คู่ชะตาบันดาลรัก – ตอนที่ 151 ค้นพบ

อ่านนิยายจีนเรื่อง คู่ชะตาบันดาลรัก ตอนที่ 151 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ฝ่ายชายที่เดินไปที่เตียงพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงไม่ลังเลที่จะคว้าคนที่อยู่ใต้ผ้าห่ม เมื่อแสงวิบวับจากกริชส่องกระทบ คนที่นอนหลับอย่างสงบบนเตียงจู่ๆ ก็ลงมือแทงเข้ามา

มารดาเถอะที่แท้ก็ถูกจับได้อยู่แล้ว! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว! เขาเพิ่งชักกริชออกมาก็มีกระบี่ที่รุนแรงพุ่งมาจากด้านข้าง มีแสงแปลบราวฟ้าแลบแวบเข้ามา

“อึก!” วิชากระบี่และความเจ็บปวดที่คุ้นเคย ชายหนุ่มอาศัยไฟอันเล็กน้อยแล้วก็เห็นบุรุษรุ่นเยาว์ที่ถือร่มไว้ในมือ

“ทำไมถึงเป็นท่าน!” เขาโกรธ “ท่านไม่ได้ดื่มสุราอยู่ฝั่งนั้นหรือ”

หยางชูหัวเราะเบาๆ “ที่แท้ก็เป็นท่าน! พี่ชายไม่เจอหลายวันคิดถึงกันหรือไม่”

คิดถึงกับผีสิ!

ฝ่ายชายคือคนลึกลับที่เข้ามาช่วยนายท่านสามในคืนนั้นใบหน้าที่เรียบเฉยของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ข้าบอกว่าท่านเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ทำตัวเป็นผู้ลากมากดีอย่างเปิดเผยไม่ได้หรือ มาขโมยอาหารกับพวกเราชาวท่องยุทธภพหมายความว่าอย่างไรกัน ท่านไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ”

หยางชูตอบ “อาหารชนชั้นสูงไม่ค่อยอร่อยเท่าไร! วันนี้ปล่อยให้พวกท่านสำเร็จในเป้าหมาย ข้าต้องทุบชามข้าว[1]ของตนเอง การเป็นผู้ดีถือเป็นความสามารถพิเศษ ไม่มีทุนทำก็คงจะไม่ได้”

เขาอยากจะพูด แต่สหายของเขากลับตะโกนขึ้นว่า “ไอ้หนูตาย เจ้าหลอกข้า! แม้แต่เด็กรับใช้ยังมีฝีมือขนาดนี้เจ้าให้ข้ามาตายเป็นเพื่อนเจ้าใช่ไหม”

“อะไรนะ” ฝ่ายชายงุนงงแม้สาวใช้คนนั้นจะมีกระแสพลังเคลื่อนไหวในร่างกาย แต่เมื่อเห็นท่าทางการเดินของนางก็รู้แล้วว่านางไม่เคยเรียนวรยุทธ์มาก่อน!

ตัวฝูลุกขึ้นจากพื้นนางคว้าขาของเก้าอี้ไว้ในมือแล้วกระแทกศีรษะของหญิงสาวโดยไม่คิด จริงๆ แล้วนางที่ไม่รู้วิชาต่อสู้เลยแม้แต่นิดเดียวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย เพียงแต่นางไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว!

หยางชูเข้าร่วมการต่อสู้เขาจับตัวชายคนนั้นที่ปีนขึ้นเตียงออกไป ถือว่าช่วยตัวฝูได้เยอะเลย ทั้งสองฝ่ายประมือกันแล้วหญิงสาวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“มารดาเถอะ! ข้อมูลทุกอย่างผิดหมดเลย เจ้าไม่ได้บอกว่าวรยุทธ์ของนางแย่มากหรอกหรือ นี่เรียกว่าแย่งั้นหรือ”

ยังไม่ทันที่สหายของนางจะตอบอีกฝ่ายก็พูดขึ้นว่า “ขอร้องล่ะท่านป้าแม้แต่คนท่านยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

เสียงนี้เป็นเสียงของอาหว่าน ตอนนี้พวกเขาตระหนักได้แล้วว่าตกหลุมพรางที่อีกฝ่ายวางไว้เข้าให้แล้ว ไม่เพียงแต่ในห้องมียอดฝีมือคอยซุ่มโจมตีอยู่แม้แต่คนก็ถูกเปลี่ยนด้วย

สาวน้อยที่รู้เคล็ดวิชาผู้นั้นได้หนีไปแล้ว! แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หญิงผู้นั้นโกรธมากที่สุด เมื่ออาหว่านเปิดปากพูดนางถึงกับผงะจากนั้นตะโกนออกไปว่า “ป้า..ไอ้หนูน้อย เรียกใครว่าป้ากัน!”

