คู่ชะตาบันดาลรัก – ตอนที่ 9 จริงจัง
ผลลัพธ์ที่หมิงเซียงตามไปดูก็คือ…ตัวนาง รวมทั้งน้องหกและน้องเก้ากรีดร้องและวิ่งตามบอล หลังจากนั้นไม่นานนางก็รู้สึกว่ากระโปรงเกะกะจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อกลับมาเล่นต่อ
หมิงเฉิงที่เล่นกับน้องชายและน้องสาวอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ไปล้างมือแล้วกลับมาอยู่เป็นเพื่อนหมิงเวย หมิงเวยนั่งบนชิงช้าที่เดี๋ยวแกว่งเดี๋ยวหยุด
“ได้ยินว่าสามวันก่อนน้องตกใจกลัว พี่สี่อยากรีบมาดูเจ้าแต่ท่านแม่บอกว่าเจ้าไม่สะดวก ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ” หมิงเวยตอบอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หมิงเฉิงมองนางอย่างละเอียด รู้สึกว่านางต่างออกไปจากเมื่อก่อน หรือเพราะไม่ได้เจอกันนานหรือเปล่านะ
เขามักจะกลับบ้านไปเยี่ยมญาติ แม้ว่าเสี่ยวชีจะจำเขาไม่ได้ แต่นางก็มักจะสนิทกับเขาอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนครั้งนี้นางดูทำตัวห่างเหิน แม้แต่คำพูดยังไม่พูดออกมาสักคำ
“เสี่ยวชีโกรธพี่สี่หรือเปล่า” หมิงเวยหันหน้ากลับไป เห็นเด็กหนุ่มตรงหน้ามองนางอย่างระมัดระวังสายตาคู่นั้นมองมาอย่างรู้สึกผิด
“พี่สี่ไม่ดีเองที่ไม่รีบมาหาเจ้าทันที” ใจหมิงเวยคล้อยตาม นางตอบว่า “ข้าไม่ได้โกรธท่านพี่เจ้าค่ะ”
“จริงหรือ”
“จริงเจ้าค่ะ” หมิงเวยคิด “พี่สี่ ข้ามีเรื่องอยากพูดกับท่าน” ท่าทีใกล้ชิดนี้ทำเอาหมิงเฉิงดีใจมาก “เรื่องอันใดหรือ พี่สี่จะช่วยเจ้าแน่นอน”
หมิงเวยพูดช้าๆ “ที่ข้าป่วยครั้งนี้ ดูเหมือนมีหลายเรื่องอยู่ในหัว ข้ามักจะรู้สึกสับสนมึนงง นึกไม่ออกว่าตัวเองอยู่ที่ใด”
หมิงเฉิงตั้งใจฟังอย่างจริงจัง “น้องช่วยบอกให้ละเอียดกว่านี้ได้หรือไม่”
หมิงเวยมีท่าทีสับสน “เหมือนเป็น…ความทรงจำช่วงเวลาหนึ่ง เหมือนตัวเองฝันยาวนานมาก รู้สึกเหมือนร่างกายล่องลอย บางครั้งอยู่ที่นี่ บางครั้งอยู่ที่นั่น มีวันหนึ่งข้าได้ยินท่านแม่เรียกชื่อข้า ทันใดนั้นข้าก็กลับเข้าสู่ร่างกายของตัวเองและตื่นขึ้นมา ตอนนี้ในหัวของข้ารู้สึกยุ่งเหยิงไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น”
หมิงเฉิงมองนางด้วยความประหลาดใจ นางมองหมิงเฉิงอย่าง ‘กังวล’ “พี่สี่ ข้าป่วยอีกแล้วใช่หรือไม่” พอสบตากับนาง หมิงเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไม่เป็นไร น้องอย่ากังวลไปเลย ยังมีสิ่งใดที่ผิดปกติอีกเจ้าพูดออกมาได้เลย”
หมิงเวยพูดต่อ “ในหัวของข้าตอนนี้มีความทรงจำอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคืออาศัยอยู่ที่สวนแห่งนี้ อีกเรื่องคือล่องลอยอยู่ข้างนอก ทั้งสองเรื่องนี้ล้วนคลุมเครือ แยกไม่ออกว่าอย่างไหนคือข้า ข้าไม่เข้าใจอดีตของข้าเลย”
“ท่านป้าสามบอกว่า พอเจ้าอาการดีขึ้นแล้วกลายเป็นคนไม่ชอบพูด เป็นเพราะเรื่องนี้หรือไม่” หมิงเวยพยักหน้า “ท่านแม่สอนข้าพูดทุกวัน แต่ข้าเข้าใจเรื่องนี้หมดแล้ว ไม่รู้จะบอกท่านแม่อย่างไร”
หมิงเฉิงแสดงสีหน้ากระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกายวิบวับมองมาที่นาง
หมิงเวยชะงัก “พี่สี่…”
