คู่ชะตาบันดาลรัก – ตอนที่ 65 ชันสูตรพลิกศพ
อาหว่านเปิดประตูออกมาดูก็พบว่าไม่มีผู้ใดคอยจับตาดูพวกนาง
นางหันกลับมากวักมือ “ออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”
หมิงเวยไม่เข้าใจ “แม่นางอาหว่านคิดจะทำอันใดหรือ” อาหว่านเดินออกจากห้องเล็กอย่างแผ่วเบาแล้วตรงไปที่ด้านหลังโลงศพ
“ข้าเกรงว่าจะทำให้มารดาของท่านไม่พอใจ โปรดอย่าถือสาข้าน้อยเลยนะเจ้าคะ” นางกล่าวเช่นนั้นแต่ไม่มีแววตาของความรู้สึกผิดแต่อย่างใด จากนั้นนางก็หยิบถุงมือออกมา
ถุงมือคู่นั้นดูอ่อนนุ่มมากและขาวมากจนไม่มีร่องรอยของความแตกต่าง หมิงเวยมองแล้วถามออกไป “ไหมน้ำแข็งงั้นหรือ”
อาหว่านพยักหน้าจากนั้นก็ทำการปลดเสื้อผ้าของฮูหยินสาม
นี่คือการชันสูตรพลิกศพ หมิงเวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงสั่งให้งูขาวออกไปเฝ้าด้านนอกเพื่อไม่ให้ผู้ใดมาพบเห็นเข้า
“นี่คือค่าตอบแทนล่วงหน้าที่คุณชายหยางมอบให้งั้นหรือ”
อาหว่านมองนางด้วยรอยยิ้ม “หากเราไม่แสดงความจริงใจก่อน จะกล้าขอให้คุณหนูเจ็ดทำงานให้พวกเราได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
หมิงเวยกล่าวชม “คุณชายหยางช่างเข้าใจดีจริงๆ!”
เมื่อรู้ว่านางกังวลเรื่องของฮูหยินสามจึงให้ยาที่ทำให้จิตใจนางสงบก่อน
อาหว่านยิ้มแต่ไม่พูดอันใด
หมิงเวยมองดูนางสัมผัสบาดแผลบนร่างกายของฮูหยินสาม วิธีการนั้นดูคุ้นตาจึงถามออกไปว่า “แม่นางอาหว่านเข้าใจขั้นตอนการชันสูตรพลิกศพหรือ”
“ข้าพอรู้ทักษะทางการแพทย์อยู่บ้างเจ้าค่ะ” นางโน้มตัวลง และมองดูรอยแผลเป็นที่คอของฮูหยินสามอย่างระมัดระวัง
หมิงเวยเห็นนางขมวดคิ้วจึงถามอย่างเป็นกังวล “เป็นอย่างไรบ้าง”
“เป็นการแขวนคอไม่ผิดแน่ แต่…”
“แต่อะไรหรือ”
“เป็นไปได้ว่าจะถูกรัดคอจนตายแล้วค่อยนำไปแขวนคอแทนที่จะเป็นการแขวนคอโดยตรงเจ้าค่ะ” อาหว่านชี้ไปที่รอยแผล “ท่านดูนี่สิ”
เมื่อตรวจสอบคอแล้วนางจึงคว้ามือของฮูหยินสามมาดู “เล็บถูกตัด อีกฝ่ายจัดการปัญหาภายหลังได้ดีจริงๆ”
อาหว่านมองอีกครั้งแล้วส่ายหน้า “ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดนายท่านสองถึงล่อลวงให้ท่านร้องทุกข์ พวกเขาเก็บกวาดอย่างสะอาดหมดจดแล้ว จุดที่น่าสงสัยอย่างรอยแผลเองก็บอบบางมาก ซึ่งนำมาเป็นหลักฐานได้ยาก หากตอนนั้นท่านร้องทุกข์ขึ้นมามีผู้คนเป็นพยานจำนวนมาก การชันสูตรพลิกศพก็ไม่มีหลักฐาน เขาสามารถใช้ประโยชน์จากความเห็นของผู้คนทำให้ท่านตกอยู่ที่นั่งลำบากได้เลย!”
