มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 119 ไปกันหมด
ระฆังจรัสแสงคืออาวุธวิเศษอันเลื่องชื่อของสำนักจงโจว เรียกได้ว่าเป็นอาวุธที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากในการต่อสู้ในระดับที่ต่ำกว่าขั้นจิตก่อรูป
อาวุธวิเศษนี้สืบทอดมาแต่โบราณ มีอยู่เป็นคู่ ได้แก่ระฆังดาวเหนือและระฆังมหาบรรพตทิศใต้
เจ้าสำนักจงโจวคนปัจจุบันและฮูหยินของเขา เมื่อสมัยอายุยังน้อยไม่รู้ว่าใช้ระฆังคู่นี้เอาชนะอัจฉริยะในยุคสมัยเดียวกันมาแล้วเท่าไร แล้วก็สังหารมารชั่วดินแดนหมิงและสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยมาแล้วเท่าไร
ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ระฆังดาวเหนืออยู่ในมือของลั่วไหวหนาน ติดตามเขาออกไปแสดงความเจิดจรัส ชื่อเสียงและบารมีมิย่อหย่อน
แต่จนกระทั่งในเวลานี้ ทุกคนถึงได้รู้ว่าที่แท้ระฆังมหาบรรพตทิศใต้นั้นอยู่ในมือของไป๋เจ่า
ไป๋เจ่าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของสองสามีภรรยาเจ้าสำนักจงโจว นางย่อมต้องมีสิทธิ์ครอบครองระฆังมหาบรรพตทิศใต้
แต่นี่ไม่เท่ากับแสดงให้เห็นว่าสองสามีภรรยาของสำนักจงโจวมีความเห็นตรงกัน ตัดสินใจเลือกลั่วไหวหนานให้เป็นคู่ไป๋เจ่าแทนถงเหยียนแล้วหรอกหรือ?
หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นจะต้องกลายเป็นเรื่องที่ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนให้ความสนใจมากที่สุดอย่างแน่นอน
นั่นคือปัญหาที่เอาไว้ค่อยมานั่งครุ่นคิดในภายหลัง
ปัญหาในเวลานี้คือเหตุใดจู่ๆ ไป๋เจ่าจึงเรียกระฆังจรัสแสงออกมา?
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวเกิดความคิดเหล่านี้ขึ้นมา แต่ก็เพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
ระฆังมหาบรรพตทิศใต้พุ่งเข้าใส่ศิษย์สำนักซีไห่ผู้นั้น
เสียงหวึ่งดังขึ้น!
ลมกระโชกขึ้นมา คลื่นอากาศที่ยากจะนิยามและคลื่นเสียงที่ไร้รูปลักษณ์ระเบิดออกไปทั่วทุกทิศทุกทางในหุบเขา
เศษหิมะปลิวว่อน หน้าผาแตกเป็นเสี่ยงๆ บรรยากาศบนฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง
ศิษย์ของสำนักกระบี่ซีไห่ผู้นั้นเป็นศิษย์สายตรงของสำนัก ดังนั้นในช่วงเวลาวิกฤติจึงพอจะเรียกกระบี่ออกมารับการโจมตีครั้งนี้เอาไว้ได้ทัน
แต่กระบี่ของเขาไหนเลยจะต้านทานอาวุธวิเศษระดับนี้ได้?
เสียงแหวกอากาศอันรุนแรงดังขึ้นมา กระบี่บินแฉลบออกไป ก่อนจะปักเข้าไปในหน้าผา กระบี่จมหายเข้าไปมากกว่าสองฉื่อ เหลือเพียงแต่ด้ามกระบี่เท่านั้น
ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ผู้นั้นถูกกระแทกปลิวออกไปเจ็ดสิบกว่าจ้าง ตกลงไปบนพื้นหิมะ กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง สีหน้าดูขาวซีดเป็นยิ่งนัก
หลังถูกศิษย์ร่วมสำนักพยุงขึ้นมา เขาก็รีบเช็ดโลหิตบนใบหน้าโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บ ก่อนจะมองไปทางด้านนั้นด้วยสีหน้าตกตะลึงพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องไป๋! เจ้าทำอะไรของเจ้า!”
