คู่ชะตาบันดาลรัก – ตอนที่ 84 หาพบ
ยามสามแล้ว สวนอวี๋ฟางตกอยู่ในความเงียบสงัด
“คุณหนูเจ้าคะ…”
ตัวฝูจัดเตียงเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ออกไปไหนดูเหมือนลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่
หมิงเวยรู้ดีว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ เย็นวันนี้พวกเขาพูดคุยกันโดยไม่ปิดบังตัวฝูเลยสักนิดซึ่งคำพูดเหล่านั้นได้เปิดเผยข้อมูลที่มากเกินไป
“ตัวฝู เจ้าเชื่อข้าหรือไม่” นางมองสาวใช้ตรงหน้าตน จุดดำที่ปกคลุมใบหน้าของนางนั้นไม่สามารถซ่อนความกังวลของนางได้
แต่พอได้ยินคำถามนี้ตัวฝูพยักหน้าอย่างหนักแน่น “บ่าวเชื่อเจ้าค่ะ”
หมิงเวยยิ้ม “บางเรื่องข้ายังไม่สามารถบอกเจ้าได้ในเวลานี้ แต่วันหนึ่งเจ้าจะรู้ความจริงทั้งหมด ขอเพียงเจ้าเชื่อใจข้าโปรดให้เวลาข้าสักหน่อยเถิด”
ตัวฝูลังเลชั่วขณะแต่ก็พยักหน้า “เจ้าค่ะ บ่าวจะรอฟัง”
ตัวฝูถอยออกไป หมิงเวยวางหนังสือแล้วถอนหายใจ
นางมาที่โลกนี้ไม่เพียงแต่ได้รับความรักจากฮูหยินสาม ยังมีตัวฝู แม่นมถง ปิงซิน ซู่เจี๋ยด้วย…เดิมทีนางคิดว่าตนสามารถเข้ามาแทนที่คุณหนูเจ็ดได้ ไม่ให้พวกเขาต้องแบกรับกับความเจ็บปวดจากการสูญเสีย
แต่ตอนนี้นางตระหนักได้ว่าตนเองไม่สามารถทำได้ ดูเหมือนเทพเจ้าต้องการบอกนางว่า เจ้าเป็นผู้ใดกันคิดจะเปลี่ยนแปลงทุกเรื่องราวได้อย่างนั้นหรือ
หมิงเวยหยุดคิดเรื่องนี้แล้วหยิบหยกแขวนที่ยืมมาขึ้นมาดู วิญญาณของเกิงซานถูกเก็บเข้าไปแล้ว ยังมีญาณชีวิตอีกจำนวนหนึ่งที่นางต้องจัดการนำออกมา
นางหลับตาลงกำสิ่งที่อยู่ในมือแน่นแล้วส่งพลังบริสุทธิ์เข้าไปในหยกแขวน
หลังจากนั้นไม่นานแสงสีแดงเหลืองก็หลุดรอดออกมาจากหยกแขวน
หมิงเวยกระซิบ “รวมสมาธิ!”
สิ่งที่ปรากฏออกมาคือเงาสีขาวซีดตามด้วยเงาสีแดง…
หมิงเวยวาดนิ้วเป็นเส้นพอมองญาณชีวิตที่รวมอยู่บนฝ่ามือของนางก็ตกใจ
“จิตวิญญาณสองส่วนกับกายทั้งสี่งั้นหรือ”
จำนวนนี้…หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมองคุณหนูเจ็ดที่อยู่ในม่านพลังตรงมุมเตียง
…………
หนังสือเล่มหนึ่งถูกขว้างจากด้านหลังโต๊ะพร้อมด้วยเสียงตวาด “สมองท่านถูกลาเหยียบไปแล้วหรืออย่างไร!”
