คู่ชะตาบันดาลรัก – ตอนที่ 13 สหาย
“ยื่นมือออกมา” ตัวฝูยื่นมือออกมาอย่างว่าง่าย หมิงเวยถอดด้ายแดงที่ข้อมือของตัวฝูออก
ตัวฝูรีบบอก “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูบอกว่าสิ่งนี้ห้ามถอด”
หมิงเวยหัวเราะ “ถอดแค่เดี๋ยวเดียวเอง สหายพวกนั้นกลัวเจ้าสิ่งนี้ หากใส่ก็มองไม่เห็นสิ” ตัวฝูรู้สึกสับสนงุนงง สิ่งที่แม่นางหลิวทำในวันนั้น นางสามารถเดาได้ว่า ด้ายแดงที่คุณหนูให้นั้นไม่ใช่ด้ายแดงธรรมดา
นางเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจตลอดจนกระทั่งเมื่อวานที่ได้ยินว่าดวงวิญญาณของคุณหนูพลัดหลงไปอยู่กับเสวียนหนี่เหนียงเหนียงนางถึงได้กระจ่างขึ้นมา เสวียนหนี่เหนียงเหนียงเป็นเทพ คุณหนูของนางได้ไปอยู่ข้างกายเสวียนหนี่เหนียงเหนียง แน่นอนว่านางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่แปลกใจเลย
หมิงเวยเก็บด้ายแดง “ข้าจะเก็บไว้ก่อน รอพวกเราเล่นเกมนี้เสร็จ แล้วข้าจะคืนให้เจ้า”
“เจ้าค่ะ” ตัวฝูพยักหน้า หมิงเวยจับมือนางรวบรวมพลังเบาบางไว้ที่ปลายนิ้ว แล้วส่งพลังไปที่ฝ่ามือของนาง ตัวฝูรู้สึกชาที่ฝ่ามือเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นในใจ
“ในสวนแห่งนี้มีสหายพวกหนึ่ง แต่พวกมันซ่อนตัวได้เก่งมาก ยากที่จะหาตัวเจอ ตัวฝูเจ้าจงจำความรู้สึกนี้ไว้แล้วหาตัวพวกมัน”
“ความรู้สึกหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ความรู้สึกใช้ใจรู้สึกแล้วเจ้าก็จะรู้ว่าพวกมันอยู่ที่ใด” ตัวฝูรู้สึกสับสนนางก้มหัวมองมือของตัวเอง
“ไปเถอะ” หมิงเวยทรุดตัวนั่งบนระเบียงทางเดิน “ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”
“โอ้…” ตัวฝูทำได้เพียงหันหลังกลับเพื่อตามหา ‘สหาย’ ตามที่คุณหนูบอก
หมิงเวยมองนางเดินจากไป สาวใช้นางนี้มีดวงชะตาหยางบริสุทธิ์ ปกติแล้วชีวิตนี้นางจะไม่ได้เจอภูติผี แต่เมื่อกี้หมิงเวยได้ใช้พลังผนึกลมหายใจของนางไว้ชั่วครู่ ทำให้นางอยู่ในสภาวะระหว่างหยินหยาง แบบนี้นางก็จะมีความรู้สึกไวกว่าคนธรรมดา หากในสวนแห่งนี้มีบางอย่างซ่อนอยู่จริงๆ อีกไม่นานก็คงถูกค้นพบ
หมิงเวยนั่งลงท่ามกลางแสงแดด ประสานมือเข้าด้วยกันอยู่ในท่าสัญลักษณ์ประจำองค์เทพแล้วหลับตาลงปรับลมหายใจ
คุณหนูเจ็ดโง่เขลามาหลายปีร่างกายนี้ต้องการฟื้นฟูพลังเดิมของตัวเอง ซึ่งโดยปกติแล้วไม่สามารถทำได้ แต่อย่างไรก็ตามร่างกายที่เปี่ยมไปด้วยพลังหยินหยางนี้ต้องฝึกฝนให้ถูกวิธีถึงจะสามารถก้าวข้ามคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว
แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว…
ควรรู้ไว้ว่า นางเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิต เสวียนชื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้าเหตุผลที่เป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตไม่ใช่เพียงแค่มีพลังแกร่งกล้าเท่านั้น ยังเป็นเพราะวิธีลับที่ผู้อื่นต่างไม่รู้
แม้พลังจะไม่เพียงพอ แต่นางก็มีตั้งนับพันวิธีมาชดเชย
อีกด้านหนึ่งตัวฝูเดินอยู่ในสวนในหัวของนางเต็มไปด้วยคำถาม สหายที่คุณหนูพูดถึงหมายถึงผู้ใดกัน แล้วซ่อนอยู่ที่ใด ทำอย่างไรถึงจะหาตัวเจอ นางรู้สึกสับสน อยากจะกลับไปถามคุณหนู แต่คุณหนูก็พูดอย่างชัดเจนแล้วนางโง่เองที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณหนูพูด
เดินวนอยู่หนึ่งรอบแล้วแต่ก็ยังไม่พบสหายแต่อย่างใด ตัวฝูรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางรู้มาตลอดว่าตัวนางไม่ได้ฉลาดนัก แต่ฮูหยินบอกว่าการปรนนิบัติรับใช้คุณหนูไม่จำเป็นต้องฉลาด แค่นางมีความจงรักภักดีก็เพียงพอแล้ว
ตัวฝูคิดอย่างนั้นมาโดยตลอด แต่ในวันนี้นางรู้สึกว่าคุณหนูกลายเป็นคนฉลาด ส่วนตัวนางนั้นโง่มากเหมือนกลายเป็นภาระของคุณหนู ไม่ได้! นางต้องพยายามตามคุณหนูให้ทัน เมื่อกี้คุณหนูบอกว่าอย่างไรนะ ให้ใช้ใจรู้สึกก็จะรู้ว่าพวกมันซ่อนอยู่ตรงไหน ใช้ใจ รู้สึก…
ตัวฝูหลับตาลง ปล่อยวางกำแพงจิตใจ สัมผัสความรู้สึกรอบๆ อย่างเงียบๆ
แล้วเบื้องหน้าของนางก็เกิดความเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว ถึงนางจะยังไม่ลืมตา แต่เหมือนจะเห็นเงาดำมากมาย เงาตะคุ่มพวกนั้นค่อยๆ โผล่ออกมา
มันคือ…ต้นไม้หนึ่งต้น ใช่ เป็นต้นฮวายฉู้[1]เก่าแก่ในสวนที่มีอายุเกือบร้อยปีแล้ว ยังมีหินก้อนใหญ่ใต้ต้นไม้ได้ยินมาว่าตอนที่สร้างสวนได้ขนกลับมาจากหุบเขา และแม่น้ำที่สวยงามเลื่องชื่อซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายพันลี้
ในน้ำ…ในน้ำมีแจกันซึ่งมันตกลงไปตั้งแต่ตอนไหนนะ
เอ๊ะ ด้านขวามือของนาง มีเงาคนสีขาว!
ตัวฝูตกใจจนมือสั่น นางลืมตาขึ้นเงาที่เห็นเมื่อสักครู่นี้ไม่อยู่แล้ว เหมือนโลกได้กลับสู่สภาพเดิมอย่างไรอย่างนั้น ราวกับว่าที่นางเห็นล้วนเป็นเพียงภาพหลอน
นางยังผวาไม่หายเมื่อนึกถึงเงาคนสีขาวที่เห็นไปเมื่อสักครู่ มันเหมือน…เงาสีขาวที่เสี่ยวเซียงบอกรึเปล่านะ ใช่แล้วเสี่ยวเซียงก็พบเห็นที่นี่นี่นา!