ศิษย์ร่วมสำนักผู้นั้นกล่าวเตือนเขาเบาๆ ประโยคหนึ่ง
เขามองไปยังตำแหน่งที่ตนเองยืนอยู่แต่เดิม ถึงได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้ายิ่งแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด
กระบี่สีดำเล่มหนึ่งลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น
เมื่อครู่หากมิเป็นเพราะเขาฝืนเรียกกระบี่ออกมาจนถูกกระแทกปลิวออกไป เกรงว่าคงจะถูกกระบี่สีดำเล่มนี้ฟันใส่โดยไม่รู้ตัวไปเสียแล้ว
พูดอีกอย่างก็คือหากไม่มีไป๋เจ่า เกรงว่าเขาคงจะตายไปแล้ว
กระบี่สีดำเล่มนั้นค่อนข้างกว้าง ดูแล้วมิได้มีอะไรพิเศษ แต่กลับไม่มีคลื่นพลังใดๆ แผ่กระจายออกมา คล้ายกับภูตผีอย่างไรอย่างนั้น
ศิษย์สำนักซีไห่ผู้นั้นรู้สึกหวาดกลัว มิได้กล่าวกระไรอีก
ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวคนอื่นๆ มองดูกระบี่สีดำเล่มนี้ ภายในใจเองก็รู้สึกหวาดกลัวเช่นเดียวกัน
ทุกคนต่างรู้ว่าจิ๋งจิ่วได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรต แต่ยังไม่มีใครที่จะเอาเขาไปเทียบกับคนอย่างลั่วไหวหนานหรือถงหลู
ก็แค่สภาวะขั้นมิประจักษ์ระดับต้นเท่านั้น จะแข็งแกร่งเท่าไรเชียว?
แต่ในเวลานี้ทุกคนถึงได้รู้ว่ากระบี่ของเขาน่ากลัวแค่ไหนกันแน่
……
……
จิ๋งจิ่วเหลียวหน้ามามองไป๋เจ่า
ตอนอยู่ที่ชิงซาน เขาเคยได้ยินกู้ชิงเล่าให้ฟังว่าหลายปีมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักจงโจวและสำนักกระบี่ซีไห่ค่อยๆ ดีขึ้น เรียกได้ว่ามีแนวโน้มที่จะกลายเป็นพันธมิตรกัน
การที่เห็นศิษย์ของสำนักจงโจวในการเลี้ยงซื่อไห่ที่จัดขึ้นนอกเมืองไห่โจวก่อนหน้านี้ก็คือสิ่งยืนยัน
นี่น่าจะเป็นฝีมือของไป๋เจ่า
นางฉลาดเฉลียวเป็นยิ่งนัก คงจะคิดว่าการโจมตีด้วยระฆังมหาบรรพตทิศใต้ครั้งนี้สามารถรักษาชีวิตของศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่เอาไว้ได้ ทั้งยังสามารถช่วยเขาระบายอารมณ์ได้
เพียงแต่เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาคิดว่าเพียงเท่านี้ข้าจะพอใจ?
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร ในสายตาเองก็มิได้มีอารมณ์อะไรมากนัก
แต่ไป๋เจ่ากลับรับรู้ถึงความคิดของเขาได้อย่างแม่นยำ
ลมหนาวพัดชุดขาวพลิ้วไหว
นางกล่าวประโยคหนึ่ง น้ำเสียงแผ่วเบา มีเพียงจิ๋งจิ่วเท่านั้นที่ได้ยิน
“ไว้หน้าข้าหน่อยนะ”
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร เขาเรียกกระบี่ดำกลับมา
ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ผู้นั้นเหลือบมองเขาอย่างโกรธแค้น แต่ก็มิกล้าพูดจาท้าทายอะไรอีก จากนั้นดึงกระบี่ของตัวเองออกมาจากหน้าผา
เพียงแค่สภาวะและความสามารถนั้นยังไม่อาจทำให้ทุกคนเชื่อถือได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือการประลองวิถีพรต มิใช่สถานที่ที่จะประลองกันอย่างเอาเป็นเอาตาย มีเสียงหลายเสียงดังขึ้นมา
“ต่อให้เจ้าได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตก็ไม่มีใครยอมรับเจ้าหรอก เพราะเจ้ามันขี้ขลาด อีกทั้งยังบ้าอำนาจไร้เหตุผล อาศัยเหตุผลเพียงสองข้อนี้ ยังไงเจ้าก็ไม่มีวันเป็นลั่วไหวหนานได้!”
“ถูกต้อง! หรือเจ้าสามารถปิดปากพวกเราทุกคนได้? เช่นนั้นเจ้าก็ต้องฆ่าพวกเราทั้งหมดนี่แหละ!”
“คนอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเป็นผู้สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง!”
จิ๋งจิ่วคล้ายมิได้ยินเสียงเหล่านี้ เขากล่าวถามว่า “สำนักเสวียนหลิงมีคนมาไหม?”
