คู่ชะตาบันดาลรัก – ตอนที่ 89 ตกเบ็ด
ฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไปจนตอนนี้เข้าเดือนที่สี่แล้ว ไม่รู้ว่าฤดูใบไม้ผลิปีนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นหรือไม่ วันสรงน้ำพระของวัดเป่าหลิงในปีนี้ถึงจัดได้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก
หมิงเวยเดินทางไปหาฮูหยินผู้เฒ่าล่วงหน้าหนึ่งวัน ฮูหยินผู้เฒ่าล้มป่วยมาหลายวัน และเพิ่งอาการดีขึ้น
ผู้อาวุโสในบ้านล้มป่วยถือเป็นเรื่องที่ไม่ดี หากเกิดอันใดขึ้นมาอีกนายท่านทั้งสองที่อยู่ที่เมืองหลวงล้วนต้องประสบเคราะห์กรรมในการสูญเสียผู้บังเกิดเกล้า แต่มันไม่ง่ายเพียงนั้น
เพราะฉะนั้นหลายวันมานี้ฮูหยินสองนอกจากดูแลเรื่องในเรือนแล้ว นางก็อาศัยอยู่ที่นี่ตลอด คอยรินชาป้อนยาให้ด้วยตนเอง ไม่กล้าออกจากเรือนนี้ไป
วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกดีขึ้นเยอะ นางกำลังมองดูดอกไม้ทางหน้าต่าง สาวใช้ก็เข้ามารายงานว่าคุณหนูเจ็ดมาหา
ฮูหยินผู้เฒ่าฝืนยิ้ม “เสี่ยวชีหรือให้นางเข้ามาเถอะ!” ฮูหยินสองมองแล้วก็ถอนหายใจเงียบๆ ในช่วงเดือนสั้นๆ นี้มีหลายเรื่องเกิดขึ้นมากมายภายในเรือน เป็นการฉีกภาพลวงของครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียว
ฮูหยินผู้เฒ่าที่อายุมากแล้วต้องเผชิญกับความจริงที่โหดร้ายเช่นนี้ นางคงเจ็บปวดจนจินตนาการไม่ออก กุญแจสำคัญในการเปิดเผยทั้งหมดนี้คือการเสียชีวิตของฮูหยินสาม
ฮูหยินผู้เฒ่าอดไม่ได้ที่จะโกรธ นางจึงไม่อยากเห็นหมิงเวยมากนัก หมิงเวยเองก็รู้เรื่องนี้ดีจึงไม่ได้มาหานางบ่อยๆ แต่วันนี้นางไม่มาไม่ได้
เมื่อคืนวานหยางชูข้ามกำแพงเข้ามาในสวนอวี๋ฟางแล้วโยนแผนที่ให้กับนาง “ข้ารู้แล้วว่าชุ่ยหมายความว่าอย่างไร”
“หมายถึงอันใดหรือ”
“ยอดเขาชุ่ยมู่” เขาพูด “บนเขาซิ่วเฟิง”
หมิงเวยมองสถานที่ที่เขาชี้บนแผนที่ “วัดเป่าหลิงงั้นหรือ”
หยางชูพยักหน้า “วัดเป่าหลิงอยู่บนเขาซิ่วเฟิงอยู่ติดกับยอดเขาชุ่ยมู่”
หมิงเวยครุ่นคิด “เป็นไปได้ว่านายท่านสามอาจจะซ่อนของสิ่งนั้นไว้ที่ยอดเขาชุ่ยมู่ใช่หรือไม่”
“ใช่”
“เขาลูกนั้นใหญ่เพียงใด ค้นหาง่ายหรือไม่”
หยางชูยกมือยักไหล่ “หากต้องค้นหาล่ะก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีครึ่ง!”