ดวงตาของนางจ้องมองตรงไปยังพื้นดินที่ว่างเปล่า หญิงชราที่ดูแลสวนเดินผ่านมา และมองนางด้วยสายตาแปลกใจ “แม่นางตัวฝูกำลังทำอันใดหรือ วันนี้ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูรึ”
ตัวฝูเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน ถามหญิงชราว่า “ท่านมีพลั่วหรือไม่เจ้าคะ”
“มี” หญิงชราหยิบพลั่วออกมาอย่างลังเล “เจ้าจะเอาไปทำอันใดหรือ”
ตัวฝูไม่ตอบใช้พลั่วขุดดินออกมา
“แม่นางตัวฝู?” หญิงชรายังคงสับสนอยู่ ตัวฝูไม่สนใจนางสนใจแต่ดินที่นางขุดอยู่เท่านั้น ใช้เวลาไม่นานพลั่วก็กระแทกเข้ากับของแข็งบางอย่าง
ตัวฝูโยนพลั่วทิ้งแล้วหยิบกล่องไม้ที่อยู่ในดินออกมา หญิงชราตกใจ “กล่องเครื่องประดับของผู้ใดกัน งดงามเสียจริง”
ตัวฝูหยิบผ้าเช็ดหน้ามาห่อไว้หมุนตัวและวิ่งไปตามทางเดิน
“แม่นาง!”
ตัวฝูหันกลับไปบอกว่า “รบกวนท่านยายกลับไปก่อนไว้ข้าจะขอบคุณท่านทีหลัง!”
หมิงเวยได้ยินเสียงตัวฝูวิ่ง “คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ!”
นางยกมุมปากขึ้น จากนั้นก็ลืมตา ตัวฝูกอดกล่องเครื่องประดับแล้ววิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าหมิงเวย นางพูดไปทำท่าทางไปว่า “คุณหนู ตัวฝูเห็นแล้วเจ้าค่ะ! มีเงาสีขาวเหมือนที่เสี่ยวเซียงพูดไว้ไม่มีผิด ตัวฝูขุดดินลงไปแล้วก็เจอสิ่งนี้!”
หมิงเวยรับกล่องเครื่องประดับมา นางหัวเราะเบาๆ “ดี เจ้าได้เจอสหายคนแรกแล้ว”
“คนแรกหรือเจ้าคะ”
“ใช่ เจ้ายังจำคำพูดที่จิ่วเอ์อร์พูดไว้หรือไม่อาจมีมากกว่าหนึ่ง”
ตัวฝูพยักหน้าทันที “คุณหนูโปรดรอก่อน ข้าน้อยจะไปหาต่อ” พูดจบนางก็หมุนตัวแล้ววิ่งกลับไป หมิงเวยยิ้มขณะมองดูนางวิ่งกลับไป สาวใช้ผู้นี้มีความสามารถมากกว่าที่นางคิดไว้เล็กน้อย
สำหรับผู้ที่ฝึกฝนวิชาแล้ว นางเป็นผู้ที่มีพลังหยินหยางอยู่เต็มเปี่ยมถือว่าได้รับสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นพิเศษ นอกจากนี้พลังหยางบริสุทธิ์นั้นง่ายต่อการสื่อสาร อีกทั้งยังสะดวกต่อการกำจัดสิ่งชั่วร้ายถือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่หายาก
ประการต่อมาดวงชะตาหยางบริสุทธิ์ของตัวฝู อุปนิสัยที่ไร้เดียงสาของนางนั้นมีค่ามาก ที่หมิงเวยพูดจาชวนสับสนไปก่อนหน้านี้เพื่อจะดูว่านางจะต้องใช้เวลานานเพียงใดในการทำความเข้าใจ คาดไม่ถึงว่ามันจะเร็วกว่าที่ตัวนางคาดไว้เสียอีก