สาวน้อยคนหนึ่งมองดูคนอื่นๆ ที่อยู่รอบกาย ก่อนจะยกมือขึ้นมาอย่างหวาดกลัว
จากนั้นก็มีศิษย์สำนักเสวียนหลิงอีกสองคนยกมือขึ้น
ศิษย์สำนักเสวียนหลิงมีความสำคัญอย่างมากในการประลองวิถีพรต แต่ไหนแต่ไรมาจึงมีคนเข้าร่วมการประลองเป็นจำนวนมาก
จิ๋งจิ่วถามต่อ “ต้าเจ๋อล่ะ?”
มีคนยกมือ
มีผู้บำเพ็ญพรตของต้าเจ๋อสองคนยกมือขึ้น
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “พวกเรามิใช่ศิษย์สำนักเดียวกัน ตามหลักแล้วไม่ควรบีบบังคับให้พวกเจ้าไปด้วย แต่พวกเราทั้งสามสำนักมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด หากไม่พาพวกเจ้าไปด้วย ภายหลังคงต้องถูกผู้อาวุโสในสำนักของพวกเจ้ากล่าวโทษว่าไม่ช่วยเหลือเอาได้ แบบนั้นมันยุ่งยาก”
เหล่าศิษย์สำนักเสวียนหลิงและสำนักต้าเจ๋องุนงงอยู่ครู่ก่อนจะเข้าใจความหมายของเขา จึงพากันลนลานทำอะไรไม่ถูก
มีศิษย์สำนักอื่นมองดูภาพเหตุการณ์นี้ ในใจเกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมา จึงตะโกนไปว่า “มีสิทธิ์อะไร? พวกเขาไม่ใช่ศิษย์สำนักชิงซานเสียหน่อย”
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจคนผู้นี้ หากแต่กล่าวกับศิษย์ของเสวียนหลิงและต้าเจ๋อว่า “หรือไม่ก็เอาชนะข้า”
เหล่าศิษย์ของเสวียนหลิงและต้าเจ๋อสบตากัน ต่างคนต่างมองเห็นความรู้สึกจนปัญหาในใจของอีกฝ่าย
จิ๋งจิ่วมองไปทางกลุ่มผู้บำเพ็ญพรตอีกครั้ง เพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีพระของวัดกั่วเฉิง แล้วก็ไม่มีศิษย์ของสำนักเล็กๆ ที่คอยพึ่งพาสำนักชิงซานเหลืออยู่แล้ว
สุดท้าย สายตาเขาก็ไปตกอยู่ที่เด็กสาวผู้หนึ่ง
เสื้อผ้าของเด็กสาวผู้นั้นดูค่อนข้างคุ้นตา น่าจะเคยเห็นมาแล้วหลายครั้งเมื่อหลายปีก่อน
“จริงอยู่ที่สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักชิงซาน แต่ข้าไม่มีวันฟังเจ้า จะสู้ก็สู้ ต่อให้สู้ไม่ได้ หรือว่าเจ้ายังจะฆ่าข้า?”
สาวน้อยผู้นั้นกล่าว ความรู้สึกดูถูกที่อยู่ในสายตาดูชัดเจนเป็นยิ่งนัก
ในใจจิ๋งจิ่วครุ่นคิดว่าที่ผ่านมาศิษย์น้องของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเรียบร้อยอ่อนโยน จนกระทั่งมีคนอย่างเหลียนซานเยวี่ยปรากฏขึ้นมา พวกนางถึงได้มีนิสัยแข็งกร้าวเช่นนี้
เขามิได้กล่าวกระไร หากแต่หันไปกล่าวกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในหุบเขา “คนอื่นใครอยากอยู่ก็อยู่ ใครอยากไปก็ไป”
ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่และศิษย์สำนักคุนหลุนจากไปก่อน เหล่าผู้บำเพ็ญพรตหลายคนเองก็เดินตามออกไป
บางคนคิดอย่างหงุดหงิดว่าตนเองต้องมาเสียเวลานานขนาดนี้เพราะเรื่องไร้สาระเช่นนี้ เสียโอกาสสังหารสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยไปไม่รู้เท่าไร คะแนนในการประลองวิถีพรตต้องลดลงอย่างมากแน่นอน จึงอดสบถด่าขึ้นมาไม่ได้ บางคนหันไปทางจิ๋งจิ่วพลางถ่มน้ำลายออกมา
ศิษย์สำนักจงโจวขออนุญาตไปเจ่า ก่อนจะเดินตามกลุ่มของแต่ละคนออกไป
ภายในหุบเขาเหลือเพียงศิษย์ชิงซาน ผู้บำเพ็ญพรตหกคนที่ตามจิ๋งจิ่วและไป๋เจ่ามาในตอนแรก และศิษย์ของสำนักเสวียนหลิงและต้าเจ๋ออีกห้าคน
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไรอีก จากนั้นเริ่มพักผ่อนทำสมาธิ
……
……
ความจริงแล้ว ในทางขึ้นภูเขาที่อยู่รอบๆ หุบเขายังมีศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่จากไป
อย่างเช่นศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่สองคนที่จากไปในตอนแรกและกลุ่มของศิษย์สำนักคุนหลุนผู้นั้น
มีคนถามขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดถึงยังไม่ไปอีก”
ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่คนหนึ่งกล่าวเสียงเบาขึ้นมา “อย่างไรซะก็เสียเวลาไปขนาดนี้แล้ว อีกประเดี๋ยวก็จะมืดแล้ว สู้พักอยู่ที่นี่ดีกว่า”
ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ที่ถูกระฆังจรัสแสงโจมตีใส่ผู้นั้นไอออกมาเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางด้านล่างของหุบเขาพลางกล่าวอย่างแค้นใจว่า “ถูกต้อง จะได้ดูเรื่องสนุกๆ ด้วย”
ผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นไม่ค่อยเข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่ามีเรื่องสนุกอะไรให้ดู?
ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ผู้นั้นไอออกมาอีกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเยาะเย้ยว่า “ขี่กระบี่ก็ถูกลมพายุพัดจนตาย สำนักชิงซานย่อมไม่มีทางมารับแน่ ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะออกไปอย่างไร เดินออกไปเหมือนหมาเร่ร่อนอย่างนั้นหรือ?”
……
……
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป ท้องฟ้ายามเย็นยิ่งเข้มขึ้น
เหล่าศิษย์หนุ่มสาวที่อยู่ด้านล่างหุบเขารับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมาจากบนภูเขา
ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างที่ชื่อเหลยอี้จิงผู้นั้นทนไม่ไหวอีก เขาเดินไปหาจิ๋งจิ่วพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเป็นการขอร้อง “หยุดประลองวิถีพรตกลางคัน กลับไปจะต้องถูกสำนักลงโทษอย่างแน่นอน ต่อให้ท่านเป็นอาจารย์อา ก็คงไม่อาจมองข้ามกฎสำนักได้ใช่หรือเปล่าขอรับ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าจำไม่ได้ว่ากฎสำนักมีข้อนี้ด้วย”
เหลยอี้จิงกล่าวอย่างดื้อรั้น “ในเมื่อจะกลับ อย่างนั้นก็กลับกันสิขอรับ”
ด้วยความเร็วของพวกเจ้า ยากที่จะออกไปจากที่ราบหิมะแห่งนี้ก่อนที่จะเกิดเรื่องได้
ภายในใจจิ๋งจิ่วครุ่นคิด แต่เขากลับเกียจคร้านที่จะอธิบาย จึงกล่าวไปว่า “รอก่อน”
เหลยอี้จิงโบกมืออย่างอ่อนแรง ไม่คิดจะกล่าวกระไรอีก
ศิษย์คนอื่นๆ ที่เหลือก็ไม่อยากจะกล่าวอะไรอีก
ทุกคนต่างกำลังรอคอย
เวลานี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าการรอคอยเมื่อหลายวันก่อน เป็นเพราะเขาต้องการจะรวบรวมศิษย์ชิงซานสิบคนที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรต
แล้วเวลานี้ต้องรออะไรอีก?
ทันใดนั้นเอง ภายในหุบเขาพลันมีเงามืดขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมา
เหล่าศิษย์ที่เดิมไม่ค่อยสบายใจเพราะคำพูดของจิ๋งจิ่วพากันตื่นตระหนกขึ้นมา พวกเขามองขึ้นไปบนฟ้า พบว่าแสงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลังก้อนเมฆได้หายไปแล้ว
คล้ายกับเวลากลางคืนมาถึงก่อนเวลาอย่างไรอย่างนั้น
หรือว่าหมอกหนาวเย็นอันแปลกประหลาดนั้นจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง?
การตอบสนองของศิษย์ชิงซานเร็วที่สุด มิทันรอให้จิ๋งจิ่วออกคำสั่ง กระบี่บินเก้าเล่มก็ถูกเรียกออกมา ข่ายพลังกระบี่ถูกตั้งขึ้น ป้องกันเอาไว้รอบทิศ
มีบางคนมองไปทางไป๋เจ่า
ไป๋เจ่ามองไปบนท้องฟ้า สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
เมฆบางๆ ถูกแหวกออก
เรือบินขนาดมหึมาลำหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคนพร้อมกับเมฆเป็นเส้นๆ จำนวนนับไม่ถ้วน
เรือยักษ์ค่อยๆ ล่องลงมายังพื้นดิน ทำให้เกิดความรู้สึกบีบคั้นอย่างที่ยากจะจินตนาการได้
………………………………………………..
คอมเม้นต์