นายท่านสองที่ถูกขว้างใส่ก็ตกใจ เขามองคนผู้นั้นอย่างเงียบๆ
หลายปีมานี้ คนผู้นั้นไม่เคยโกรธตนเองเลย นับประสาอะไรกับการไม่ไว้หน้าเช่นนี้
“น้องสาม…”
เก้าอี้หมุนกลับมาภายใต้แสงไฟทำให้เห็นใบหน้าที่เหมือนกับนายท่านสี่ราวกับแกะ เขาหลับตาพยายามสงบอารมณ์ตนเอง
“ขอโทษ ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี”
นายท่านสองฝืนยิ้ม “ข้าไร้ประโยชน์เองไม่แปลกถ้าเจ้าจะโกรธ”
“ต้องข่มอารมณ์ไว้!” เขาพูดช้าๆ “ข้ารู้ว่าท่านโกรธที่ถูกนางหักหน้าอยู่หลายครั้ง แต่ท่านต้องรู้ไว้ว่าศัตรูของพวกเราเป็นผู้ใด ตอนนี้พวกเราทำอันใดนางไม่ได้ ไม่ใช่เพราะนางแข็งแกร่งมาก แต่เป็นเพราะนางอยู่ฝั่งเจี่ยงเหวินเฟิงกับคุณชายหยาง ขอเพียงจัดการคนที่คอยหนุนหลังนางได้ พวกเราก็จะจัดการนางได้”
หากเป็นเมื่อก่อนนายท่านสองคงเชื่อใจเขาอย่างสุดหัวใจ แต่หลายครั้งที่ไม่เป็นไปตามที่หวัง นายท่านสองอดสงสัยไม่ได้ว่า
“ท่านไม่ได้บอกหรอกหรือว่าเด็กคนนี้มีความสามารถอีกทั้งท่านยังบอกอีกว่าเรื่องผีออกอาละวาดนั่นเป็นฝีมือของนาง ถ้าหากนาง…”
“แล้วอย่างไรกัน” เขาตอบอย่างไม่แยแส “ไม่ว่าวิชานั้นเก่งกาจเพียงใดก็ไม่สามารถเอาชนะอาวุธได้ หากไม่ใช่เพราะมีคนคอยปกป้องนาง การจะจัดการนางก็ไม่ใช่เรื่องยากไม่ใช่หรือ”
“จะพูดอย่างนั้นก็…”
“ท่านอย่าเพิ่งกังวลเรื่องนี้ไป ของที่ข้าให้ท่านตามหา ท่านหาพบหรือยัง”
นายท่านสองถูกขัดจังหวะด้วยเรื่องนี้ เขาจึงต้องละทิ้งหัวข้อเดิมไปแล้วพูดด้วยความหงุดหงิด “ปิ่นนั้นนางสวมบนหัวอยู่ มันไม่เข้าท่าเลยจริงๆ มารดาเพิ่งจากไป นางดูไม่มีท่าทีไว้ทุกข์ให้มารดาเลยสักนิดเดียว!”
“คิดหาวิธีนำปิ่นนั่นมาให้ได้” เขาบอก “ท่านก็รู้ดีว่าสิ่งนั้นสำคัญมากเพียงใด”
นายท่านสองลังเล “สาวใช้ข้างกายนางซื่อสัตย์มากมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลงมือ”
“หากไม่ง่ายที่จะลงมือก็ต้องคิดหาวิธี หากของสิ่งนั้นหายไปเราจะไปอธิบายกับจวิ้นอ๋องอย่างไร อย่าลืมเสียล่ะว่าโครงกระดูกนั่นอยู่ในมือเจี่ยงเหวินเฟิงแล้ว พวกเราต้องพึ่งพาจวิ้นอ๋อง”
นายท่านสองทำได้เพียงพูดว่า “ได้ ข้าจะไปหาวิธี”
“อืม จับตาดูสวนอวี๋ฟางอย่างใกล้ชิด อย่าทำเรื่องไร้ประโยชน์อีก โจมตีในครั้งเดียวมีประโยชน์มากกว่าการสร้างปัญหาที่ไม่มีความหมาย”
“เข้าใจแล้ว”
……….
“ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย[1]” หมิงเวยถอนหายใจ
นางยังคิดอยู่ว่าหลังจากการสูญเสียมาหลายปี จิตวิญญาณของคุณหนูเจ็ดคงไม่สามารถหาได้ง่ายๆ ไม่คาดคิดว่าจะมีความบังเอิญเช่นนี้
นางคลายฝ่ามือแล้วทำมือเป็นสัญลักษณ์
จิตวิญญาณสองส่วนกับกายทั้งสี่ถูกนางดึงเข้าสู่ม่านพลัง คุณหนูเจ็ดที่ขดตัวอยู่ตรงมุมเตียงจู่ๆ ก็ตัวสั่น จิตวิญญาณเหล่านั้นผสานเข้ากับตัวนาง แล้วเด็กสาวที่ดูโง่เขลาก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ!
จิตวิญญาณพวกนั้นคือจิตวิญญาณของคุณหนูเจ็ดที่หายไปเป็นเวลานาน แต่เพราะนางได้ตายไปแล้วพอมารวมกับจิตวิญญาณที่หายไปก่อนที่นางจะตายจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่เข้ากัน
ช่วงเวลาที่จิตวิญญาณผสานกันนางหลับตาลงแล้วเข้าสู่นิทราไป อารมณ์ของหมิงเวยซับซ้อน ตอนที่คุณหนูเจ็ดถือกำเนิด นายท่านสามรับราชการอยู่ที่เมืองหลวง
นางคิดเสมอว่าจิตวิญญาณที่หายไปของคุณหนูเจ็ดอาจอยู่ที่บ้านเกิดของนางในเมืองหลวง ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ในสวนอวี๋ฟางแห่งนี้
นางแน่ใจแล้วว่าญาณชีวิตเหล่านี้ได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้โดยบังเอิญ เป็นที่แน่ใจแล้วว่าเกิงซานถูกนายท่านสามฆ่าตาย
พูดในอีกแง่หนึ่งก็คือจิตวิญญาณที่หายไปของคุณหนูเจ็ดน่าจะติดตัวนายท่านสามไป แล้วจิตวิญญาณชั่วร้ายของเกิงซานถูกดึงเข้ามาพัวพันโดยมีนายท่านสามเป็นตัวกลาง ดูเหมือนว่านายท่านสามจะไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น
หากบุตรสาวสามารถได้รับการรักษาจนหาย เขาคงไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้นางโง่เช่นนี้มาตลอดหรอก แล้วอีกอย่างนายท่านสามน่าจะมีของบางอย่างที่สามารถกักขังวิญญาณได้
หมิงเวยนึกถึงดวงวิญญาณของฮูหยินสามที่หาไม่พบ หรือว่าจะอยู่กับนายท่านสามกัน
……….
วันที่สอง เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยของเจี่ยงเหวินเฟิงเดินทางมาที่จวนตระกูลหมิง
“นายท่านสอง” คนผู้นี้สุภาพมาก
“ศพที่พบในจวนของท่านเมื่อไม่กี่วันก่อน ทางเราได้ตรวจสอบแล้วก่อนหน้านี้จวนของท่านกำลังทำพิธีศพ เราจึงไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างเต็มที่มากนัก ตอนนี้จวนของท่านจบพิธีแล้ว เราจึงมาขอตรวจสอบอีกครั้ง โปรดให้ความร่วมมือด้วยขอรับ”
“หากใต้เท้าต้องการเช่นนั้น โปรดสั่งการมาได้” สีหน้านายท่านสองดูโกรธ
“ไม่รู้ว่าคนชั่วใดมาฝังกระดูกไว้ในเรือนตระกูลหมิงของข้าน้อย หวังว่าใต้เท้าจะสืบหาความจริงให้ปรากฏเพื่อให้พวกเราไม่ได้รับความไม่เป็นธรรม”
เจ้าหน้าที่คนนั้นยิ้มแล้วกล่าวว่า “แน่นอนขอรับเพียงแต่คนผู้นี้เสียชีวิตมาสิบปีแล้ว การสืบหาคงไม่ใช่เรื่องง่ายโปรดอย่าตั้งความหวังมากจนเกินไปนัก”
นายท่านสองยิ้มเย็น “หมายถึงผู้ที่ตายไปเมื่อสิบปีก่อนแล้วใช่ไหมขอรับ เมื่อสิบปีที่แล้วเรือนของข้าน้อยมีการซ่อมแซมสวนเป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนฉวยโอกาสนี้ทำเรื่องไม่ดี”
“เป็นไปได้ขอรับ” เจ้าหน้านี้ผู้นั้นถอนหายใจ
“คดีเก่าหลายปีเช่นนี้การสืบหาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ใต้เท้าเจี่ยงเองก็มีเรื่องอื่นที่ต้องรีบจัดการจึงให้ข้าน้อยมาจัดการแทน ข้าน้อยก็ทำได้แค่พยายามให้ถึงที่สุด เชื่อฟังเจ้านายขอรับ” นายท่านสองเข้าใจเป็นอย่างดี
“เรื่องของจวิ้นอ๋องเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญกว่า” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นกล่าว
“เป็นเพียงคดีธรรมดาทั่วไปไม่ใช่หรือ ใหญ่ตรงที่ใดกัน”
เจ้าหน้าที่ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วย “การซื้อที่ดินในราคาต่ำ บ่าวรับใช้ถูกกลั่นแกล้ง เรื่องเหล่านี้มีตัวอย่างมานักต่อนักแล้ว ง่ายที่จะตัดสินเพียงแต่ใต้เท้าเจี่ยงเป็นคนรอบคอบทำงานละเอียด อีกทั้งออกจากเมืองหลวงตามคำสั่งก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หากเขาจะรอบคอบมากขึ้น เอาล่ะๆ ไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว ข้าน้อยทำงานของตนเองดีกว่า”
นายท่านสองเผยรอยยิ้มออกมา “ใต้เท้าเชิญทางนี้”
ในใจคิดว่าที่กล่าวกันว่าทำงานหนักอยู่เคียงข้างเจ้าหน้าที่ที่ซื่อสัตย์มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
………………………………….
[1] ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย : พยายามหาแทบตายไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น
คอมเม้นต์