ในตอนนั้นเอง ตัวฝูก็เดินมาพร้อมตะกร้าขนม หมิงเฉิงกระโดดขึ้นทันทีแล้วส่งเสียงเรียก “ตัวฝู! ไปเรียกคนมาเร็วเข้า! ท่านป้า แล้วก็…”
อีกด้านหนึ่ง หมิงเซียงและคุณชายหกหมิงฮ่าวคว้าบอลได้ นางอายุมากกว่าหมิงฮ่าวเพียงครึ่งปี แต่เด็กผู้หญิงนั้นโตเร็วกว่าจึงตัวสูงกว่าหมิงฮ่าวอยู่ครึ่งศีรษะ ขณะที่นางกำลังแกล้งหมิงฮ่าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหมิงเฉิงตะโกนดังลั่น นางตกใจจนตัวสั่น ลูกบอลกลิ้งไปอยู่ระหว่างขาส่วนตัวนางเองก็ทรุดลงกับพื้น
“พี่สี่!” หมิงเซียงร้องเรียก “ข้าผิดไปแล้ว จะไม่แกล้งน้องหกอีกแล้ว อย่าบอกท่านแม่นะ…” หมิงเฉิงไม่แม้แต่จะมองนาง เขาดึงหมิงเวยขึ้นมาแล้ววิ่งพาเข้าห้องไป
ตัวฝูตกตะลึง นางยืนนิ่งไปสักพักก่อนจะทิ้งตระกร้าลงบนพื้นแล้ววิ่งตามไป “คุณหนู! คุณชายสี่!”
……..
ภายในห้อง หลังจากฟังที่ฮูหยินสองพูดแล้ว ฮูหยินสี่เองก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ พวกเราดูแลนางมาโดยตลอด ก็ไม่มีอันใดหรอก แต่เจ้าที่ทุ่มเทสั่งสอนนางขนาดนี้ คงไม่ต้องการแค่เพียงเช่นนี้ใช่หรือไม่”
ฮูหยินสามหลุบสายตาลงมองถ้วยชาในมือ ผ่านไปสักพักจึงตอบกลับ “ตอนที่ข้าเดินทางออกจากเมืองหลวงในช่วงปีแรก ข้ากับท่านพี่ของข้าได้ตกลงกันไว้ว่า หากในอนาคตเสี่ยวชีไม่มีที่ไปจะให้นางไปอยู่กับพี่ห้า”
ฮูหยินสองพยักหน้า “ลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็คู่สร้างคู่สม”
ฮูหยินสี่เองก็เห็นด้วย “ตระกูลจี้เป็นผู้มีคุณธรรม น่านับถือ น่ายกย่อง หากเสี่ยวชีออกเรือนกับตระกูลเจ้า พวกเราก็วางใจ”
พูดถึงตระกูลจี้ของฮูหยินสามแล้ว เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองตงหนิงเช่นกัน ตระกูลนี้เคยเป็นจิ้นซื่อ[1]ในราชวงศ์ก่อน ฐานะร่ำรวยกว่าตระกูลหมิงเสียอีก
แต่ตระกูลจี้นั้นโชคไม่ดี หลังจากแผ่นดินเกิดการจลาจลครั้งใหญ่ เกิดการกบฏขึ้นทั่วทุกที่ โจรบุกเข้ายึดเมืองตงหนิง เข้ายึดตระกูลจี้ไว้เป็นของตน
ถึงตระกูลจี้จะเป็นตระกูลบัณฑิต ไม่มีความสามารถในการต่อกรต่อสู้ด้วย แต่พวกเขาก็ไม่ยอมสยบ
พอมีผู้ที่ไม่ยอมโจรก็สังหารคนผู้นั้นทิ้ง จากคนตระกูลจี้มากกว่าหนึ่งร้อยคน ชายหนุ่มตระกูลนี้ที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ล้วนถูกฆ่าทิ้งจนสิ้น
ท้ายที่สุดมีเพียงเด็กไม่กี่คนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้ แม้ว่าภายหลังพวกโจรจะถูกสังหาร แต่ตระกูลจี้นั้นก็ไม่ได้ตกต่ำลงแต่อย่างใด
พี่ชายของฮูหยินสามได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยสอนในกั๋วจื่อเจียน[2] มีความรู้เต็มเปี่ยม แต่น่าเสียดายที่เป็นคนเอาจริงเอาจัง เพื่อนร่วมงานหลายคนจึงคอยปัดแข้งปัดขา การเป็นข้าราชการในเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
สนทนาเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย แล้วค่อยๆ พูดเข้าสู่ประเด็น
ฮูหยินสองเงยหน้าขึ้น “จริงสิ เช้าวันนี้ ท่านแม่ถามว่าเกิดอันใดขึ้นหลังจากที่เจ้าเชิญท่านเทพธิดาหลิวมา” ฮูหยินสามเงยหน้าขึ้นสบตาด้วยความจริงจัง “พูดถึงเรื่องนี้ ข้ามีเรื่องอยากขอร้องพี่สะใภ้สอง!”