อาหว่านกลอกตา “ก็เรียกท่านไง ท่านป้า!”

“ข้าจะจัดการเจ้า อีนังหนู! หากวันนี้ข้าไม่ได้สั่งสอนเจ้า ความสามารถมากมายของข้าในหลายปีมานี้คงเสียเปล่าแล้ว! ตายเสียเถอะ!”

พูดจบนางก็เอื้อมมือไปที่เอวและดึงกระบี่อ่อนออกมา

อาหว่านสู้กลับและตีฝีปากกับนางต่อ “หลายปีงั้นหรือ นี่เป็นการยอมรับว่าตนเองแก่แล้วใช่หรือไม่ ท่านแซ่อะไรหรือท่านป้าช่างหยาบคายเสียจริง!” แล้วทั้งห้องก็กลายเป็นสมรภูมิรบอย่างรวดเร็ว

ฝ่ายชายเชื่อเสมอว่าตนเองแยกแยะสถานการณ์ออก ดังนั้นเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ดีสำหรับตนเองจึงรีบส่งสัญญาณให้ถอยทันที “พวกเขาเตรียมตัวมาก่อนแล้ว ถอยก่อน!”

แต่ฝ่ายหญิงกลับไม่พอใจ “นางด่าข้าว่าป้า ข้าจะระเบิดหัวนาง!”

แต่ฝ่ายชายไม่ทน “ป้าก็ป้าไปเถอะ มันเรื่องใหญ่ตรงไหน ถอยก่อน! หากไม่ถอยเจ้าก็จัดการเอาเองแล้วกัน!”

ฝ่ายหญิงไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงสู้กลับพลางถอยออกไป “ก็ได้! ข้าฟังเจ้า”

แม้ว่าจะเสียเปรียบ แต่ทั้งสองกลับไม่ตื่นตระหนกสักนิดสถานีส่งสารแห่งนี้ถูกพวกเขาจัดการมานานแล้ว ตราบใดที่พวกเขาออกจากที่นี่และเข้าไปในทะเลหมอก คนพวกนี้ก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนี่ไม่ใช่การพ่ายแพ้ พวกเขายังมีเขตผนึกอาศัยม่านหมอกในการซ่อนตัวแล้วค่อยๆ ฆ่าคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรแล้วค่อยหาโอกาสลอบโจมตีอีกครั้งก็ได้…

เป็นแผนที่ยอดเยี่ยมมาก!

แต่ว่า…เมื่อพวกเขาพังประตูออกไป กระโดดจากชั้นสองเข้าไปในลานบ้าน ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ด้านนอกสว่างมาก!

มีคบเพลิงทุกที่!

เจ้าหน้าที่มากมายหลายคนได้ล้อมรอบตึกหลังเล็กนี้ไหวหมดแล้ว!

หมอกล่ะ ยังอยู่ แต่ได้ลอยหายออกไปจากลานบ้านแห่งนี้แล้วหมิงเวยที่สวมเสื้อผ้าของอาหว่านยืนอยู่ข้างๆ เหลยหงส่งยิ้มให้ทั้งสองคนที่กลิ้งออกมา

“พบกันอีกแล้ว ใต้เท้า” นางหยุดชะงักแล้วพูดต่อ “หรือให้เรียกท่านว่าซูรื่อฉู่ดี”

ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเรียบเฉยของชายคนนั้น “ท่าน…”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขาหมิงเวยก็พยักหน้า “ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นซูรื่อฉู่ตัวจริง”

เมื่อครู่นางแค่คาดเดาอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในกลุ่มดาวแล้วสตรีนางนั้นเรียกเขาว่าหนูตายจึงเดาได้ว่าคนผู้นี้คือซูรื่อฉู่

ชายคนนั้นเลิกคิ้วผ่านไปสักพักจึงถาม “เขตผนึกของข้าล่ะ เหตุใดมันจึงฟังคำสั่งของท่าน”

“เพราะว่าข้าเก่งกว่าท่านไง!” หมิงเวยยกแขนเสื้อขึ้น และเหวี่ยงเหรียญทองแดงสองเหรียญออกมา “ของที่ท่านใช้ตรึงเขตผนึกนี้ หาได้สบายเลย”

“…..”