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องหาวิธีอื่น!” หมิงเวยพึมพำ พวกเขาไม่สามารถใช้เวลาถึงหนึ่งปีครึ่งได้
หากหยุดอยู่ตรงนี้เจี่ยงเหวินเฟิงจะอยู่หรือจะไป ในไม่ช้านี้จะต้องมีคำตอบ ไม่อย่างนั้นปรากฏการณ์ที่สร้างขึ้นในครั้งนี้จะหายไป
“มะรืนนี้เป็นเทศกาลสรงน้ำพระ” หยางชูพูด “ได้ยินมาว่าเทศกาลสรงน้ำพระที่วัดเป่าหลิงในปีนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่มาก”
หมิงเวยมองเขา “ท่านหมายถึงใช้เทศกาลสรงน้ำพระล่องูออกจากถ้ำใช่หรือไม่”
หยางชูยิ้ม เขามองปิ่นปักผมสีทองบนเรือนผมของนาง “เหยื่อตัวนี้ถูกมองมาหลายวันแล้วควรติดเบ็ดได้แล้วหรือไม่”
หมิงเวยคิดแล้วหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปนัดเจอกันที่วัดเป่าหลิงดีหรือไม่”
หยางชูหัวเราะ “สาวงามชวนเช่นนี้ข้าจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไรกัน”
…………
“หลานอยากไปวัดเป่าหลิงหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเลิกคิ้ว
“เจ้าค่ะ” หางคิ้วหมิงเวยตก แววตาเศร้า
“จนถึงตอนนี้ท่านแม่ยังไม่ถูกฝัง หลานอยากใช้โอกาสเทศกาลนี้จุดธูปสรงน้ำ ความขุ่นเคืองใจของท่านแม่อาจจะหายไปก็เป็นได้…”
ฮูหยินผู้เฒ่าชะงักนางถอนหายใจ “ก็ดี ช่วงนี้ในเรือน…ปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปก็เป็นเรื่องที่ดี”
ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปตะโกน “หวงยิงให้คนไปที่วัดเป่าหลิง วันรุ่งขึ้นให้เตรียมลานไว้ให้พวกเราด้วย”
ฮูหยินสองตกใจแล้วรีบถาม “ท่านแม่จะไปด้วยหรือเจ้าคะ”
“ถ้าอยากไปก็ไปด้วยกันเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าบอก “ไปอธิษฐานขอพร หวังว่าเรือนของเราจะราบรื่นขึ้น”
“แต่ร่างกายของท่าน…”
“ดีขึ้นแล้ว นอนอยู่ในห้องนี้ทั้งวันมันก็รู้สึกอึดอัด”
ฮูหยินสองเองก็คิดเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าปวดใจมาตลอด ไปวัดเป่าหลิงบริจาคเงินทองเพื่อความสบายกายสบายใจคงอาการดีขึ้นในไม่ช้า
“ถ้าอย่างนั้นสะใภ้จะสั่งการออกไปเจ้าค่ะ”
“อืม” ฮูหยินผู้เฒ่าตอบ “เรียกให้สะใภ้สี่ไปด้วยกัน นางหายป่วยมาหลายวันแล้ว หากป่วยอีกคงไม่ดี”
“เจ้าค่ะ”
ก่อนที่ฮูหยินสองเดินออกไปนางหันไปมองหมิงเวยแล้วถอนหายใจในใจ
คุณชายหยางผู้นั้นมักจะนำของมาให้ช่วงนี้ ถูกแยกออกจากกันเช่นนี้ ไม่ได้พบหน้ากันเกรงว่าคงทนไม่ไหว
เด็กคนนี้ ใยจึงไม่เชื่อฟังกันบ้างเลย
………
นายท่านสองเพิ่งกลับมาจากข้างนอกพอได้รับข่าวนี้ก็ตกใจ เขายังไม่ทันได้กลับห้องก็ต้องรีบไปที่เรือนเล็กของแม่เฒ่าหม่า
“เด็กคนนั้นต้องการออกจากจวน” นายท่านสองพูด
เมื่อได้ยินข่าวนั้น ผู้ที่อยู่หลังโต๊ะก็ถอนหายใจ “ในที่สุดนางก็ออกจากจวนแล้ว ผ่านมาหลายวันแล้วทำให้นางอยากออกได้สักที”
“นี่เป็นแผนทำให้เราติดเบ็ดหรือเปล่า”
เขาไม่ตอบ “นางต้องการไปที่ใด”
นายท่านสองพูด “พรุ่งนี้มีเทศกาลสรงน้ำพระ นางต้องการไปวัดเป่าหลิง”
เขาเลิกคิ้ว
นายท่านสองพูดอีก “ก่อนที่จะออกไป ข้าได้ยินข่าวหนึ่งมา”
“ข่าวอันใด”
“คุณชายหยางท่านนั้นรู้ว่ามีเทศกาลสรงน้ำพระจึงอยากไปเดินชมงานที่วัดเป่าหลิงแล้วยังเชิญเจี่ยงเหวินเฟิงไปด้วย จวิ้นอ๋องทราบเรื่องนี้ก็ได้เชิญทุกตระกูลไปด้วยกัน”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ดีนัก นายท่านสองจึงถามไถ่อย่างระมัดระวัง
“เป็นอันใดหรือ ที่นั่นมีปัญหาอันใด”
ผ่านไปสักพักเขาถึงตอบกลับมา “พวกเขาคงนัดหมายกันไว้ดิบดีแล้วเพียงแต่สถานที่นั้นไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ได้ตั้งใจ”
นายท่านสองคิดได้ในทันที “ของที่ท่านพูดถึงก่อนหน้านี้อยู่ที่วัดเป่าหลิงหรือ!”
