอกหนึ่งมาบดบังทั้งหมด นั่นย่อมต้องไม่น่าดูแน่นอน มิอาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
วิธีวาดที่จิตรกรผู้นั้นใช้ในตอนนั้นคล้ายคลึงกับวิธีวาดของเหอจานในวันนี้ เขาวาดดอกเหมยลงไปบนกระดาษเพียงครึ่งดอก
ดอกเหมยครึ่งดอกบดบังท้องฟ้า ดูยิ่งใหญ่สง่างาม ด้านหลังไม่มีอะไร
……
……
เช่นนั้นภาพดอกเหมยของจิ๋งจิ่วภาพนี้เรียกว่าสมบูรณ์แบบได้หรือไม่?
หลายคนมองดูผู้บำเพ็ญพรตผู้นั้น สายตาแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกเยาะเย้ย
ย่อมต้องสมบูรณ์แบบแน่นอน
ต่อให้ไม่สมบูรณ์แบบก็ต้องสมบูรณ์แบบ
เพราะผู้วิจารณ์ภาพวาดในปีนี้คือฉานจึ
ในวันนั้นพวกเขาล้วนแต่ได้ยินคำวิจารณ์ที่ฉานจึมีต่อจิ๋งจิ่ว
ตอนนั้นจิ๋งจิ่วมิได้แสดงความสามารถออกมา แต่ฉานจึกลับใช้คำพูดเช่นนั้นมาพูดช่วยเขา ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้จิ๋งจิ่วได้แสดงฝีมือออกมาอย่างยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้
ถ้าในเวลานี้ให้ฉานจึมาดูภาพนี้ ไม่แน่เขาอาจจะประกาศอันดับที่หนึ่งในการประลองออกมาเลยก็ได้
เจ้าจะบอกว่าฉานจึลำเอียงก็ได้ แต่ใครใช่ให้นักพรตจิ๋งหยางมีความสัมพันธ์กับฉานจึเหมือนเป็นอาจารย์ล่ะ แล้วจิ๋งจิ่วดันมาเป็นศิษย์สืบทอดของนักพรตจิ่งหยางอีก
ผู้บำเพ็ญพรตคนนั้นถูกสายตาทุกคนจ้องมองจนรู้สึกโมโห จึงกล่าวว่า “เอาเป็นว่าเพื่อนในกลุ่มเขายังไม่ได้วาดเลยซักดอก ข้าไม่ยอมรับ”
มีคนกล่าวอย่างทอดถอนใจขึ้นมา “ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ ก็ดูเหมือนว่าปีนี้ลั่วไหวหนานจะไม่ได้ที่หนึ่งแล้วล่ะ ช่างน่าตกใจจริงๆ”
เหอจานชื่นชมภาพวาดของตัวเอง มองทีหนึ่งก็จิบสุราอึกหนึ่ง เพียงไม่นานก็ดื่มไปครึ่งไห ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกชอบภาพดอกเหมยภาพนี้
เมื่อได้ยินพวกเขาพูดคุยกัน เขาจึงส่ายศีรษะแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ในด้านวิถีหมาก ถงเหยียนยังเอาชนะจิ๋งจิ่วไม่ได้ แล้วทำไมพวกท่านถึงคิดว่าลั่วไหวหนานจะเอาชนะจิ๋งจิ่วในการประลองวิถีพรตได้?”
……
……
ไม่รู้ว่าฉานจึได้เห็นภาพนี้หรือไม่ แต่การประลองวิถีพรตยังคงดำเนินต่อไป
ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตต่างได้เจอเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงบางอย่างเหมือนกับที่จิ๋งจิ่วและไป๋เจ่าได้เจอ —- อสูรหิมะที่เดิมทีไม่เคยจะตื่นขึ้นมาในฤดูร้อน แล้วยังมีหมอกหนาทึบอันน่าหวาดกลัวเหล่านั้นได้สร้างความยากลำบากให้แก่พวกเขาอย่างมาก ไม่นานก็ค่อยๆ มีเหตุการณ์บาดเจ็บและล้มตายที่รุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ไป๋เจ่าได้แจ้งสิ่งที่ตนเองวิเคราะห์กลับมายังเมืองเจาเกอ ไม่รู้ว่าอาจารย์แต่ละสำนักจะคิดอย่างไร แต่นอกจากเตือนให้ระวังหมอกอันหนาวเย็นนั่นแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีการแจ้งอะไรเพิ่มเติม
เจตนารมณ์เดิมของการประลองวิถีพรตก็คือใช้ความเป็นความตายมาทำให้ใจแห่งเต๋าของศิษย์แห่งสำนักฝ่ายธรรมะมีความมั่นคง แล้วจะให้หยุดลงกลางคันเพียงเพราะเจออันตรายบางอย่างได้อย่างไร
การประลองวิถีพรตหยุดลงกลางคันครั้งสุดท้ายคือเมื่อสองร้อยปีก่อน นั่นเป็นเพราะคลื่นอสูรขนาดมหึมา เทียบกับสถานการณ์ครั้งนี้แล้วร้ายแรงกว่าไม่รู้กี่เท่า
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตมุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของที่ราบหิมะอย่างกล้าหาญและมุ่งมั่น
กลุ่มของลั่วไหวหนานและถงหลูอยู่ห่างจากเทือกเขาสีดำเพียงไม่กี่ร้อยลี้เท่านั้น
ในเวลานี้ได้เกิดเรื่องอีกเรื่องขึ้น ทำให้ภายในเรือนซีซานเกิดการถกเถียงกันขึ้นมาอีกครั้ง
จู่ๆ มีผู้บำเพ็ญพรตบางส่วนหยุดเดินทางลง ตลอดทั้งสองวันมิได้ออกไปจากปากทางของหุบเขาแห่งนั้น
พวกเขาจะทำอะไร
สิ่งที่ทำให้เหล่าอาจารย์ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตรู้สึกปวดหัวมากที่สุดก็คือ จากข่าวที่ส่งกลับมาจากที่ราบหิมะ คนที่สั่งให้ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านี้หยุดเดินก็คือจิ๋งจิ่ว
จิ๋วจิ่วอีกแล้วหรือ
………………………………………………………..
คอมเม้นต์