หมิงเวยมองนาง “แต่ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้น เหมือนแม่นางอาหว่านดูจะผิดหวังนะ”
มือของอาหว่านที่กำลังจัดระเบียบศพอยู่ชะงัก นางเงยหน้าขึ้นมามองหมิงเวย ทั้งสองคนสบตากันโดยมีโลงศพคั่นกลาง
อาหว่านก้มศีรษะลงอีกครั้ง และแต่งตัวให้กับฮูหยินสามต่อ “ท่านรู้ดีอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องพูดออกมาด้วยเล่า”
“แม่นางไม่ชอบข้าหรือ”
อาหว่านหัวเราะ “แม่นางหมิงคงไม่คิดว่าตนเองเป็นเงินทองที่ผู้ใดเห็นต่างก็รู้สึกรักหรอกนะเจ้าคะ”
“เจ้าดูโกรธเกรี้ยวนะ” หมิงเวยจับคางมองนางอย่างละเอียด
อาหว่านที่ถูกนางจับสังเกตได้ก็รู้สึกไม่สบายใจจึงตอบไปว่า “แม่นางหมิงไม่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ก่อนหรือ จะไปสนใจกับเรื่องที่ไม่สำคัญทำไมเล่า ข้าจะชอบหรือไม่ชอบท่านก็ไม่ส่งผลอันใดอยู่แล้ว”
หมิงเวยตอบ “เหตุใดจะไม่ส่งผลอันใดเล่า ในเมื่อเจ้าเป็นคนสนิทอันดับหนึ่งของคุณชายหยาง หากเจ้ารู้สึกไม่ดีกับข้า ทางคุณชายเองก็…”
“ท่านคิดว่าข้าเป็นคนเยี่ยงไรกัน” อาหว่านไม่พอใจ “ถึงข้าจะไม่ชอบ แต่ข้าก็ไม่นำเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ไม่รอให้หมิงเวยตอบกลับนางพูดต่อไปว่า “เหตุใดแม่นางหมิงไม่คิดให้ดีๆ ก่อน หากเป็นเช่นนี้แล้วจะล้างแค้นให้มารดาของท่านได้อย่างไร!”
“เรื่องนี้ใจร้อนไม่ได้หรอก” หมิงเวยเม้มริมฝีปากแน่น “ผู้ที่ฆ่าท่านแม่ของข้า ไม่ใช่แค่คนคนเดียว แต่เป็นทั้งตระกูลหมิง แล้วยังมีสิ่งที่อยู่เบื้องหลังตระกูลหมิงอีก เพื่อแก้แค้นให้กับท่านแม่ ต้องกำจัดทิ้งให้หมด!”
น้ำเสียงของนางไม่ได้สูง แต่กลับหนักแน่น อาหว่านเงยหน้าขึ้นมอง มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย
“แม่นางฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”
“ขอบคุณที่ชม”
อาหว่านขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้ชมท่านเสียหน่อย”
“แต่อย่างไรข้าก็ฟังคำชมเจ้าแล้ว”
“…..”
หมิงเวยสัมผัสโลงศพไม้มองใบหน้าอันมืดมนของฮูหยินสามนึกถึงช่วงเวลาที่นางยังมีชีวิตอยู่ก็รู้สึกเศร้า
อาหว่านถาม “ผู้ที่ฆ่านาง…ท่านสงสัยผู้ใดหรือไม่”
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้ายังคงสับสนอยู่เช่นกัน” หมิงเวยตอบ “ท่านแม่น่าจะตายในคืนนั้น ผู้ที่สามารถเข้าออกสวนอวี๋ฟางได้อย่างอิสระในคืนนั้นก็มีเพียงเหล่านายท่าน ท่านอาหกถูกทำร้ายจนบาดเจ็บยังนอนอยู่บนเตียงอยู่เลย ไม่ใช่เขาเป็นแน่ ก็เหลือแต่เพียงท่านลุงสองกับท่านอาสี่…”
นางขมวดคิ้ว “ท่านอาสี่ไม่เคยมาหาท่านแม่ที่สวนอวี๋ฟาง ข้าหมายถึงเขาไม่เคยรังแกท่านแม่ ส่วนท่านลุงสอง…ดูจากท่าทีของท่านลุงสองแล้ว เขาไม่น่าทำเช่นนั้น”
นายท่านสองเป็นผู้ที่วางแผนข่มเหงนาง แต่ดูเขาไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด
ผู้ที่เคยทำชั่วแม้ว่าจะไม่รู้สึกสำนึกผิด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้รับเคราะห์อย่างน้อยต้องมีความรู้สึกอ่อนไหวในใจบ้าง
แต่หมิงเวยไม่รู้สึกถึงความรู้สึกนั้นจากตัวของเขาเลย
“ท่านอาสี่ของท่าน นอกจากตอนที่ออกมาต้อนรับฉีตงจวิ้นอ๋องแล้ว เขาก็ไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นอีกเลย หรือว่าจะเป็นเขาจริงๆ เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นว่าเขาดูเป็นคนดี แต่จริงๆ แล้วภายใต้ความโกรธนั้นอาจจะเป็นจิตใจที่ช่างโหดร้ายก็เป็นได้”