“เรื่องอันใดรึ” ฮูหยินสามถอนหายใจแล้วเล่าเรื่องที่แม่นางหลิวทำและผลลัพธ์ซึ่งก็คือวิญญาณร้ายได้ปรากฏขึ้นในวันนั้น “ท่านเทพธิดาหลิวบอกว่า สิ่งนั้นดุร้ายมาก จำเป็นต้องเชิญเสวียนชื่อที่แท้จริงมาจัดการกับมัน ข้าถามนางว่าต้องไปหาเสวียนชื่อจากที่ใด นางบอกว่าที่เสวียนตูกวานในเมืองหลวงมีเซียนอยู่ พี่สะใภ้สองเรื่องนี้จะให้ผู้หญิงจัดการได้อย่างไรกัน ขอเพียงให้ท่านพี่สองส่งจดหมายไปที่เมืองหลวง…”
ยังไม่ทันที่ฮูหยินสองจะพูดอันใด ฮูหยินสี่ทำสีหน้าประหลาดใจ “โลกนี้มีผีอยู่จริงงั้นหรือ”
“จะไม่จริงได้อย่างไร พวกสาวใช้ในสวนของข้าต่างก็เห็นเหมือนกันทั้งหมด”
เรื่องที่เกิดขึ้นในสวนอวี๋ฟาง มีหรือฮูหยินสองกับฮูหยินสี่จะไม่ได้ยินมาที่พวกนางมาในวันนี้เพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามถึงจะแบ่งออกเป็นสองเรือนแต่ไม่ได้แบ่งจวนเสียหน่อย สวนอวี๋ฟางเองก็อยู่ในตระกูลหมิง เรื่องที่เกิดขึ้นที่แห่งนี้ก็ถือเป็นเรื่องของตระกูลหมิง
ฮูหยินสามพูดต่อว่า “เดิมทีข้าตั้งใจว่าตอนไปทักทายท่านป้าสะใภ้วันพรุ่งนี้ จะลองขอร้องท่านเสียหน่อยไม่คิดว่าพวกท่านจะมาในวันนี้”
ฮูหยินสองทำสีหน้าลำบากใจ “ข้าเชื่อเรื่องที่ท่านเล่ามา แต่กฎของตระกูลเราคืออะไรท่านเองก็รู้ ครั้งที่แล้วท่านเชิญท่านเทพธิดามาเป็นเพราะความช่วยเหลือของท่านแม่ แต่ให้เชิญเซียนจากเสวียนตูกวานมาอีกข้าเกรงว่า…”
ฮูหยินผู้เฒ่าชอบไหว้พระเป็นปกติท่านจึงเชื่อในเรื่องนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้วเจ้านายของเรือนนี้ก็คือเหล่านายท่าน
“ข้าจะทำอย่างไรดี” ฮูหยินสามรู้สึกกังวล “ท่านเทพธิดาบอกว่าสิ่งนั้นดุร้ายมากสามารถฆ่าคนได้”
ฮูหยินสี่หน้าซีดด้วยความตกใจ และนึกถึงเด็กๆ ขึ้นมาทันที “เป็นไปได้อย่างไร ไหนใครต่างบอกว่าเรือนของพวกเราฮวงจุ้ยดีแล้วของแบบนั้น…”
“ผู้ใดจะรู้กัน!” ฮูหยินสามมีสีหน้าขมขื่น “ปกติข้าไม่ออกไปที่ใด ไม่รู้ว่าไปทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองกัน!”
ขณะที่กำลังพูดอีกด้านหนึ่งหมิงเฉิงที่ลากหมิงเวยมาตลอดทางตะโกนขึ้น “ท่านป้าสาม! ท่านป้าสามขอรับ!”
ท่าทางของเขาทำเอาทั้งสามคนตกใจ หมิงเฉิงเป็นคนอ่อนโยน ไม่เหมือนนายท่านสี่ผู้เป็นบิดา แต่กลับเหมือนนายท่านสามที่จากโลกนี้ไป เวลาอยู่ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่เขามักจะวางตัวดี ไม่เคยเห็นเขาตะโกนแบบนี้มาก่อน
“เฉิงเอ๋อร์ เกิดอันใดขึ้น หรือว่าพวกเด็กๆ…”
เมื่อนึกถึงวิญญาณร้ายที่อยู่ในสวน ฮูหยินทั้งสามก็ตกใจกับสิ่งที่พวกนางคิด
………………………………………………..
[1] จิ้นชื่อ : บัณฑิตชั้นสูง บัณฑิตที่สอบผ่านสนามสอบในราชสำนัก ซึ่งจัดการสอบต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ จัดขึ้นทุกๆ 3 ปี
[2] กั๋วจื่อเจียน : สถาบันการศึกษาที่สูงสุด
คอมเม้นต์