หมิงเวยก้มลงมองกล่องเครื่องประดับที่ดูมีอายุเก่าแก่แล้วเคาะมันเบาๆ “ติดต่อกับวิญญาณแต่ทำเป็นไม่รู้เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ” ตัวฝูเหมือนค้นพบโลกใหม่ นางดูกระตือรือร้นมาก ค้นหาแทบทุกตารางนิ้ว เวลาผ่านไปไม่นานของชิ้นเล็กทุกชนิดได้กองอยู่ตรงหน้าหมิงเวย
แผ่นป้ายงาช้างโบราณ[2]เก่าๆ ปลาไม้ที่พังแล้ว[3] แล้วยังมีกระจก แผ่นภาพวาด…ทั้งหมดล้วนเป็นของเล็กๆ ที่ไม่มีค่า สิ่งที่เหมือนกันคือความเก่าแก่
หมิงเวยหยิบปลาไม้ขึ้นมาของที่อยู่ในวัดนี้มีกลิ่นอายของพระพุทธศาสนา ความตระหนักในวิญญาณจึงแข็งแกร่งกว่าสิ่งของธรรมดาเล็กน้อย และบางทีมันอาจจะตระหนักด้วยตนเองก็เป็นได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะสามารถรู้ได้ว่าใครกันที่เป็นคนส่งของเข้ามาจากปากของมันได้
ในขณะที่กำลังเช็ดดินที่ติดอยู่บนปลาไม้หมิงเวยก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของตัวฝู นางได้ยินเสียงดังมาจากด้านข้างต้นหลิว คิ้วเรียวขมวดขึ้นรู้สึกถึงลางไม่ดี
ตัวฝูคลานเข้ามาหาแล้วจับแขนเสื้อของนางตัวสั่นไม่หยุด “คุณหนู ข้าน้อยเห็นวิญญาณร้ายอีกแล้ว ข้าน้อยกลัวเจ้าค่ะ”
หมิงเวยลูบหัวนางจากนั้นก็นำด้ายแดงกลับมาผูกไว้ที่ข้อมือของนาง “ไม่ต้องกลัว พอสวมเจ้าก็ไม่เห็นมันแล้ว”
ตัวฝูตำหนิตัวเอง “เป็นความผิดของตัวฝูเองเจ้าค่ะ รู้ว่าที่ตรงนั้นมีบางอย่าง มีสีด้วย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตามไป”
หมิงเวยตกใจ “สีงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ” ตัวฝูพยักหน้า “ไม่รู้ว่าเป็นสีแดงหรือว่าสีเหลือง…แต่มันมีสีเจ้าค่ะ”
หมิงเวยขมวดคิ้วแล้วมองไปทางนั้น โลกของหยินหยางควรมีเพียงแค่สีขาวดำเท่านั้นถึงจะถูก มีเพียงสีเลือดยามปีศาจร้ายออกมาเท่านั้น นอกจากนี้หากมีสีก็ต้องเป็นจิตอสูรไม่ก็ญาณชีวิตเท่านั้น จิตอสูรกับสิ่งชั่วร้ายโดยทั่วไปไม่สามารถเข้ากันได้ หรือว่าจะมีจิตอสูรสิงอยู่ในสิ่งชั่วร้ายกัน
……………………………………………………….
[1] ต้นฮวายฉู้ หรือต้นฉัตรจีน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Styphnolobium japonicum
[2] แผ่นป้ายที่เอาไว้เขียนบันทึกเนื้อหาที่ต้องการจะกราบบังคมทูลของเหล่าขุนนางจีนในสมัยโบราณเมื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในพระราชวัง
[3] เครื่องใช้สำหรับในการตีให้จังหวะในการสวดมนต์ของสงฆ์ แต่เดิมมักแกะสลักเป็นรูปปลารวมอยู่ด้วย เพื่อให้พระสงฆ์ได้เอาอย่างปลา เพราะมันไม่เคยหยุดนิ่งเลยแม้กระทั่งเวลานอน ครีบและหางของมันจะโบกสะบัดอยู่เสมอ
คอมเม้นต์