คำเตือนจากอาหว่านทำให้หมิงเวยนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“จริงสิ! ท่านอาสี่มีข้อสงสัยอยู่เช่นกัน ข้าเคยเห็นชี่ของเขา มีครั้งหนึ่งชี่ของเขาแตกต่างจากปกติอย่างสิ้นเชิง แต่ตอนนั้นข้าไม่ค่อยสบายแล้วก็ไม่ค่อยมีพลังจึงไม่ทันได้ตรวจสอบอันใด ซึ่งเหตุการณ์นั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีก ข้าเลยไม่แน่ใจว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่”
อาหว่านมีความรู้เกี่ยวกับเคล็ดวิชาไม่มากจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายถึงอะไร แต่เรื่องที่ตระกูลหมิงมีความลับมากมายนั้นนางเข้าใจ “ตระกูลหมิงนี้เต็มไปด้วยความลึกลับจริงๆ”
หมิงเวยคิด “ท่านแม่ถูกฆ่าเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนโครงกระดูกในสวนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งสองเรื่องนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหมิง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปเพื่อเชื่อมโยงสองเรื่องนี้เข้ากับตระกูลหมิง”
“ท่านหมายถึงฆาตกรงั้นหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า “ผู้ที่เป็นคนฆ่าแล้วเอาศพไปฝังไว้ในสวน สายลับของหวงเฉิงซือมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหมิงได้อย่างไร ผู้ที่เกี่ยวข้องอาจเป็นนายท่านสองคนที่อยู่ที่เมืองหลวงไม่ใช่เหล่านายท่านที่อยู่ในตงหนิงก็เป็นได้”
จวนตระกูลหมิงไม่ใช่สถานที่ห่างไกลผู้คน ผู้ที่ถูกฝังที่นี่แน่นอนว่าต้องถูกฆ่าและทำการฝังไว้ที่ใกล้ๆ หมายความว่าเขาตายที่นี่ สายลับคนนี้มาที่นี่เพื่อสืบคดีกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องแล้วเขามาทำอันใดที่ตระกูลหมิงกัน
“ตระกูลหมิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องหรือไม่”
อาหว่านตอบ “ข้าบอกท่านไม่ได้”
หมิงเวยยิ้ม “หากเจ้าไม่พูดข้าคงต้องไปถามคุณชาย”
อาหว่านตอบอย่างเย็นชา “ท่านคิดจริงๆ หรือว่าหากถามแล้วคุณชายจะตอบ”
หมิงเวยหัวเราะ “ไม่ลองก็ไม่รู้จริงหรือไม่”
อาหว่านร้องเฮอะแล้วไม่พูดอันใด หมิงเวยจัดแจงเสื้อผ้าให้ฮูหยินสามเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นมองนางด้วยความคิดถึงสักพักแล้วหมุนตัวกลับมา “เวลานี้ยังไม่เช้า รีบไปพักผ่อนกันเถอะ”
อาหว่านไล่ตามมา “ยังมีอีกเรื่อง ท่านจะทำอย่างไรต่อไป”
“หืม…”
“พักศพสามวันแล้วก็ต้องฝังศพแล้ว ท่านคิดจะให้ท่านแม่ของท่านถูกฝังทั้งอย่างนี้จริงๆ หรือ”
แน่นอนว่าไม่ นางถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรมให้ถูกฝังไปเช่นนั้น ฮูหยินสามจะนอนตายตาหลับได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นดวงวิญญาณของนางหายไป ต้องตามหาดวงวิญญาณของนางกลับมาก่อน
อาหว่านกล่าวว่า “หากท่านไม่รู้จะทำอย่างไร พวกเราช่วยท่านได้นะเจ้าคะ”
หมิงเวยส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้าลงมือหรอก”
“ทำไมหรือ ท่านกลัวว่าพวกเราจะทำได้ไม่ดีหรือ”
“ไม่ใช่” หมิงเวยตอบ “ข้าเกรงว่าจะเป็นการขอที่มากเกินไป ถึงเวลานั้นหนี้สุดท้ายที่พวกเจ้าให้ข้าอาจจะน้อยเกินไป”
อาหว่านถูกนางทำให้หงุดหงิดอีกครั้ง “ตามใจท่านละกัน!”
นางพลิกตัวบนเก้าอี้ตัวยาวแล้วหลับไป หมิงเวยเองก็นอนลงบนเตียงเล็กแล้วหลับตาลง
ยังมีศึกครั้งใหญ่ที่รออยู่เบื้องหน้า นางจำเป็นต้องพักเอาแรงก่อน
………………………………………………..
คอมเม้นต์