“ฮ่าๆๆ!” ทันใดนั้นสตรีนางนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “เจ้าหนูตาย เจ้าไม่ได้พูดอยู่ตลอดหรือว่าวิชาของตนเองนั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน แค่กางเขตผนึกก็ถูกผู้อื่นจับได้แล้ว ช่างน่าหัวเราะจริงๆ!”

ชายคนนั้นกุมหน้าผาก “คุณนาย นี่เจ้ามองสถานการณ์ไม่ออกหรือ เขตผนึกของข้าถูกจัดการแล้ว เจ้าจะดีใจอะไรขนาดนั้นข้าต้องติดอยู่ที่นี่ เจ้าเองก็หนีไปไม่ได้เหมือนกัน!”

สตรีนางนั้นหัวเราะฮิๆ “เห็นเจ้าซวยข้าก็ดีใจ ทำไมหรือ” พูดจบนางมองหมิงเวยแล้วเลิกคิ้ว “นังหนู ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ เห็นไอ้หนูตัวนี้ล้มได้พี่สาวดีใจมาก ข้าจะให้ของขวัญแก่เจ้า!”

พูดจบนางก็ยกมือขึ้นไม่รู้ว่านางโยนอะไรออกมา เหลยหงรีบชักกระบี่ออกมาจากฝักและเฉือนมันอย่างรวดเร็ว

เทพสายฟ้าถูกเขาผ่าแบ่งออกเป็นสองซีก…

“ฟู่!” มีเสียงดังขึ้น และควันสีชมพูลอยขึ้นมาบดบังสายตาของทุกคนทันทีเงาสองร่างรีบขยับกายหลบหนีทันใด

หยางชูตะโกนขึ้นเสียงเย็น “เข้ามาแล้วยังคิดจะออกไปอีกหรือ” เขาชักกระบี่ออกจากด้ามร่มแล้วตวัดทะลุอากาศออกไป แล้วสตรีผู้นั้นก็โยนเทพสายฟ้ามาอีกลูก เทพสายฟ้าในมือของนางแตกต่างจากที่ซูรื่อฉู่มีมันไม่ได้มีไว้สำหรับฆ่าคน แต่มีไว้เพื่อสร้างความสับสนให้ศัตรู

เมื่อควันสีชมพูลอยสัมผัสจมูกและปากทำให้เกิดความระคายเคืองมาก เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในลานเริ่มไอและน้ำตาไหล หลังจากโยนเทพสายฟ้าติดต่อกันสามลูก หยางชูเริ่มทนไม่ไหวน้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสายทำให้สายตาของเขาพร่ามัว เขาสูญเสียการมองเห็นไปในพริบตา!

“ไม่ต้องตามไปแล้ว” หมิงเวยใช้ผ้าเช็ดหน้าพันอะไรบางอย่างแล้วแนบไปที่จมูกของเขา กลิ่นฉุนกระทบจมูกของเขาแล้วน้ำตาก็หยุดไหล

“นี่มันอะไรกัน!” เขาผลักออกไปอย่างขยะแขยง

“กระเทียมไง!” หมิงเวยเห็นเขาดีขึ้นแล้วจึงส่งให้เหลยหงที่อยู่ด้านหลัง “ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีจริงๆ กระเทียมสามารถขจัดพิษได้หลายชนิด รู้หรือไม่เจ้าคะ”

หยางชูคิดในใจเขายอมน้ำตาไหลต่อไปดีกว่าสูดดมกระเทียมเช่นนี้ กลิ่นของมันช่างน่าขยะแขยงมาก

“แล้วเหตุใดถึงปล่อยให้พวกเขาหนีไปกัน” เขามองไปยังความมืดอย่างไม่พอใจ

“ตอนนี้พวกเราตามพวกเขาไปไม่ทันหรอกเจ้าค่ะ” หมิงเวยตอบอย่างใจเย็น “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

…………………

[1] ทุบชามข้าว : ตัดอาชีพ ทําลายหนทางทำมาหากิน ออกแนว ถ้าเราไม่ช่วยกันทำงานก็ไม่ต่างอะไรจากการทุบหม้อข้าวหม้อแกงตัวเอง ทำนองนี้

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด