คู่ชะตาบันดาลรัก – ตอนที่ 179 อาจารย์
ซุนเว่ยตกใจ นางหลอกหมิงเวยมาที่นี่แล้วก็หลบฉากออกไป นางไม่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ แต่ในอีกแง่หนึ่งนางก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าในช่วงเวลาอันสั้นเป็นเหวินหรูกับพรรคพวกของนางที่ตกใจหนีไป ถึงซุนเว่ยจะหลบอยู่หลังต้นไม้ แต่นางเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน หมิงเวยเป็นคนปล่อยงูตัวนั้นออกมายิ่งไปกว่านั้นเหวินหรูและพรรคพวกทำอะไรนางไม่ได้เพราะการก้าวเท้าของนางแปลกมาก
ถึงซุนเว่ยจะขี้ขลาดแต่ก็ไม่ได้สับสน เพื่อนใหม่คนนี้ไม่ใช่คนที่จะไปยั่วได้ง่ายๆ เลย เมื่อได้ยินหมิงเวยเรียกชื่อตน ซุนเว่ยตกใจและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังด้วยความกลัว
เมื่อเห็นหมิงเวยเดินมานางก็กรีดร้องและรีบถอยออกไป แต่ชายกระโปรงพันขานางและบริเวณนี้ก็เป็นดอกไม้ต้นหญ้า ซุนเว่ยจึงเดินเซและล้มลงกับพื้น
ในตอนนี้จะหนีก็ไม่ทันแล้ว หมิงเวยยื่นหน้ามองนางแล้วยิ้ม “หัวหน้า ท่านเป็นพยานให้ข้าได้หรือไม่” ซุนเว่ยหน้าซีดเซียวนางส่ายหน้าอย่างแรง
“ไม่ได้งั้นหรือ” ซุนเว่ยยื่นแขนปิดบังใบหน้าและร้องออกมาอย่างหมดหวัง
“อย่าตีข้า อย่าตีข้าเลย!” หมิงเวยเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ นางมองอย่างครุ่นคิด
จี้เสียวอู่ที่นอนเอนกายอยู่บนกำแพงพูดขึ้น “ดูเจ้าสิ ทำผู้อื่นตกใจจนกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว ยังกล้าพูดอีกว่าไม่ได้ทะเลาะกัน”
หมิงเวยไม่สนใจเขานางถามซุนเว่ยไปว่า “พวกนางเคยตีเจ้างั้นหรือ” ซุนเว่ยที่หดตัวอยู่หลังแขนตนเองไม่กล้าตอบ
หมิงเวยเหลือบมองไปยังสนามแล้วพูดว่า “คนที่ตีผู้อื่นไม่ได้มีแค่พวกนาง หากข้าได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยินจากปากของเจ้าในวันนี้ วันข้างหน้าเจ้าจะอยู่ยากขึ้น”
พูดจบจี้เสียวอู่ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “เร็วๆๆ รีบไปเร็วเข้ามีคนมา!”
ทางฝั่งสนามมีคนเดินเข้ามาทางนี้เป็นจำนวนมาก นอกจากเด็กสาวที่รวมกลุ่มกันทะเลาะกับตนก่อนหน้านี้แล้ว ยังมีอาจารย์ผู้เข้มงวดและทหารหญิงสวมชุดเกราะพกอาวุธ
หมิงเวยเหลือบมองแล้วปัดเท้าจนก้อนหินลอยขึ้นไป
“ไอหยา!” จี้เสียวอู่รู้สึกปวดที่หน้าผาก ร่างกายเขาเอนไปด้านหลังจนทรงตัวไม่อยู่และตกลงจากกำแพง
“พี่ห้า!”
“จี้เหวย!” เด็กหนุ่มจากสถานศึกษาซิ่วชานเข้าล้อมรอบตัวเขา
“ชู่!” จี้เสียวอู่ทำสัญญาณมือให้เงียบและพิงกำแพงเพื่อฟังโดยไม่สนใจหน้าผากที่เจ็บปวดของตนเอง
อีกด้านหนึ่งหมิงเวยนั่งยองๆ ยื่นมือไปจับซุนเว่ยทำท่าทางเหมือนกำลังช่วยอีกฝ่าย
“อาจารย์ เป็นนางเจ้าค่ะ! นางเอางูเข้ามาในสถานศึกษาและปล่อยออกมาทำให้พวกเราตกใจ!” เหวินหรูพูดขึ้นก่อน
หมิงเวยกึ่งลากกึ่งจูงให้ซุนเว่ยลุกขึ้นมา จากนั้นก็หันไปหาอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้น
“อาจารย์” นางทำความเคารพ
อาจารย์ที่มามีสองท่าน หนึ่งคือเฉินเสวียอวี้ อีกคนเป็นผู้คุมกฎ ในสถานศึกษามีผู้คุมกฎเป็นจำนวนมากซึ่งหมิงเวยไม่สนใจที่จะจำชื่อของพวกนางและก็จำไม่ได้ด้วยว่าใครเป็นใคร
ผู้คุมกฎมองไปที่ซุนเว่ยจากนั้นก็เลื่อนสายตาไปมองหมิงเวย “พวกนางบอกว่าเจ้าเป็นคนปล่อยงูเข้ามาเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่”
หมิงเวยมีสีหน้าแปลกใจ “เรื่องนี้จะเริ่มอย่างไรดี งู…ข้าจะนำของเช่นนี้มาได้อย่างไรกันเจ้าคะ” ท่าทีเบื่อหน่ายของนางเป็นการแสดงออกที่ค่อนข้างจริงใจ
อันที่จริงผู้คุมกฎก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก เหล่าคุณหนูจากห้องหลิงหานนี้ตนยังไม่แน่ใจเลยว่าพวกนางมีนิสัยอย่างไร ก่อเรื่องอยู่ทุกวัน ไม่รู้ว่าถูกลงโทษทางวินัยไปกี่ครั้งก็ยังไม่หลาบจำ พวกนางรังแกผู้อื่นมาไม่น้อยจะถูกผู้อื่นรังแกได้หรือ
นักเรียนแซ่หลิ่วคนนั้นเป็นลมจริงๆ และตอนนี้ได้ถูกส่งตัวไปยังโรงหมอเรียบร้อยแล้ว
เหวินหรูพูดขึ้นมาว่า “เจ้ายังกล้าเล่นลิ้นอีกหรือ พวกเราเห็นหมดแล้ว!”
“ใช่! พวกเราเห็นว่าเจ้าปล่อยงูออกมา และพี่หลิ่วก็โดนมันกัด หลักฐานตำตาขนาดนี้!”
พูดจบหนึ่งในนั้นเกิดขี้ขลาดร้องไห้ขึ้นมา “พี่หลิ่วไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง หากนางเป็นอะไรขึ้นมาต่อให้เจ้ามีเก้าชีวิตก็ชดใช้ไม่พอ!”
เฉินเสวียอวี้ก็กลัวมากจนทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นมาว่า “หมิงเวย ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผู้คุมกฎอยู่ที่นี่แล้วเจ้าตอบมาตามความจริงได้เลย มีผู้ได้รับบาดเจ็บจริงๆ ไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ!” คุณหนูพวกนี้หากบาดเจ็บขึ้นมานางรับผิดชอบไม่ไหวแน่!
“ใช่!” ผู้คุมกฎพูด “สถานศึกษาหมิงเฉิงเป็นสถานที่ที่มีเหตุมีผล ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าเล่ามาตั้งแต่ต้นจนจบเลยหากเจ้าเป็นฝ่ายผิดก็สารภาพอย่างตรงไปตรงมายังพอให้อภัยได้ หากเจ้าไม่อธิบายอะไรเลยจะต้องรับโทษสถานหนัก!”
เฉินเสวียอวี้คิดได้ว่านี่เป็นการเข้าเรียนวันแรกของนางจึงบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าพูดมาเถอะ หากเจ้าไม่ได้เป็นฝ่ายผิดผู้คุมกฎจะให้ความยุติธรรมกับเจ้าเอง”
หมิงเวยมองซุนเว่ยจากนั้นก็มองเหวินหรูและพรรคพวกแล้วแสดงสีหน้าลำบากใจ “ข้า ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไรดีเจ้าค่ะ…”
ผู้คุมกฎขมวดคิ้ว “อะไรคือไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ความจริงเป็นอย่างไรพูดออกมาเลย!”
“หากข้าพูดออกไป อาจารย์จะไม่ตำหนิข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ถ้าเจ้าไม่พูดข้าก็จะตำหนิเจ้า!”
หมิงเวยมีท่าทีเหมือนคนหมดหนทาง “ถ้าอย่างนั้นข้าพูดได้เพียงว่า…เมื่อครู่ข้าทำกิจกรรมอยู่ที่สนามแล้วจู่ๆ หัวหน้าซุนก็มาเรียกข้าบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย…”
นางไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ซุนเว่ยเรียกนางได้อย่างไรเหวินหรูกดดันนางอย่างไร นางจะเล่าให้ชัดเจนเลย
“ก่อนหน้านี้ที่ห้องอาหาร ข้ามีเรื่องไม่พอใจต่อคุณหนูสี่ตระกูลเหวิน คุณหนูสามตระกูลเหวินให้ข้าคำนับขอโทษ หากขอโทษอย่างเดียวก็จบแล้ว แต่จะให้โขกหัวคำนับได้อย่างไร ฟ้า ดิน กษัตริย์ บรรพบุรุษ วิญญูชน พวกเราคำนับบูชาต่อทั้งห้านี้เท่านั้นจะให้คำนับผู้อื่นตามใจชอบได้อย่างไร พอข้าไม่ตอบรับพวกนาง…พวกนางก็พุ่งเข้ามาหาข้า ข้ากลัวมากแล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ พวกนางดูเหมือนจะกลัวอะไรบางอย่างจากนั้นก็วิ่งหนีไป”
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาไร้เดียงสา “เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าเองก็ยังสับสน ท่าทีของพวกนางเมื่อครู่ เหมือนถูกอะไรบางอย่างสิงร่าง หัวหน้าซุนเองก็ตกใจจนล้มลงไป”
ผู้คุมกฎเลิกคิ้ว
คำพูดก่อนหน้านี้ฟังดูมีเหตุผลเป็นเรื่องที่พี่น้องตระกูลเหวินสามารถทำได้จริงๆ แต่ประโยคหลังนั่นคืออะไร สิงร่าง เป็นเรื่องที่ดูยุ่งเหยิงมาก!
“ซุนเว่ย เป็นอย่างที่นางเล่าใช่หรือไม่” ผู้คุมกฎถาม ซุนเว่ยกำลังจะพูด แต่กลับเห็นหมิงเวยก้มหน้ามองนางพร้อมรอยยิ้มที่ดูคุกคาม
นางตัวสั่นด้วยความตกใจและโพล่งออกไปว่า “ไม่ทราบ ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ! ข้าไม่เห็นอะไรเลย!”
หมิงเวยพูดว่า “อาจารย์ดูสิเจ้าคะ หัวหน้าซุนเองก็ตกใจเช่นกัน เหตุการณ์เมื่อครู่นี้น่ากลัวมากราวกับว่าพวกนางเป็นอี้เจิ้ง[1]”
“เจ้าพูดจาไร้สาระ!” เหวินหรูตะโกนขึ้น “อี้เจิ้งอะไรกัน คำพูดนี้เชื่อได้อย่างไร หลิ่วเจินเอ๋อร์ยังนอนอยู่เลยเจ้าจะปฏิเสธงั้นหรือ”
ผู้คุมกฎเองก็คิดเช่นนั้น เรื่องอื่นยังพูดคุยกันได้ แต่เรื่องนักเรียนโดนกัดจนได้รับบาดเจ็บนั้นเป็นสิ่งที่สามารถยืนยันได้
“นางโดนกัดจริงๆ หรือเจ้าคะ” หมิงเวยพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “เป็นไปไม่ได้! ข้าเห็นว่าบนร่างกายของนางไม่มีบาดแผลอะไร อาจารย์ ท่านช่วยตรวจดูอีกครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ”
“จะเป็นเรื่องลวงได้อย่างไร” เหวินหรูโกรธมาก “นางล้มลงไป! เจ้ายังเล่นลิ้นอยู่ได้”
ในตอนนั้นเองหมิงเวยมองออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นั่นใช่คุณหนูหลิ่วหรือไม่”
ทุกคนได้ยินดังนั้นพวกเขาก็หันหน้าไปทางสนามก็เห็นว่าเป็นคุณหนูหลิ่วเจินเอ๋อร์ที่เพิ่งถูกพาตัวไปเดินมาพร้อมกับนักเรียนหญิงคนหนึ่ง
“หลิ่วเจินเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรงั้นหรือ” เหวินหรูตกใจ
หลิ่วเจินเอ๋อร์เองก็มีสีหน้าอธิบายไม่ถูก “ข้า ข้าไม่รู้…”
…………
[1] อี้เจิ้ง : โรคประสาทฮิสทีเรียและบุคลิกภาพผิดปกติแบบฮิสทีเรีย เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากร่างกายได้รับปัจจัยทางจิตวิทยาอย่างชัดเจน เช่น ปัญหาชีวิต สภาวะทางจิตใจที่ได้รับการกระทบกระเทือนหรือการแสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรง ภายใต้การถูกกระทบด้านจิตใจจากผู้อื่น สภาวะแวดล้อมรอบตัว และสภาวะภายใจจิตใจของตัวเอง มักเกิดในคนที่อ่อนไหวได้ง่าย
คอมเม้นต์