เมื่อเห็นเขาพยักหน้าช้าๆ นายท่านสองก็ตกใจ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขารู้ความลับของปิ่นปักผมอันนั้นเข้าแล้ว เป็นไปไม่ได้หรอกท่านบอกว่าสิ่งนั้นคนธรรมดาไม่มีทางค้นพบเข้าแน่นอน”
“ข้าไม่รู้” เขาบอกเสียงทุ้ม
“คืนนั้นข้าไม่ได้ขโมยมันกลับมา พวกเขาคงเดาได้ว่ามีสิ่งสำคัญมากอยู่ในมือ ตอนนี้มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง หนึ่งคือพวกเขาค้นพบความลับของปิ่นเข้าแล้ว บางทีพวกเขาอาจพบเบาะแสอื่นๆ จากตัวสายลับคนนั้นถึงได้ต้องการไปที่วัดเป่าหลิง สองคือพวกเขายังไม่ค้นพบแค่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง การนัดพบกันในครั้งนี้เพื่อล่อให้พวกเราติดเบ็ดแล้วให้พวกเราพูดออกมาว่าของสำคัญสิ่งนั้นคืออันใด”
นายท่านสองไม่เชื่อ “สายลับผู้นั้นเหลือแต่กระดูกจะไปพบเบาะแสอันใดได้ ข้าเห็นมากับตาตนเอง แม้แต่กระดาษสักแผ่นก็ไม่มีถึงจะเรียกวิญญาณได้ แต่ท่านบอกเองว่าเขากลายเป็นปีศาจร้ายไปแล้ว ไม่มีทางที่จะพูดอันใดออกมาได้”
อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “นั่นเป็นสายลับของหวงเฉิงซือ ผู้ใดจะรู้ว่าเขาทิ้งอันใดไว้หรือไม่”
เขาหยุดชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “แล้วท่านไม่รู้สึกเลยหรือว่าตั้งแต่เด็กคนนั้นตื่นขึ้นมา สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปจนไม่สามารถควบคุมได้ หลังการตายของนางจี้ เดิมทีข้ากังวลว่าจะถูกเรียกวิญญาณ ผลคือหาไปหามาก็หาดวงวิญญาณของนางไม่พบ ช่วงนี้มีทั้งผีออกอาละวาด มีทั้งผีเข้าสิง วิชาของนางอาจแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคิดไว้”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี แม้แต่สายลับของหวงเฉิงซือท่านก็ฆ่ามาแล้ว หรือว่าไม่สามารถฆ่านางได้ แต่ท่านบอกเองว่านางไม่ใช่เสี่ยวชี”
เขาหัวเราะอย่างขมขื่น “ท่านคิดว่าข้าฆ่าสายลับคนนั้นง่ายนักหรืออย่างไร นั่นเป็นเพราะมีเงื่อนไขหลายอย่างที่เข้าถึงได้เลยสามารถฆ่าเขาได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นถึงฆ่านางไปก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในอนาคตได้ กุญแจสำคัญก็คือเจี่ยงเหวินเฟิงกับคุณชายหยางผู้นั้น”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้นายท่านสองก็เป็นกังวล “ถ้าอย่างนั้นพวกเราตามไปดีหรือไม่”
เขาหลับตาครุ่นคิดผ่านไปสักพักถึงลืมตาขึ้น แววตาของเขาเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยพลัง
“ตามไป! ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน[1] ท่านไปแจ้งจวิ้นอ๋องว่าให้เตรียมการให้ดี หากผลมันเลวร้ายที่สุดจริงๆ…ฆ่าแค่คนเดียวไม่ได้ต้องฆ่าทิ้งทั้งหมด!”
………………………………………
[1] ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน : เปรียบถึงไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้
คอมเม้นต์